Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews: KWM เล็งยื่นไลเซ่นส์โรงสกัดกัญชง /DOD ผนึก FN ต่อยอดผลิตภัณฑ์จากกัญชง

3,128

 


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (5 พฤษภาคม 2564)---- บมจ. เค.ดับบลิว.เม็ททัล เวิร์ค (KWM) ขานรับไฮซีซั่น คนเมืองแห่กลับภูมิลำเนา ทำการเกษตร หนุนออเดอร์ผลิตและยอดขายอุปกรณ์การเกษตร ช่วงต้นปี 64 โตทะลักต่อเนื่อง เตรียมผุดสินค้าใหม่ภายใต้ "Pegasus" ผนึกพันธมิตรเจาะตลาด CLMV ยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรไทยสู่ระบบโมเดิร์นฟาร์ม มั่นใจปั้นรายได้ปี64 โตไม่ต่ำกว่า 15% พร้อมจ่อยื่นขอไลเซ่นส์โรงสกัดกัญชงและกัญชา ต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง และกลุ่มการแพทย์

นายเอกพันธ์ วนโกสุม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เค.ดับบลิว. เม็ททัล เวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ KWM ผู้นำในการประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในการเกษตรและ มีประสบการณ์ด้านงานวิศวกรรมเครื่องกล และผู้นำในการผลิตเครื่องสกัดสารสกัดจากพืชสมุนไพร เปิดเผยว่า แนวโน้มภาพรวมธุรกิจในขณะนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยด้านฤดูกาลเพาะปลูกของภาคการเกษตร ประกอบกับสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย ส่งผลให้ประชากรคนในเมืองส่วนใหญ่ตัดสินใจย้ายกลับเข้าไปทำอาชีพภาคการเกษตรในภูมิลำเนาตามต่างจังหวัด ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้เร่งผลักดันการเติบโตของยอดขายสินค้าเครื่องจักรและอุปกรณ์การเกษตรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าภาพรวมผลประกอบการปี 2564 มีแนวโน้มอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 15% เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีรายได้อยู่ที่ 355.06 ล้านบาท ซึ่งเเบ่งเป็นการเติบโตของยอดขายสินค้าทั้ง 2 กลุ่มหลัก ประกอบด้วยสินค้าการเกษตรที่ผลิตให้กับกลุ่มบริษัทการเกษตรชั้นนำ ได้แก่ บริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด ภายใต้แบรนด์ "ตราช้าง" คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 80% ของรายได้รวม รวมถึงสินค้าภายใต้แบรนด์ "Pegasus" ซึ่งเป็นตราสินค้าของบริษัทเองที่ผลิตอุปกรณ์การเกษตร เช่น ใบผาล ใบจักร ใบคัดท้าย โครงผาล ใบดันดิน ใบเกลียวลำเลียง คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 20% ของรายได้รวม

ปัจจุบันบริษัทฯมีแผนเพิ่มสินค้าอุปกรณ์การเกษตรรูปแบบใหม่ๆภายใต้แบรนด์ "Pegasus" เพื่อต้องการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและยังเป็นส่วนช่วยเสริมศักยภาพทำกำไรในอนาคตให้ดีขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาขยายสินค้าเข้าไปสู่ตลาดต่างประเทศ โดยจะนำร่องกลุ่มประเทศกลุ่ม CLMV ซึ่งจะเป็นลักษณะการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีเครือข่ายและช่องทางการจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์การเกษตรในประเทศกลุ่ม CLMV เบื้องต้นคาดว่าแผนการขยายตลาดต่างประเทศน่าจะมีความชัดเจนภายในปี 2565

"จากความมุ่งมั่นอย่งหนักในการพัฒนา และผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในการเกษตรมากกว่า 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังเล็งเห็นโอกาสการยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตของเกษตรกรโดยการนำเครื่องจักรกลการเกษตรเข้ามาช่วยทำงานในไร่ ซึ่งจะช่วยลดแรงงานคนที่ขาดแคลน ยังช่วยลดขั้นตอน และเวลาการทำงานได้รวดเร็วมากขึ้น ซึ่งถือเป็นก้าวสู่การนำระบบโมเดิร์นฟาร์มมาใช้ในอุตสาหกรรมเกษตรของบ้านเราได้ ซึ่งคาดว่าจะมีการต่อยอดธุรกิจดังกล่าวในต้บริษัทย่อยในอนาคตได้อีกด้วย"

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าช่วงนี้แนวโน้มราคาเหล็กที่เป็นต้นทุนวัตถุดิบการผลิตหลักจะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ด้วยนโยบายและการวางกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยง จึงไม่ได้กังวลกับประเด็นดังกล่าว เนื่องจากบริษัทฯสามารถเจรจาขอปรับขึ้นราคาสินค้ากับคู่ค้าได้ในทุกๆไตรมาส ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุน (BOI) ทั้ง 2 โรงงาน ประกอบด้วยโรงงานแห่งที่ 1 ได้รับการลดหย่อน 50% ไปจนถึงปี 2566 และโรงงานแห่งที่ 2 ได้รับการลดหย่อนเต็มจำนวนถึงปี 2569 ซึ่งภายหลังจากนี้มีแผนย้ายสายการผลิตส่วนใหญ่มายังโรงงานแห่งที่ 2 ที่ได้รับประโยชน์ทางภาษีต่อเนื่องช่วงระยะ 5 ปี ทำให้ภาพรวมตลอดทั้งปี 2564 บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะยังรักษาความสามารถทำกำไรได้เป็นอย่างดี และยังส่งผลบวกต่ออัตรากำไรที่ดีระยะยาวด้วย

"แม้ว่าแผนเดิมบริษัทฯ จะต้องย้ายสายการผลิตส่วนใหญ่ไปโรงงานแห่งที่ 2 ภายในครึ่งปีแรก แต่ด้วยปริมาณออดเดอร์การผลิตอุปกรณ์การเกษตรที่เข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้วันนี้ยังมีความจำเป็นต้องใช้สายการผลิตเต็มที่ของโรงงานทั้ง 2 แห่งไปก่อน แต่เนื่องด้วยโรงงานแห่งที่ 2 ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเต็มจำนวนเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนความแข็งแกร่งด้านศักยภาพทำกำไรของบริษัทอย่างต่อเนื่อง"

สำหรับความคืบหน้าแผนขยายเข้าสู่ธุรกิจกัญชงและกัญชานั้น ปัจจุบันบริษัทฯ มีความสนใจยื่นขอใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานสกัดกัญชงและกัญชาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยเป็นการดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อดำเนินธุรกิจโรงงานสกัดกัญชงและกัญชงในการต่อยอดพัฒนาเพื่อวิจัยในการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ใช้ทางการแพทย์โดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพหลายราย อาทิ ความร่วมมือกับ บริษัท เอ็น.อี.เฮมพ์ จำกัด (N.E.Hemp) เป็นบริษัทย่อยของ บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวางระบบเพาะปลูกและพัฒนาสายพันธุ์เพื่อป้อนเป็นวัตถุดิบคุณภาพที่มีสาร THC และ CBD ตามหลักเกณฑ์ของสำนักงาน อย.ที่กำหนดไว้ในข้อกฎหมาย

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแนวทางจัดตั้งบริษัทย่อยอีก 1 แห่งเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรต่อยอดประกอบธุรกิจโรงงานสกัดสารประเภทอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกัญชงและกัญชา โดยจะมุ่งเน้นสารสกัด ที่เกี่ยวข้องกับสมุนไพร เพื่อนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องสำอางเป็นหลักตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั้งกลุ่มลูกค้าคนไทยและต่างประเทศ

 

 

ด้าน บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค (DOD) ผนึกพันธมิตรทางธุรกิจ ลงนามความร่วมมือ บมจ.เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท (FN) ลุยออกผลิตภัณฑ์สกินแคร์ 3 โปรดัก พร้อมเตรียมต่อยอดผลิตภัณฑ์จากกัญชงเร็วๆนี้ ระบุ ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการต่อยอดธุรกิจของ 2 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ภายใต้การเป็น Strategic Partner ที่ร่วมคิดค้นพัฒนาสูตร การสกัดเพื่อแปรรูปผลิตภัณฑ์ มั่นใจจะช่วยผลักดันให้มูลค่าการตลาดทั้ง 2 บริษัทเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

 

นายธนิน ศรีเศรษฐี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD เป็นผู้นำด้านความเชี่ยวชาญในการพัฒนาวิจัยคิดค้นสูตรนวัตกรรมและการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอางและสกินแคร์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา บริษัทฯได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำเร็จ (Finished product) กับบริษัท เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท จำกัด (มหาชน)หรือ FN โดยความร่วมมือในครั้งนี้ DOD จะวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สำเร็จ รวมถึงการดำเนินการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมกลุ่มเครื่องสำอางประเภทบำรุงผิว (Skin care) กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเครื่องดื่ม ที่มีส่วนผสมจากสารสกัดจากกัญชง (หลังจากได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการอาหารและยา) จนกระทั่งถึงการขอจดทะเบียนและการขออนุญาตกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้ FN สามารถนำเอาผลิตภัณฑ์สำเร็จ (Finished Product) ออกจำหน่ายสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศในเร็วๆนี้ได้

 

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ เชื่อว่าเป็นการต่อยอดธุรกิจของ 2 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ภายใต้การเป็น Strategic Partner ร่วมกัน ทั้งคิดค้นพัฒนาสูตร การสกัดเพื่อแปรรูปผลิตภัณฑ์ รวมถึงการจำหน่าย โดยเชื่อว่าด้วยจุดเด่นของทั้ง 2 บริษัทจะช่วยผลักดันให้มูลค่าการตลาดทั้งในส่วนของ ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย และผู้บริโภค เติบโตไปพร้อมๆกัน

ทั้งนี้ FN มีจุดแข็งด้านการเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าคุณภาพดี ดีไซน์ทันสมัย และมีนวัตกรรมใหม่ๆและมีช่องทางการจัดหน่ายที่หลากหลาย ทั้งเอ๊าท์เลท 11 สาขา และ 1 มินิชอปในกรุงเทพมหานคร และหน่วยขายรถทันใจ ช่องทางออนไลน์ ได้แก่ FN application, Line@, Facebook: FN Outlet และแพลทฟอร์มอื่นๆ

 

ขณะที่ DOD มีจุดแข็งและความพร้อมด้านโรงสกัดวัตถุดิบ พร้อมด้วยทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D)ที่ค้นคว้าวิจัยนวัตกรรมและพัฒนาสารสกัดพืชสมุนไพร สู่การต่อยอดไปยังการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสกินแคร์คอสเมติกส์ ขณะเดียวกันยังมีบริษัท สยาม เฮอเบิล เทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ DOD มาเสริมศักยภาพในการต่อยอดการผลิตธุรกิจกัญชง ด้วยความร่วมมือระหว่าง 2 บริษัทมหาชนในครั้งนี้ จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ DOD และ FN ในอนาคตได้อย่างมีนัยสำคัญ

 


ด้านนาย ธรรมศักดิ์ จิตติมาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท จำกัด (มหาชน) หรือ FN กล่าวว่า FN มีเป้าหมาย พัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์เรื่องการนอนอย่างประสิทธิภาพ นอกเหนือจากกลุ่มผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการนอน ที่บริษัทมีอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ หมอน ที่นอน Topper ผ้าปูที่นอน เตียง เป็นต้น จึงเป็นที่มาของการมุ่งที่จะพัฒนากลุ่มสินค้าเกี่ยวกับการเพิ่มคุณภาพของการนอนให้หลับสบาย จึงเป็นที่มาของการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (Finished product) กับ บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค โดยความร่วมมือในครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันพัฒนาและผลิตสินค้า อาทิ 1)Bibury Coln x Prim (ไบบูรี โคลน์ พลัส พริม)ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ฉีดก่อนเข้านอน (Sleeping Mist) 2)Mikrai (มิคลาย) ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวกาย (Body Wash) และ3) Mikrai (มิคลาย) ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกาย (Body Lotion) พร้อมกันนี้ยังมีแผนการพัฒนาสินค้ากลุ่มอื่นๆที่มีส่วนผสมของกัญชงต่อไปอีกด้วย

 

“ FN เริ่มวางแผนปรับพื้นที่เอ๊าท์เลท เพื่อรองรับการวางสินค้ากลุ่มนี้ และพร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตสินค้ามีส่วนผสมของกัญชง รวมถึงผู้ผลิตรายเล็กที่อยู่ในชุมชนบริเวณพื้นที่ที่มีเอ้าท์เลทตั้งอยู่ สามารถมาร่วมวางจำหน่ายกับบริษัทได้ทุกช่องทาง รวมทั้งการส่งออกในอนาคต ”

 


-----จบ----

 

 


 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

รอดเท่ากับไม่เทรด By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง มองไม่ค่อยเห็น ผู้ชนะในเกมหุ้น แต่นักลงทุนที่รอด ชัวร์ๆ นั่นคือ หยุดเทรด ไม่เทรด ไม่ซื้อขาย ...

มัลติมีเดีย

NER กางปีก..รับราคายางพาราพุ่ง - สายตรงอินไซด์ - 18 มี.ค.67

NER กางปีก..รับราคายางพาราพุ่ง - สายตรงอินไซด์ - 18 มี.ค.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้