Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews : NER ลั่นปี 64 ยอดขายแตะ 2.1-2.4 หมื่นลบ. หลังอัพกำลังการผลิต-ลูกค้าต่อคิวสั่งออเดอร์แน่น

3,845

HotNews : NER ลั่นปี 64 ยอดขายแตะ 2.1-2.4 หมื่นลบ. หลังอัพกำลังการผลิต-ลูกค้าต่อคิวสั่งออเดอร์แน่น

 

 


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (19 พฤศจิกายน 2563) NER วางเป้ายอดขายปี 64 แตะ 2.1-2.4 หมื่นลบ. หลังอัพกำลังผลิตเพิ่ม - ราคายางพุ่ง-ลูกค้าต่อคิวสั่งออเดอร์ พร้อมควักเงิน 240 ลบ. ใช้ลงทุนธุรกิจแผ่นปูนอนในคอกปศุสัตว์ หวังเริ่มเดินเครื่องผลิตพร้อมขายก่อน Q2/64 ขณะที่ส่งซิกผลงาน Q4/63 สุดปัง ตามราคายางประเมินคาดสิ้นปีนี้ ราคาเฉลี่ย 55-60 บ./ก.ก. ส่วนปี 64 คาดเฉลี่ย 60-70 บ./ก.ก.

 

 

 

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เปิดเผยว่า บริษัทฯวางเป้ายอดขายปี 2564 แตะที่ระดับ 21,000-24,000 ล้านบาท และมีปริมาณการขายอยู่ที่ 410,000 ตัน เนื่องจาก กำลังการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 465,000 ตัน จากเดิม 290,000 ตัน รวมถึงประเมินว่าทิศทางราคายางพาราจะปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 60-70 บาท/กิโลกรัม จากปีนี้ ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 55-60 บาท/กิโลกรัม หลังมีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยาง อีกทั้งบริษัทฯคาดว่าอุตสาหกรรมการผลิตยางล้อรถยนต์จะเห็นสัญญานการฟื้นตัวที่ดีอกีครั้ง โดยปัจจุบันบริษัทฯมีคำสั่งซื้อเข้ามาแล้ว ประกอบกับปัจจุบันบริษัทฯยังมีคำสั่งซื้อจากลูกค้าใหม่และลูกค้ารายได้ในรูปแบบระยะยาว(Long Term)เพิ่มขึ้น

 

 


ด้านงบลงทุนปี 2564 วางไว้ที่ 240 ล้านบาท เพื่อใช้รองรับการขยายธุรกิจแผ่นปูนอนในคอกปศุสัตว์ ซึ่งปัจจุบันยู่ในขั้นตอนการการจดลิขสิทธิ์ในด้านของรูปลักษณ์ หากแล้วเสร็จขั้นตอนดังกล่าว บริษัทฯก็คาดจะเริ่มกระบวนการลงทุนเครื่องจักรและผลิตเพื่อจำหน่ายได้ทันทีภายในไตรมาส 2/2564 ทั้งนี้จากการที่บริษัทนสำรวจตลาดผลิตภัณฑ์ประเภทแผ่นปูนอนวัวพบว่า ตลาดมีความต้องการสูงและใช้ต้นทุนผลิตในระดับต่ำจึงเป็นสินค้าที่มีกำไรขั้นต้นในระดับที่สูง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯในปีหน้าด้วยเช่นกัน

 

 

 

 


นายชูวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวโน้มไตรมาส 4/2563 บริษัทฯมั่นใจว่าผลการดำเนินงานจะทำจุดสูงสุดของปีนี้ เนื่องด้วยได้จำหน่ายสินค้าล่วงหน้าในช่วงที่ราคายางอยู่ในระดับสูงสุดของปี ดังนั้นรายได้ทั้งปีประเมินว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 17,000 ล้านบาท

 

 


สำหรับเหตุการณ์เพลิงไหม้คลังเก็บสินค้าของบริษัทฯในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมานั้น บริษัทฯได้มีการบันทึกสำรองค่าเสียหายไปแล้วช่วงไตรมาส 3/2563 จำนวน 30.89 ล้านบาท โดยอาคารดังกล่าวมีประกันภัยในส่วนของอาคารประมาณ10ล้านบาทและประกันภัยในส่วนของสินค้า 200 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการตกลงค่าสินไหมกับบริษัทประกันภัยที่บริษัททำไว้กับ 11 บริษัท คาดว่าจะสามารถสรุปตัวเลขและบันทึกกลับมาในช่วงไตรมาส 4/2563

 

 

 

 

 

 

 

 


บล.เคทีบี (ประเทศไทย) แนะนำ "BUY" เป้า 5 บาท/หุ้น

 

 

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์เปิดเผยว่า เราคงคำแนะนำ ซื้อ หุ้น NER และราคาเป้าหมายที่ 5.00 บาท อิง 2021E PER ที่ 8x (5-Yr. average PER หลังจากเข้าตลาด) โดยเรา rollover ไปใช้เป้าหมายปีหน้า แต่ปรับลด PER เป็น 8x (5-Yr. average PER หลังจากเข้าตลาด) จากเดิมที่ 9x (+1SD ค่าเฉลี่ยย้อนหลังตั้งแต่เข้าตลาด) เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่มากขึ้นจากลูกค้าล้อยางบางส่วนอาจได้รับผลกระทบจากการยกเลิก GSP ของสหรัฐฯ โดย NER รายงานกำไรปกติ 3Q20 ที่ 201 ล้านบาท (+46% YoY, +26% QoQ) ต่ำกว่าตลาดคาด 6%

 

 

เนื่องจากราคาขายในไตรมาสนี้เป็นราคาที่ตกลงกันล่วงหน้าตาม SICOM ในช่วงพ.ค.-มิ.ย.ที่ราคายางค่อนข้างต่ำ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ ขณะที่บริษัทมีรายการพิเศษคือตั้งสำรองจากไฟไหม้โกดัง 31 ล้านบาท และมีขาดทุน FX และอนุพันธ์รวมอยู่ที่ 17 ล้านบาท หากรวมรายการพิเศษดังกล่าว บริษัทจะมีกำไรสุทธิที่ 152 ล้านบาท +3% YoY, -32% QoQ

 



เราปรับกำไรสุทธิปี 2020E ลง 9% อยู่ที่ 766 ล้านบาท(+42% YoY) จากการปรับ gross margin ลงมาที่ 11.6% จากเดิม 11.8% เพราะราคาขายที่ค่อนข้างอ่อนตัวใน 3Q20 ทั้งนี้ใน 4Q20E แนวโน้มราคายางยังปรับตัวดีขึ้นตามราคา SICOM ซึ่งอยู่ในระดับสูง จากความต้องการจากลูกค้ายางรถยนต์ในจีนกลับมาเดินการผลิต รวมถึงอุปทานที่ตึงตัวเพราะความต้องการถุงมือยางด้วย อีกทั้งกำลังการผลิตของโรงงานใหม่จะเดินได้เต็มที่มากกว่าไตรมาสก่อน ขณะที่เราปรับกำไรสุทธิปี 2021E ลง 4% อยู่ที่ 1.03 พันล้านบาท (+23% YoY) เพราะปรับอัตรากำไรลงมาที่ 11.6% จากเดิม 11.8% เนื่องจากความต้องการอาจจะเริ่มอ่อนลงบ้างเพราะตลาดล้อยางรถยนต์บางส่วนอาจเริ่มได้รับผลกระทบจากการยกเลิก GSP ของสหรัฐฯ

 

 

ราคาหุ้น outperform SET +8% ใน 1 เดือนจากคาดการณ์แนวโน้มที่ดีในช่วงที่เหลือของปี ทั้งนี้เรายังแนะนำ ซื้อ ปัจจุบัน NER เทรดที่ 2021E PER ที่ 7x ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มยางที่ 11x โดยมี key catalyst คือ ลูกค้ากลับมาผลิต รวมถึงการเดินเครื่องกำลังการผลิตใหม่ได้เต็มที่มากขึ้นใน 4Q20

 

 


รายงานกำไรปกติ 3Q20 ที่ 201 ล้านบาท +46% YoY, +26% QoQ ต่ำกว่าตลาดคาด 6% NER รายงานกำไรปกติ 3Q20 ที่ 201 ล้านบาท (+46% YoY, +26% QoQ) ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาด 6% เนื่องจากราคาขายในไตรมาสนี้เป็นราคาที่ตกลงกันล่วงหน้าตาม SICOM ในช่วงพ.ค.-มิ.ย.ที่ราคายางค่อนข้างต่ำที่ 35-38 ต่อกก. ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ ขณะที่บริษัทมีรายการพิเศษคือตั้งสำรองจากไฟไหม้โกดังประมาณ 31 ล้านบาท และมีรายการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน และอนุพันธ์อยู่ที่ 10 ล้านบาท และ7 ล้านบาท ตามลำดับ หากรวมรายการพิเศษดังกล่าว บริษัทจะมีกำไรสุทธิที่ 152 ล้านบาท +3% YoY, -32% QoQ การเติบโต YoY และQoQ มาจากความต้องการยางที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ในไตรมาสสาม บริษัทได้รับผลดีจากกำลังผลิตของโรงงานใหม่ที่เข้ามา โดยปริมาณขายใน 3Q20 อยู่ในระดับสูงที่ 106,292 ตัน (+72%YoY, +68% QoQ) เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นจากลูกค้าล้อยางกลับมาเดินการผลิต

 

 

ปรับกำไรสุทธิปี 2020E/21E ลงสะท้อนผลประกอบการที่อ่อนกว่าคาด เราปรับกำไรสุทธิปี 2020E ลง 9% อยู่ที่ 766 ล้านบาท(+42% YoY) จากการปรับอัตรากำไรขั้นต้นลงมาที่ 11.6% จากเดิม 11.8% เพราะราคาขายที่ค่อนข้างอ่อนตัวในไตรมาสสาม ทั้งนี้ใน 4Q20E แนวโน้มราคายางยังปรับตัวดีขึ้นตามราคา SICOM ซึ่งอยู่ในระดับสูงที่ 42-45 บาทต่อกก.จากความต้องการจากลูกค้ายางรถยนต์ในจีนกลับมาเดินการผลิตในระดับ 70-80% รวมถึงอุปทานที่ตึงตัวเพราะความต้องการถุงมือยางด้วย อีกทั้งกำลังการผลิตของโรงงานใหม่ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิม 60% ( 2.92 แสนตัน/ปี เป็น 4.65 แสนต้น/ปี เพิ่มขึ้น 1.72 แสนต้นต่อปี)จะเดินได้เต็มที่มากกว่าไตรมาสก่อน

 

 

ขณะที่เราปรับกำไรสุทธิปี 2021E ลง 4% อยู่ที่ 1.03 พันล้านบาท (+23% YoY) เพราะปรับอัตรากำไรลงมาที่ 11.6% จากเดิม 11.8% เนื่องจากความต้องการอาจจะเริ่มอ่อนลงบ้างเพราะตลาดล้อยางรถยนต์บางส่วนอาจเริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการการยกเลิก GSP ของสหรัฐฯ

 

 


ราคาเป้าหมายที่ 5.0 บาท อิง 2021E PER ที่ 8x (5-Yr. average PER หลังจากเข้าตลาด) โดยเรา rollover ไปใช้เป้าหมายปีหน้า แต่ปรับลด PER เป็น 8x จากเดิมที่ 9x (+1SD ค่าเฉลี่ยย้อนหลังตั้งแต่เข้าตลาด) เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่มากขึ้นจากลูกค้าล้อยางบางส่วนอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า โดยมี key catalyst คือ บริษัทยังมีเติบโตต่อเนื่องจากการขยายกำลังผลิต รวมถึงโรงงานของลูกค้าในจีนกลับมาเดินการผลิต ขณะที่ความเสี่ยงคือ การฟื้นตัวจาก COVID-19 ล่าช้ากว่าที่คาดไว้และมาตรการกีดกันทางการค้า

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

เกาะเส้นกราฟ By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ บ่ายวันนี้ นักลงทุน คงต้องเกาะเส้นกราฟ เทรดตามกรอบแนวรับ แนวต้าน....

SPREME โรดโชว์หาดใหญ่คึกคัก

SPREME โรดโชว์หาดใหญ่คึกคัก

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้