HotNews : SKY  คว้าบิ๊กโปรเจค จาก AOT  มูลค่า 8.61  พันลบ. กินยาว 10 ปี

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (12 มิถุนายน 2563) SKY ประกาศงานใหม่บิ๊กเบิ้ม ได้งานโครงการให้บริการระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง (Common UsePassenger Processing System: CUPPS) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของ AOT มูลค่า 8.61 พันลบ. ด้าน "สิทธิเดช มัยลาภ" แม่ทัพ SKY งานมีระยะเวลา 10 ปีนับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2573

 

 

นายสิทธิเดช มัยลาภ กรรมการ บริษัท สกาย ไอซีที จํากัด (มหาชน) SKY เปิดเผยว่า ตามที่ บริษัท สกาย ไอซีที จํากัด (มหาชน) (“บริษัท”) ได้ยื่นเสนอราคางานจ้างให้บริการระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง (Common Use Passenger Processing System: CUPPS) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(ทสภ.) ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (“ทอท.”) โดยมีรายละเอียดงาน คือ ผู้รับจ้างต้องให้บริการและบํารุงรักษาระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง (CUPPS) ณ ทสภ. ให้สามารถทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามมาตรฐาน

 

 

รวมทั้งให้การสนับสนุนการปฏิบัติงานของ ทสภ. สายการบิน และผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการติดตั้ง โยกย้าย เปลี่ยนแปลง และเชื่อมต่อระบบให้รองรับบริการระบบ CUPPS และระบบที่เกี่ยวข้อง ณ ทสภ. เพื่อให้ระบบสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง (24x7) ทั้งนี้งาน ดังกล่าวจะประกอบด้วยระบบงานย่อยอย่างน้อย ดังนี้

 

1. ระบบตรวจบัตรโดยสารขึ้นเครื่อง
2. ระบบเช็คอินด้วยตนเองอัตโนมัติ
3. ระบบรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ
4. ระบบตรวจสอบยืนยันตัวตนผู้โดยสาร
5. ระบบประตูทางออกขึ้นเครื่องอัตโนมัติ
6. ระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล

 

 

 

บัดนี้บริษัทได้ลงนามในสัญญาจ้างงานดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2563 โดยมีมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 8,619,899,751.32 บาท(แปดพันหกร้อยสิบเก้าล้านแปดแสนเก้าหมื่นเก้าพันเจ็ดร้อยห้าสิบเอ็ดบาทสามสิบสองสตางค์) (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) มีระยะเวลาการดําเนินการ 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2573 โดยบริษัท มีภาระผูกพันที่จะดําเนินการโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จจนสามารถเปิดให้บริการได้ตามกําหนด

 

 

รวมถึงการจัดให้มีพนักงานที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในการให้บริการและบํารุงรักษาระบบ CUPPS ณ ทสภ. ให้เพียงพอและ เหมาะสมในการปฏิบัติงาน เพื่อให้ระบบสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง (24x7) หากการติดตั้งและการให้บริการดังกล่าวมีความล่าช้า ทอท. มีสิทธิในการคิดค่าปรับกับบริษัทตามสัญญาเนื่องจากการโครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่มีสาระสําคัญต่อการดําเนินธุรกิจของบริษัท และเพื่อให้นักลงทุนได้ทราบอย่างทั่วถึง บริษัทจึงเห็นสมควรเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวผ่านทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

 

 

สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2563 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 719.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.8 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 699.3 ล้านบาท

 

 

 

 

สำหรับรายได้รวมของกลุ่มบริษัทในไตรมาส 1/2563 ที่เพิ่มขึ้นนั้นส่วนใหญ่มาจากการที่กลุ่มบริษัทได้ส่งมอบสินค้าและบริการติดตั้งให้แก่ลูกค้าในโครงการขนาดใหญ่ อันได้แก่ (1) โครงการจัดหาและติดตั้งระบบวิทยุสื่อสารดิจิตอล ระยะที่ 2 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (2) โครงการจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ห่างไกลของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (Zone C) กลุ่มที่ 3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1, (Zone C) กลุ่มที่ 6 ภาคกลาง 1, (Zone C) กลุ่มที่ 5 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 (3) โครงการจัดหาและติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV)

 

 

เพื่อเพิ่มความปลอดภัยบริเวณพื้นที่สุ่มเสี่ยงและบริเวณชุมนุมชนในพื้นที่กลุ่มกรุงเทพเหนือ กรุงเทพกลาง กรุงเทพใต้ และกรุงธนเหนือ (4) โครงการจัดหาและติดตั้งระบบวิทยุสื่อสารดิจิตอล ของ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (5) โครงการจ้างเหมาออกแบบ จัดหาพร้อมติดตั้งระบบจัดการโครงข่ายสื่อสารแบบบูรณาการ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (6) โครงการระบบบริหารจัดการกล้อง CCTV ของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)

 

 

 

อย่างไรก็ตามในไตรมาส 1/2563 นี้บริษัทก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนทางการเงินจาการเปลี่ยนแปลงของการบันทึกต้นทุนทางการเงินตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 16 เรื่องสัญญาเช่า ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 โดยกลุ่มบริษัทต้องรับรู้สินทรัพย์สิทธิการใช้ หนี้สินตามสัญญาเช่า และต้องรับรู้ต้นทุนทางการเงินเป็นค่าใช้จ่ายในรอบปีบัญชีที่เกิดรายการตลอดอายุสินทรัพย์สิทธิการใช้ รวมถึงผลสืบเนื่องจากการอนุมัติงบประมาณการจ่ายเงินของโครงการขนาดใหญ่ที่บริษัทได้มีการส่งมอบงานตั้งแต่ปี 2562 ล่าช้า ประกอบกับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้การดำเนินงานของบริษัทล่าช้ากว่าแผนงานที่กำหนดไว้ทำให้บริษัทมีต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น ทำให้ในไตรมาส 1/2563 นี้ บริษัทมีกำไรสุทธิ 19.4 ล้านบาท

 

 

 

 

"ในไตรมาสแรกของปีนี้บริษัทมีรายได้รวม 719.1 ล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดมาจากการขาย 192.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 201.3% ซึ่งมาจากในปีนี้บริษัทและบริษัทย่อยเริ่มขยายตลาดไปสู่ภาคเอกชนเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในไตรมาสแรกก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน จากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การอนุมัติงบประมาณการจ่ายเงินที่ได้ส่งมอบงานไปแล้ว รวมถึงแผนการดำเนินงานใหม่ล่าช้าออกไป ทั้งนี้คาดว่าปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 มีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว ภาพรวมธุรกิจและแผนการดำเนินงานของบริษัทจะกลับมาเป็นปกติในเร็วๆนี้" นายสิทธิเดช กล่าว

 

 

 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท โดยได้รับมอบหมายจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ได้มีมติอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทให้แก่บุคคลในวงจำกัด จำนวน 3 ราย ได้แก่ 1.นางสาวอรุณรุ่ง ศรีวัฒนประภา จำนวน 10,000,000 หุ้น 2.นางสาวบุศรา อุไรกุล จำนวน 5,000,000 หุ้น และ 3.บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) จำนวน 5,000,000 หุ้น โดยกำหนดระยะเวลาจองซื้อและชำระเงินค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนในวันที่ 19-22 พฤษภาคม 2563 และกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน 12.80 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวมเท่ากับ 256,000,000 บาท

 

 

 

สำหรับนักลงทุนทั้ง 3 รายถือเป็นผู้ที่มีความรู้และความชำนาญในธุรกิจการให้บริการท่องเที่ยวและประกันฯ รวมทั้งเข้าใจถึงความต้องการด้านเทคโนโลยีและด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว การเข้ามาร่วมทุนในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยในการให้คำแนะนำที่มีประโยชน์และส่งผลให้การทำงานและการขยายธุรกิจของบริษัทฯ มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เป็นการเสริมความแข็งแกร่งผ่านการเป็นพันธมิตร ซึ่งมองว่าธุรกิจท่องเที่ยวและประกันจะเป็นธุรกิจที่มีโอกาสขยายตัวอย่างมากในอนาคต

 

 

SKY