สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (30 สิงหาคม 2561)

"กิตติ พัวถาวรสกุล"  บิ๊ก NCL แย้มอยู่ระหว่างเจรจาภาครัฐ เข้าไปพัฒนาท่าเรือระนอง - ชี้ ถ้าลุยเงื่อนไขต้องชัดเจน - ไม่ซ้ำรอยเดิม  พร้อมประกาศปูพรมขยายสาขาในเอเชีย  คาดเปิดสาขาอินโดนีเซีย Q3/61 - เวียดนาม Q4/61 สิ้นปีนี้เห็นสาขาตปท.รวม 5 สาขา คาดผลงาน 2H/61 โตต่อเนื่อง หลังรุกขยายสาขาตปท. - มีลูกค้าใหม่ต่อเนื่อง มั่นใจทั้งปีโตตามเป้า 10-20% แจงขาย NCL- W3 เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง

นายกิตติ พัวถาวรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NCL เปิดเผยกับสำนักข่าวหุ้นอินไซด์ว่า ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจากับทางภาครัฐบาลอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ทางรัฐบาล มีแผนที่จะพัฒนาให้ท่าเรือระนองเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางทะเลฝั่งอันดามัน เชื่อมโยงเส้นทางการค้ากับประเทศแถบเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง ยุโรป และอเมริกาซึ่งท่าเรือระนองเป็นประตูการค้าระหว่างประเทศของไทยกับประเทศในซีกตะวันตก รวมถึงเป็นประตูเศรษฐกิจสู่เมียนมา สามารถเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านและประเทศในกลุ่ม BIMSTEC รองรับการให้บริการขนส่งสินค้าโดยระบบตู้สินค้าจากท่าเรือระนองไปท่าเรือในย่างกุ้ง

"ท่าเรือระนองถือเป็นประตูทองสู่ทะเลอันดามันไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยได้ และเมื่อ 4-5 ปีที่แล้วทางเราก็เคยเข้าไปทำโครงการดังกล่าวแล้ว และสามารถที่จะทำได้สำเร็จด้วยแต่ในระหว่างที่เราหยุดการดำเนินธุรกิจที่ท่าเรือระนอง ทางรัฐบาลก็ได้มีการคุยกับเราอย่างต่อเนื่องว่าอยากจะให้เราเข้าไปทำท่าเรือระนองดังกล่าวให้มีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง แต่ถ้าหากว่าเราเข้าไปทำโครงการที่ท่าเรือระนองอีกครั้ง เพื่อที่จะไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนครั้งก่อนที่เราขาดทุนมากว่า 98 ล้านบาท ในปี 58 เราจะต้องมีการคุยกันอย่างเชิงลึกเลยว่าจะมีอะไรสนับสนุนจากทางภาครัฐมาเพิ่มขึ้น ว่าจะร่วมกันยังไงทำอย่างไรให้มันสำเร็จ เราจะต้องมีเงื่อนไขที่ชัดเจน ถ้าเกิดเหตุการณ์ขึ้นมาอีกต้องมีคนรับผิดชอบ ไม่ใช่เรารับผิดชอบคนเดียว ครั้งที่แล้วที่มีปัญหาจนทำให้ต้องชะงักการดำเนินกิจการไป เรารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ถ้าจะกลับเข้าไปทำใหม่ก็ต้องมีการคุยให้ชัดเจนกับภาครัฐ ว่าความเสี่ยงคืออะไร เกิดปัญหาขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ และเรายังไม่ได้ยืนยันว่าจะเข้าไปลงทุน เพียงแต่ว่าเป็นการเจรจากันอยู่ " นายกิตติ กล่าว

ส่วนการขยายธุรกิจในปีนี้บริษัทฯจะสามารถมีสาขาที่ต่างประเทศรวมทั้งสิ้น 5 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา จีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งในครึ่งปีแรกบริษัทฯได้ดำเนินการเปิดสาขาที่สหรัฐอเมริกา และจีนไปแล้ว คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากจีนเข้ามาในไตรมาสที่ 3-4/2561 อีกทั้งในครึ่งปีหลังบริษัทฯจะเปิดสาขาในอินโดนีเซีย คาดว่าจะสามารถเปิดได้ในไตรมาส 3/2561 และเวียดนามคาดว่าจะเปิดได้ในไตรมาสที่ 4/2561 ซึ่งทุกๆประเทศจะสามารถสร้างรายได้ให้บริษัทไม่ต่ำกว่า 10% ของรายได้รวม ซึ่งปัจจุบันสิงคโปร์ได้สร้างรายได้ให้บริษัทประมาณ 10% ของรายได้รวมไปแล้ว

ด้านเงินลงทุนที่บริษัทใช้ในการขยายสาขา ทางที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯได้อนุมัติวงเงินทั้งสิ้น 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีแหล่งเงินทุนมาจากเงินหมุนเวียนในบริษัท และการแปลงสภาพวอแรนต์ NCL-W2 และ NCL-W3 ที่กำลังจะแปลงสภาพในอีก 16 เดือนข้างหน้า สำหรับผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง บริษัทคาดว่ามีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้เปิดสาขาในต่างประเทศ และรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบริษัทฯยังมีการเซ็นต์สัญญากับลูกค้ารายใหม่ๆต่อเนื่องด้วย จึงทำให้บริษัทฯมั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปี 2561 จะเติบโต 10-20% ตามเป้าหมายที่วางไว้ และกลับมาเทิร์นอะราวน์ได้แน่นอน

ทั้งนี้ นายกิตติกล่าวถึง การจำหน่ายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ของบมจ.เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ (NCL) ชุดที่ 3 หรือ NCL-W3 เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2561 จำนวน 2,857,143 หน่วย ที่ราคา 0.52 บาท/หน่วย และในวันเดียวกัน มีการจำหน่าย NCL-W3 อีก 527,314 หน่วย ที่ราคา 0.56 บาท ว่า เป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับ NCL-W3

NCL