สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ ( 13 พฤษภาคม 2564 )--------บมจ. เค.ดับบลิว.เม็ททัล เวิร์ค (KWM) โชว์ฟอร์มเจ๋งตามนัด ไตรมาส1/64 โตสนั่นโกยกำไรสุทธิ 25.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.10 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 406.88 (YoY) ขณะที่รายได้จากการขายอยู่ที่ 153.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78.44 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ104.32 (YoY) ขานรับยุคทองภาคการเกษตร หนุนการใช้งานเครื่องจักรและอุปกรณ์การเกษตรทะลัก ส่งซิกช่วงที่เหลือของปียอดขายโตต่อ จากการปั้นออเดอร์แบรนด์ "ตราช้าง" ป้อนสยามคูโบต้า และแบรนด์ "Pegasus" จ่อทบทวนเพิ่มเป้ารายได้ทั้งปีใหม่หลังจบไตรมาส 2/64 ลุยทุ่มงบ 50 ล้านบาทอัพกำลังการผลิตใหม่ ศึกษาก่อสร้างคลังสินค้าใหม่หวังบริหารจัดการสต็อกเพิ่มอัตรากำไร ล่าสุดบอร์ดเคาะแจกวอร์แรนต์ให้ผู้ถือหุ้นเดิม 140 ล้านหน่วยฟรีในอัตรา 3หุ้นเดิมต่อ 1 วอร์แรนต์
นายเอกพันธ์ วนโกสุม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เค.ดับบลิว.เม็ททัล เวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ KWM ผู้นำในการประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในการเกษตรและมีประสบการณ์ด้านงานวิศวกรรมเครื่องกล และผู้นำในการผลิตเครื่องสกัดสารสกัดจากพืชสมุนไพร เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2564 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 ว่า ภาพรวมผลประกอบการงวดไตรมาสแรก บริษัทฯมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 153.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78.44 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 104.32 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่บริษัทมีกำไรสุทธิ 25.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.10 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 406.88 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)
สาเหตุที่บริษัทฯมีอัตราการเติบโตอย่างโดดเด่น เป็นผลมาจากปัจจัยด้านฤดูกาลหรือเข้าสู่ไฮซีซั่นของธุรกิจที่ปกติจะเกิดขึ้นไตรมาสแรกของทุกปี ทำให้ยอดขายเครื่องจักรและอุปกรณ์การเกษตรของบริษัทฯ เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากการเติบโตของภาคการเกษตรทั้งการเพาะปลูกที่เพิ่มขึ้น และราคาสินค้าที่ปรับตัวดีขึ้น เป็นแรงจูใจให้เกษตรกรขยายการผลิตเพิ่มขึ้น
ซึ่งจากปัจจัยสนับสนุนดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลดีต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ ดังนั้นบริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาเตรียมทบทวนปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้ของปีนี้รอบใหม่หลังจากสิ้นสุดไตรมาส 2/2564 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากเดิมที่วางเป้าหมายรายได้ปีนี้จะเติบโตประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีรายได้อยู่ที่ 355.06 ล้านบาท จึงมีความเป็นไปได้ว่าภาพรวมผลประกอบการตลอดทั้งปี 2564 จะสามารถเติบโตทุบสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ได้อีกครั้งต่อเนื่องจากปี 2563
"จากการสำรวจความต้องการสินค้าการเกษตรของ 2 กลุ่มหลักเห็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการเร่งตัวของการเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มแรก คือ การผลิตสินค้าให้กับคู่ค้ารายใหญ่ภาคเกษตร ได้แก่ บริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด ภายใต้แบรนด์ "ตราช้าง" ที่ล่าสุดได้เร่งการผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรในจำนวนมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาการผลิตตามปกติเพื่อสอดรับกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มเกษตรกร เช่นเดียวกับแนวโน้มยอดขายสินค้าภายใต้แบรนด์ "Pegasus" เป็นตราสินค้าของบริษัทเองที่ผลิตอุปกรณ์การเกษตร เช่น ใบผาล ใบจักร ใบคัดท้าย โครงผาล ใบดันดิน ใบเกลียวลำเลียง ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน"
อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้บริษัทฯวางงบลงทุนปีนี้ประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ลงทุนขยายสายการผลิตใหม่แห่งที่ 3 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตส่วนอุปกรณ์ประเภทใบผาลพร้อมติดตั้งเครื่องพ่นสี รองรับความต้องการสินค้าเครื่องจักรกลและอุปกรณ์การเกษตรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต โดยไลน์การผลิตใหม่นี้จะนำมาตั้งอยู่ในพื้นที่โรงงานแห่งที่ 2 ที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้รับการลดหย่อนสิทธิประโยชน์ทางภาษีเต็มจำนวนถึงปี 2569 เบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในสายการผลิตดังกล่าวได้ภายในไตรมาส4/64
พร้อมกันนี้บริษัทฯมีแผนก่อสร้างคลังสินค้าแห่งใหม่เพิ่มเติมอีก 1 แห่งเพื่อช่วยบริหารสต็อกสินค้าสร้างโอกาสการเติบโตรอบใหญ่และเพิ่มศักยภาพทำกำไรในช่วงที่ตลาดมีความต้องการสินค้าทางการเกษตรเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นส่วนช่วยลดความผันผวนของผลประกอบการในแต่ละไตรมาสให้มีความสมดุลด้านอัตราการเติบโตให้มีความใกล้เคียงกันตลอดทั้งปีอีกด้วย
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติการออกและจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ครั้งที่ 1 (KWM-W1) จำนวนไม่เกิน 140 ล้านหน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม โดยไม่คิดมูลค่า ในอัตราการจัดสรรเท่ากับ 3หุ้นเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ มีอายุไม่เกิน 2 ปีนับจากวันที่ออก และมีอัตราการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ 1หน่วยต่อหุ้นสามัญของบริษัท 1 หุ้น ในราคาใช้สิทธิ1.50 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ KWM-W1 (Record Date) ในวันที่ 27 พ.ค. นี้ เพื่อจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2564ในวันอังคารที่ 29 มิถุนายน 2564
'บมจ.ไซมิส แอสเสท' หรือ SA ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/64 เติบโตแกร่ง กวาดรายได้รวม 720.6 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 49 ล้านบาท ตุน Backlog ในมือกว่า 6,400 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปีนี้กว่า 2,300 ล้านบาท หนุนรายได้ทั้งปี 64 แตะ 4,800 ล้านบาทตามเป้าหมาย พร้อมจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อบริหารสินทรัพย์ AMC เข้าซื้อ NPL และ NPA จากธนาคารโดยตรง ชูจุดเด่นการเข้าถึงสินทรัพย์ต้นทุนต่ำ ทำให้ประหยัดเวลาและต้นทุนก่อสร้าง
นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ภายใต้แนวคิด 'Asset of Life สร้างกำไรให้กับทุกการใช้ชีวิต' เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 ทำรายได้ 720.6 ล้านบาท เติบโต 41.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 508.4 ล้านบาท แม้ยังต้องเผชิญต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่อาจกระทบต่อยอดขายของบริษัทฯ เล็กน้อยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเริ่มฟื้นตัว และฟื้นตัวอย่างชัดเจนในช่วงต้นเดือนมีนาคม
ขณะเดียวกัน SA ได้เพิ่มรายได้จากธุรกิจการเช่าอสังหาริมทรัพย์ประเภท Branded Residence โดยมีบริการในรูปแบบของ Hotel Interchain เช่น Wyndham และ Ramada โดยที่ ณ สิ้นเดือนเมษายน สามารถรับรู้รายได้จากการเช่าประมาณ 2 ล้านบาท และคาดว่าจนถึงปลายปี 2564 จะมีรายได้จากการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ประมาณเดือนละ 7 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำไปช่วยเสริมในส่วนของค่าใช้จ่ายในการบริหารได้
นอกจากนี้ ในไตรมาส 1/2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 49 ล้านบาท และยังสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้ที่ 263.4 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 40.8% ต่อรายได้การขายอสังหาริมทรัพย์จำนวน 645.1 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทฯ มุ่งบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับควบคุมต้นทุนการก่อสร้างและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ ได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆ
ปัจจุบัน บริษัทฯ มียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ในปีนี้กว่า 6,400 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 2,300 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ผลักดันให้ผลการดำเนินงานทั้งปีทำรายได้ 4,800 ล้านบาท ตามเป้าหมาย อีกทั้งจากกลยุทธ์ Branded Residence ที่ได้เริ่มดำเนินการด้านการตลาดมาก่อนหน้านี้ ทำให้ยอดขายเติบโตอย่างชัดเจน คาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สร้างผลงานให้ SA ได้ในอนาคต
ล่าสุด SA กำลังจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อประกอบธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company: AMC) โดยจะดำเนินธุรกิจเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ประสบปัญหาด้านการเงินกับเจ้าหนี้ ซึ่งจะช่วยทำให้ SA สามารถเข้าซื้อ NPL และNPA จากสถาบันการเงินได้โดยตรง และสามารถเข้าถึงที่ดินต้นทุนต่ำ หรือเข้าถึงที่ดินกลางใจเมืองที่ปัจจุบันการหาที่ดินเปล่านั้นยากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนำมาปรับปรุง โดยใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทีมงานและผู้บริหารในการปรับปรุงอาคารมาแล้วหลายแห่ง จึงสามารถต่อยอดพัฒนาไปสู่รูปแบบ Branded Residence ได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาและต้นทุนค่าก่อสร้าง
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SA กล่าวว่า ในช่วงที่เหลือของปี บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีกกว่า4 โครงการ มูลค่าประมาณ 11,350 ล้านบาท เน้นทำเลกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งจะรองรับทุกความต้องการของกลุ่มคนในทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน ผู้สูงอายุ คนรักสัตว์เลี้ยง หรือแม้กระทั่งนักลงทุน แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 2 โครงการ มูลค่าประมาณ 5,350 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท โดยเร็วๆ นี้ เตรียมเปิดโครงการ Landmark @ Grand Station By Siamese Asset ย่านรามอินทรา ซึ่งพัฒนาเป็น Mixed-Use Real Estate ประกอบด้วย Branded Residence ห้องชุดพักอาศัย พื้นที่เชิงพาณิชย์ และห้องประชุม และโครงการ Landmark @ MRTA Station By Siamese Asset ย่านพระราม 9 โดยคาดหวังว่าจะเข้ามาเพิ่ม Backlog ของบริษัทฯ ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
----จบ-----