Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews: BM ปักหมุดรายได้ปีหน้าโต10-20% - VTE มั่นใจ Q4 พลิกมีกำไร - MAX กระเตื้อง โค้ง3ขาดทุนลดลง

1,284

 
 
 
 
 
 
 
HotNews: BM  ปักหมุดรายได้ปีหน้าโต10-20%
-  VTE มั่นใจ Q4 พลิกมีกำไร
  - MAX  กระเตื้อง โค้ง3ขาดทุนลดลง

  สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(   15 พฤศจิกายน   2560)-------- BM ตั้งเป้ารายได้ปีหน้าโต10-20% เน้นขยายตลาด B2B  อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรในประเทศ เพื่อเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง  -เคาะรูปแบบการลงทุนในเมียนมาร์ ร่วมกับ NITTO ในQ1/61 
"ศุภศิษฏ์ โภคินจารุรัศมิ์ "  บิ๊ก VTE มั่นใจ Q4 นี้ พลิกมีกำไร เหตุรับชำระเงินจากการขายโรงไฟฟ้า 2 โรงครบแล้ว
    MAX แจงไตรมาส3/60ขาดทุนลดลง เหตุรับรู้รายได้จากธุรกิจผลิตจำหน่ายน้ำมันปาล์ม

นายธีรวัต อมรธาตรี กรรมการผู้จัดการ  บริษัท บางกอกชีทเม็ททัล จำกัด (มหาชน)BM   เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี2561 เติบโต 10-20%  จากปีนี้ที่คาดว่าภาพรวมรายได้รวมจะเติบโตประมาณ 5%   จากปีก่อนที่มีรายได้ 850 ล้านบาท  โดยปีหน้าบริษัทจะเน้นขยายตลาดกลุ่ม Business-to-Business (B2B)  มากขึ้น คาดว่าสัดส่วนรายได้กลุ่ม B2B จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 50%  จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ประมาณ 42%   โดยคาดว่าจะได้รับงานจากคูโบต้ามากขึ้น ซึ่งในปีหน้าคูโบต้ามีแผนเพิ่มกำลังการผลิตรถเกี่ยวข้าวเพิ่มขึ้นอีก22%   เป็นปัจจัยสนับสนุนให้สัดส่วนรายได้กลุ่ม B2B ซึ่งบริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมด้านเครื่องจักรรองรับงานที่เพิ่มขึ้นแล้ว  ขณะที่งานในกลุ่มรับเหมางานระบบในส่วนงานระบบไฟฟ้าและผู้รับเหมาโครงการก่อสร้าง (Contractors ) บริษัทยังมีงานที่รอรับรู้รายได้ในปีหน้า ซึ่งเป็นงานที่เลื่อนการส่งมอบงานจากปีนี้อีกหลายงาน เช่นงานวางระบบของรถไฟไฟ้า  รวมทั้งงานสนามบิน  มูลค่ามากกว่า 100  ล้านบาท ซึ่งงานContractors ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ประมาณ 58% 
สำหรับความร่วมมือกับ NITTO KOGYO CORPORATION (NITTO)  พันธมิตรจากญี่ปุ่น  หลังจากที่บริษัทออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 40,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ที่ราคาเสนอขาย 3.73 บาท/หุ้น รวมมูลค่าทั้งสิ้น 149.20 ล้านบาท ซึ่งกำหนดวันจองซื้อและชำระค่าหุ้น ระหว่างวันที่14 พฤศจิกายน-20 พฤศจิกายน นี้  ขั้นตอนหลังจากนี้ บริษัท มีแผนจะลงทุนขยายธุรกิจในประเทศเมียนมาร์ ร่วมกับ NITTO  โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท  ซึ่งรูปแบบการลงทุนที่ศึกษาอยู่มีอยู่ 2 รูปแบบ ประกอบด้วย การเข้าไปลงทุนตั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมดรากอน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีการเซ็น  Agreement  กับพันธมิตรในเมียนมาร์ ไปแล้ว   ส่วนรูปแบบที่ 2 บริษัทจะเข้าไปตั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมติลาวา   แต่อย่างไรก็ตามรูปแบบการลงทุนที่ชัดเจนบริษัทคาดว่าจะมีข้อสรุปออกมาในไตรมาส1/61  ซึ่งหลังจากเริ่มดำเนินการ คาดว่าการรับรู้รายได้จะเข้ามาช่วงไตรมาส4/61 
พร้อมกันนี้บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนPP  เพื่อลงทุนซื้อเครื่องจักร โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 60 ล้านบาท และคาดว่าจะเริ่มลงทุนภายในไตรมาส 4/60   โดยบริษัทได้มีการสั่งเครื่องจักรเข้ามาบางส่วนแล้ว
ด้านนายธานิน สัจจะบริบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร   บริษัท บางกอกชีทเม็ททัล จำกัด (มหาชน)BM เปิดเผยว่า นอกเหนือจากการที่  NITTO  ได้เข้ามาลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มทุนPP  แล้ว บริษัทและ  NITTO   ยังมีแผนที่จะร่วมมือทางธุรกิจเพื่อต่อยอดธุรกิจร่วมกันอย่างต่อเนื่องในอนาคต  ซึ่ง  NITTO  มีความต้องการที่จะต่อยอดลูกค้าในไทยรวมไปถึงในภูมิภาคอาเซียนด้วย  โดยความร่วมมือทางธุรกิจที่ชัดเจนระหว่างบริษัทและ NITTO   จะมีการเปิดเผยความคืบหน้าและรายละเอียดที่มากขึ้นได้ภายในเดือนธันวาคมนี้ 
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนที่จะร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศ  เพื่อเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องร่วมกัน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างขั้นตอนการการเจรจา โดยพันธมิตรดังกล่าวเป็นอยู่ในธุรกิจประเภทที่คล้ายคลึงกับบริษัท เป็นบริษัทที่มียอดขายประมาณ 1,000  ล้านบาท/ปี ใกล้เคียงกับบริษัท  แต่มีอัตราการทำกำไรดี ทั้งนี้คาดว่าจะมีความชัดเจนถังการเข้าลงทุนได้ในไตรมาส1/61  เช่นกัน 
ทั้งนี้ บริษัทเชื่อว่าการขายหุ้นเพิ่มทุนPP  ให้  NITTO  ครั้งนี้  จะทำให้บริษัทมีโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่ง และเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้แก่บริษัท โดยคาดว่าหลังจากได้เงินจากการขายหุ้นเข้ามาจำนวน  149.20  ล้านบาท จะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน( D/E) ของบริษัทลดลงเหลือ0.1-0.2 เท่า  จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.5 เท่า  รวมทั้งยังเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนรองรับการขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

นายศุภศิษฏ์ โภคินจารุรัศมิ์ กรรมการและกรรมการบริหารบริษัท วินเทจ วิศวกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ VTE เปิดเผยถึงรายละเอียดล่าสุดเกี่ยวกับโครงการของบริษัท ว่าขณะนี้บริษัททยอยรับรู้รายได้จากการรับเหมาก่อสร้าง “โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดกำลังการผลิต 220 เมกะวัตต์ ณ เมืองมินบู ประเทศพม่า” ซึ่งมีเข้ามาตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2560 เป็นต้นไป โดยล่าสุดบริษัทได้จัดส่งแผงโซลาสำหรับการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าเฟสแรกถึงไซต์ก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ในกระบวนการติดตั้งขนาดแฝงโซลาดังกล่าว (ขนาด 50MW) จากการดำเนินงานที่รวดเร็วซึ่งได้ร่วมมือกับผู้รับเหมาที่มีประสบการณ์นี้จะทำให้สามารถสร้างโรงไฟฟ้าเฟสแรกเสร็จได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดและ COD ได้ภายในช่วงกลางปี 2018
อีกทั้งบริษัทฯ จะได้รับเงินมัดจำคืนจากการศึกษาโครงการ 2 โครงการ ที่ได้วางมัดจำเพื่อเข้าทำการศึกษาสถานะแต่ทางบริษัทฯตัดสินใจที่จะไม่เข้าลงทุน เป็นจำนวนเงินประมาณ 150 ล้านบาทจาก โครงการพลังงานแสงอาทิตย์เมืองฟุกุชิมะ (14.7 MW) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์เมืองนีงาตะ (9.6 MW) ประเทศญี่ปุ่น ในไตรมาสที่ 4/2560 
ด้านการรับชำระเงินจากการขายโรงไฟฟ้า 2 โรงได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อิงะ (Iga) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คาโงะชิมา(Kagoshima) ประเทศญี่ปุ่น บริษัทฯได้รับเงินครบเต็มจำนวนแล้วตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ 4/2560  ซึ่งการทยอยรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้ามินบู, การได้รับเงินมัดจำการศึกษาโครงการคืน รวมถึงการได้รับชำระเงินจากการขายโรงไฟฟ้าครบแล้วนั้น จะทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 4/2560  โดยจะนำเงินส่วนนี้มาชำระหนี้ตั๋ว BE ซึ่งเป็นการลดภาระรายจ่ายดอกเบี้ย และบริษัทฯเชื่อมั่นว่าในไตรมาส 4/2560 บริษัทฯ จะสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างแน่นอน 
นอกจากนี้บริษัทฯ กำลังอยู่ในช่วงการจัดเตรียมงานพิธีเปิดโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ณ เมืองมินบู ประเทศพม่า ที่จะมีขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งจะได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิจากรัฐบาลพม่ามาเป็นประธานในพิธีเปิดและแขกผู้มีเกียรติอื่นๆเข้าร่วมเป็นศักขีพยานการก่อสร้างโครงการในครั้งนี้
 
บริษัท แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MAX รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทประจำไตรมาสที่ 3/2560 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 ว่ามีงบการเงินรวมขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 8.671 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสที่ 2/2560 ที่ขาดทุนสุทธิ 27.82 ล้านบาท 
ในส่วนการจัดทำงบการเงินรวมตามสัดส่วนเฉพาะที่อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทฯ ไตรมาส 3/2560 มีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ จำนวน 5.45 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิลดลงจากไตรมาส 2/2560 จำนวน 19.00 ล้านบาท หรือร้อยละ 77.72 โดยมีสาเหตุหลักมาจากในไตรมาส 3/2560 มีการรับรู้รายได้จากบริษัทย่อย คือ บริษัท เอชเอ็นซี เพาเวอร์ จำกัด (“HNC”) ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์ม จำนวน 228.66 ล้านบาท และกำไรขั้นต้น 8.70 ล้านบาท ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลง 1.26 ล้านบาท และต้นทุนทางการเงินลดลง 1.71 ล้านบาท ในขณะที่ ในไตรมาส 2/2560 ได้มีการตั้งสำรองลูกหนี้กรมสรรพากร 8.92 ล้านบาท
  ไตรมาสที่ 3/2560 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการรวม 241.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสที่ 2/2560 เท่ากับ 182.16 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 306.41 ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากการรับรู้รายได้จากธุรกิจผลิตจำหน่ายน้ำมันปาล์มเต็มไตรมาส โดยรายได้ของบริษัทในไตรมาสที่ 3/2560 สามารถแบ่งออกได้เป็น รายได้จากการขายเหล็ก 5.63 ล้านบาท, รายได้จากการบริการสนามกอล์ฟ 7.32 ล้านบาท, รายได้จากการผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์ม 228.66 ล้านบาท, รายได้อื่นซึ่งส่วนใหญ่มาจากดอกเบี้ยรับจากตั๋วเงินระยะสั้น โดยในไตรมาส 3/2560 บริษัทมีรายได้อื่นรวม 7.57 ล้านบาท และบริษัทฯมีค่าใช้จ่ายในการขายและค่าใช้จ่ายในการบริหารในไตรมาส 3/2560 รวม 17.30 ล้านบาท ลดลงจาก ไตรมาสก่อนเล็กน้อย เท่ากับ 1.26 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.80
  ปัจจุบันบริษัทฯถือหุ้นอยู่ใน บริษัท เอ็ม เอส พี เมทัล จำกัด อยู่ในอัตราส่วนร้อยละ 99.99 ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯดำเนินการจัดหา ผลิตและจาหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็ก, บริษัท เดอะ มาเจสติค ครีก คันทรีคลับ จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 80 ดำเนินธุรกิจสนามกอล์ฟ และบริษัท เอชเอ็นซี เพาเวอร์ จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 60 ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์ม
    

----จบ--- 
 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้