Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews : IAA มอบ 5 หุ้นเด่นรับ H2/63 / กูรูทิสโก้ชี้ 4ปัจจัยลบฉุด SET ผันผวน

1,726

HotNews : IAA มอบ 5 หุ้นเด่นรับ H2/63 / กูรูทิสโก้ชี้ 4ปัจจัยลบฉุด SET ผันผวน

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (2 กรกฏาคม 2563) ----นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) ในครึ่งหลังของปี 2563 นี้ โดยครั้งนี้มีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 20 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จำนวน 15 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจำนวน 4 บริษัท และบริษัทโกลด์ ฟิวส์เจอร์ส 1 บริษัท ซึ่งได้ปรับสมมติฐานหลักเป็นปัจจุบันแล้ว ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

 

 


สมมติฐานด้าน GDP ในปีนี้ มีค่าเฉลี่ยการขยายตัวที่ -7.21% ส่วนสมมติฐาน GDP ปี 64 นั้นผู้ตอบทุกรายมองว่าเป็นบวกเฉลี่ยอยู่ที่ 4.24% และไม่มีผู้ตอบที่มองแย้งว่า GDP ปี 64 จะติดลบ

 

ทางด้านราคาน้ำมัน ผู้ตอบแบบสอบถามได้ปรับใช้สมมติฐาน ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปี 2563 ที่ 41.13 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยแยกตามกลุ่ม มีผู้ตอบดังนี้


• 35 – 39.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 10.53
• 40 – 44.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 63.16
• 45 - 49.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 26.32

 

 


สำหรับปัจจัยที่มีผลบวกต่อดัชนีราคาหุ้นไทยในครึ่งหลังของปี 2563 ได้แก่ มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก ผู้ตอบแบบสำรวจ 95% เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก รองลงมาผู้ตอบ 70% คาดว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา (FED) และผู้ตอบ 50% คาดว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ จะส่งผลบวก ส่วนปัจจัยอื่นๆ ไม่มีปัจจัยใดที่มีผู้ตอบถึง 50% ที่ระบุว่าเป็นบวก

 

 


ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลในด้านลบต่อตลาดทุนไทยในครึ่งหลังของปี 2563 ได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจต่างประเทศทั้ง อเมริกา ยุโรป เอเชีย รองลงมา คือปัจจัยด้านผลประกอบการของบจ. และสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 เป็นปัจจัยที่มีเสียงโหวต 80% ขึ้นไป และเศรษฐกิจภายในประเทศ 75% ตามลำดับ

 

 


เป็นที่น่าสังเกตุว่าปัจจัยทางด้านการเมืองในประเทศนั้นไม่มีผลมากนักต่อทิศทางราคาหุ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยมีผู้ตอบเพียง 10% ที่มองว่าจะเป็นผลบวก และมีผู้ตอบ 35% ที่มองแย้งว่าจะเป็นผลลบ

 

 


สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ได้สอบถามความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับ ข้อเสนอแนะว่าภาครัฐควรเร่งนโยบายเรื่องใดที่มีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่เสนอให้ภาครัฐใช้นโยบายการคลัง โดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชนให้มีกำลังซื้อ จำนวน 47.06% ของผู้ตอบ ได้แก่ ชดเชยรายได้ การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ฯลฯ ส่วนด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจ มีผู้ตอบ 41.18% ข้อเสนอได้แก่ การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลง หรือการชดเชยอื่นๆ ที่เป็นรูปธรรมให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ นอกเหนือจากข้อเสนอดังกล่าว มีผู้ตอบ 35.29% ที่เสนอให้ภาครัฐเร่งโครงการลงทุนภาครัฐ มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศเพื่อกระตุ้นการจ้างงาน

 

 


ด้านการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับลด 0.25% ในครึ่งหลังของปี 2563 ร้อยละ 60 ของผู้ตอบ และคาดว่าคงที่ ร้อยละ 40 ตามลำดับ
คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดเฉลี่ยที่ 65.44 บาท ลดจากการสำรวจครั้งก่อน 79.70 โดย แยกตามกลุ่มมีผู้ตอบดังนี้


• 60 – 64.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 23.53
• 65 – 69.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 64.71
• 70 - 74.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 11.76


EPS Growth ของงบปี 2563 คาดว่า EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ -22.30 เมื่อแยกตามช่วงระดับการเติบโต จะอยู่ระหว่างร้อยละ


• -1 ถึง -9.99 มีผู้ตอบร้อยละ 11.76
• -10 ถึง -19.99 มีผู้ตอบร้อยละ 11.76
• -20 ถึง -29.99 มีผู้ตอบร้อยละ 64.71
• -30 ถึง -39.99 มีผู้ตอบร้อยละ 11.76

 

 


ความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนร้อยละ 45 มองว่าดัชนีราคาหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่3 มีแนวโน้มไปในทิศทางลบ ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 35 มองไปในในทิศทางSideways หรือไม่เปลี่ยนแปลงไปมากจากไตรมาส 2 และร้อยละ20 มองว่าตลาดจะเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวก ทั้งนี้นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนคาดว่าดัชนีราคาหุ้นไทย ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,347 จุด

 

 


สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการขับเคลื่อนตลาดในไตรมาส 3 นั้นนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า สถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 รวมถึงความเสี่ยงของการเกิด Second Wave เป็นปัจจัยลำดับแรกที่มีอิทธิพลต่อทิศทางราคาหุ้นไทยระยะสั้น รองลงมาคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและผลประกอบการ ตามลำดับ

 

 


สำหรับจุดสูงสุดของ SET Index ในช่วง ก.ค. ถึงสิ้นปี 2563 เฉลี่ยที่ระดับ 1,448 จุด ทั้งนี้มีผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 72.22 ที่คาดว่าดัชนีจะทำจุดสูงสุด 1,401 – 1,500 จุด และมีผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 22.22 ที่คาดว่าจุดสูงสุดจะอยู่ในช่วง 1,301 – 1,400 ตามลำดับคาดการณ์จุดต่ำสุดของดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) ระหว่างปีนับจากนี้มีค่าเฉลี่ยจุดต่ำสุด ที่ 1,236 จุด ทั้งนี้นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนคาดเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2563 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,383 จุด ซึ่งมากกว่าผลสำรวจของไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 1,276 จุด

 

 

ความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุน มีความเห็นว่าร้อยละ 23.71 แนะนำลงทุนหุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย รองลงมา ร้อยละ 19.71 มองว่าลงทุนในกองทุนตราสารหนี้และร้อยละ 18.53 แนะนำลงทุนในหุ้นต่างประเทศ/กองทุนหุ้นต่างประเทศ ตามลำดับ

 

5 หุ้นเด่น รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำโดยมีจำนวนสำนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป มีดังนี้

 


1.ADVANC โดยมีปัจจัยบวก 3 ปัจจัยคือ 1)บริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งทำให้ยังสามารถจ่ายปันผลได้อย่างต่อเนื่องโดยปัจจุบันเงินปันผลอยู่ที่ระดับ 3-4% 2)การเพิ่มขึ้นของการใช้งานบริการอินเตอร์เน็ต WiFi ในช่วงไวรัส COVID-19 ระบาด เพิ่มขึ้นมากถึง 41.5% หลังหลายธุรกิจให้พนักงาน Work From Home 3)เป็นหุ้นใหญ่ที่ยังมีการปรับตัวขึ้นไปไม่มากในช่วงที่ผ่านมา ADVANC มีการปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ราคา 156.50 บาท มาทรงตัวอยู่ที่ระดับราคา 185.00 บาท

 

2.CK มีประเด็นสนับสนุนจาก ภาพรวมการก่อสร้างในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 มีการชะลอการประมูลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ออกไปหลายโครงการเนื่องจากการแพร่กระจายของไวรัส COVID-19 แต่หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศ เริ่มลดลงจนกระทั่งเป็น 0 รายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาครัฐเริ่มมีการกลับมาเปิดประมูลโครงการใหญ่ๆหลายโครงการได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มูลค่า 1.1 แสนล้านบาท,โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) มูลค่ากว่า 8 หมื่นล้านบาท และ ยังมีโครงการรอการเปิดประมูลงานเดินรถของรถไฟฟ้าสายสีม่วง (ราษฎร์บูรณะ-คลองบางไผ่) รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม) เป็นมูลค่างานก่อสร้าง 9.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง


3.CPALL โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากเป็นผู้นำร้านค้าสะดวกซื้อซึ่งจะฟื้นตัวได้ดีที่สุด และได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ ผสานกับการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง จะกลับมาหนุนกำไรปีหน้าโต 2 หลัก +14%


4.CPF โดยมีปัจจัยหนุนจากราคาเนื้อสัตว์สูงจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น ชดเชยเงินบาทแข็งได้


5.INTUCH โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปันผลสูงและกระแสเงินสดมั่นคง


สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อาทิ โรงแรมและสายการบิน

 


***บล.ทิสโก้เปิดกลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีหลัง***

 


บล.ทิสโก้คาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังยังผันผวนต่อ จาก 4 ปัจจัยลบ คือ การแพร่ระบาด COVID รอบใหม่, ความขัดแย้งจีน - สหรัฐฯ, ความเสี่ยง บจ.ผิดนัดชำระหนี้ และราคาน้ำมันผันผวน ชี้ดัชนีที่ 1,250-1,300 จุดน่าทยอยสะสม

 


นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr. Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 แกว่งตัวผันผวนมากถึง 630 จุด หรือกว่า 40% โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,604 จุดเมื่อวันที่ 3 มกราคม ก่อนปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดที่ 969 จุดเมื่อวันที่ 13 มีนาคม นอกจากนี้ ยังได้เห็นการประกาศใช้มาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์ถึง 3 ครั้งในเดือนมีนาคมหลังดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงแรงเพราะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19

 

 

สำหรับการลงทุนต่อจากนี้ บล.ทิสโก้มองว่า ในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นไทยจะยังคงผันผวนสูงจาก 4 ประเด็นหลัก คือ 1. ความไม่แน่นอนของสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 ระลอกใหม่ในต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจล่าช้าออกไป หรือต่ำกว่าที่ประเมินไว้ 2. ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ - จีนที่อาจกลับมาปะทุขึ้น 3. ในช่วงปลายปีนี้มีโอกาสที่บริษัทต่างๆ จะผิดนัดชำระหนี้ หรือล้มละลาย หลังจากที่มาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ สิ้นสุดลง และ 4. ความผันผวนของราคาน้ำมัน ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Bond Yield)

 


“ยังคงมองว่าตลาดหุ้นไทยจะผันผวนสูงในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะมีปัจจัยความไม่แน่นอนรออยู่ แต่สำหรับนักลงทุนที่รอจังหวะเข้าซื้อหุ้นไทยนั้นมองว่ากรอบดัชนีที่ 1,250-1,300 จุดเป็นระดับดัชนีที่ไม่แพง และเป็นจังหวะที่น่าทยอยสะสมอีกครั้ง โดยมีธีมหุ้นเด่นที่น่าลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังคือ กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยจาก COVID-19 หรือมีความเสี่ยงต่ำหากเกิดการแพร่ระบาดระลอก 2 รวมทั้งมีความปลอดภัยจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ - จีนที่อาจกลับมาปะทุขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี คือ BAM, CBG และ CPALL ผสานกับหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินชีวิตแบบ New Normal แนะนำ TRUE และแนวโน้มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่คาดว่าจะกลับมาเร่งตัวขึ้นเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แนะนำ CK และ SCC ดังนั้น 6 หุ้นเด่นครึ่งปีหลัง คือ BAM, CBG, CK, CPALL, SCC และ TRUE” นายอภิชาติกล่าว

 

 

สำหรับหุ้นเด่นในเดือนกรกฎาคม บล.ทิสโก้แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการสัญจรที่ฟื้นตัวหลังคลายล็อกดาวน์ การเปิดเทอม การกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ คือ BEM และ PTG และหุ้นแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/2563 ออกมาดี มีเงินปันผลระหว่างกาล แนะนำ CBG, DCC, SCC และ TVO เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือนกรกฎาคม คือ BEM, CBG, DCC, PTG, SCC และ TVO ด้านแนวรับหุ้นไทยในเดือนกรกฎาคม มีแนวรับแรกอยู่ที่ 1,305 จุดและแนวรับถัดไปที่ 1,300, 1,280 จุด และ 1,260 จุด ตามลำดับ ส่วนต้านแรกของหุ้นไทยอยู่ที่ 1,350 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 1,380 จุดตามลำดับ

 

 

นอกจากนี้ ยังพบประเด็นที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในหุ้นคือ แนวโน้มการลงทุนในวิถีปกติใหม่ (New Normal) ซึ่งหลังจากนี้ผู้ลงทุนอาจจะต้องยอมรับราคาหุ้นที่แพงขึ้น ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น และคาดหวังผลตอบแทนที่ลดลง เพราะคาดว่าธนาคารกลางทั่วโลกน่าจะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับต่ำมาก และอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณ (QE) เพื่อประคับประคองและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบ COVID-19 ส่งผลให้สินทรัพย์ลงทุนหลักของโลกแพงขึ้นทั้งตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้น

 

 

“การใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายยาวนาน ส่งผลให้แนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกลดต่ำลงจนบางประเทศถึงขั้นกลับมาติดลบอีกครั้ง นอกจากจะสะท้อนราคาพันธบัตรอยู่ในระดับสูงมากแล้ว อีกนัยหนึ่งยังสะท้อนว่า “เงินไม่มีที่ไป” ซึ่งมองว่าจะเป็นการบีบบังคับให้มีความจำเป็นต้องโยกเม็ดเงินออกจากตลาดพันธบัตรสู่ตลาดสินทรัพย์อื่นๆ ด้วยการยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่าเดิม (Search for Yield) โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากแรงขับเคลื่อนด้านสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนต้องยอมรับราคาหุ้นที่แพงขึ้น ยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ไปพร้อมๆ กับการคาดหวังผลตอบแทนที่ลดลง” นายอภิชาติกล่าว

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

สถานบันเทิงครบวงจร By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ยินดี สภาผู้แทนราษฎร ที่ได้ลงมติ รายงานผลการศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร...

รอดเท่ากับไม่เทรด By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง มองไม่ค่อยเห็น ผู้ชนะในเกมหุ้น แต่นักลงทุนที่รอด ชัวร์ๆ นั่นคือ หยุดเทรด ไม่เทรด ไม่ซื้อขาย ...

มัลติมีเดีย

QTCG กระแสตอบรับดี/เปิดพื้นฐานก่อนเทรดวันที่ 4 เม.ย. - สายตรงอินไซด์ - 29 มี.ค.67

QTCG กระแสตอบรับดี/เปิดพื้นฐานก่อนเทรดวันที่ 4 เม.ย. - สายตรงอินไซด์ - 29 มี.ค.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้