HotNews : TPCH จุดพลุ Q3/63 COD เพิ่ม 26 MW พร้อมลุ้นโรงไฟฟ้าชุมชน 50 MW

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(9 มิถุนายน 2563) TPCH จุดพลุ Q3/63 COD เพิ่ม 26 MW ดันกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าชีวมวล แตะ 109 เมกะวัตต์ ภายในปีนี้ พร้อมลุยโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนตามแผนนโยบายจากภาครัฐ ลุ้น 16มิ.ย.63 ที่ประชุมครม.อนุมัติโรงไฟฟ้าชุมชน ประมูลล็อตแรก 100MW หวังคว้า 50 MW

 

 

นางกนกทิพย์ จันทร์พลังศรี ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH เปิดเผยว่า สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังมีทิศทางที่ดี ทั้งในแง่ของรายได้และกำไร เนื่องจากโรงไฟฟ้าชีวมวล ปัตตานี กรีน เพาเวอร์ (PTG) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 23 เมกะวัตต์ และกำลังผลิตเสนอขาย 21 เมกะวัตต์ ได้เริ่มขายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้มีกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าชีวมวลเพิ่มขึ้นเป็น 83 เมกะวัตต์ จากเดิมที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 60 เมกะวัตต์ โดยจะรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/63 เป็นต้นไป

 

 

ทั้งนี้ บริษัทฯยังคงเป้าหมายในการมีใบอนุญาตในการขายไฟฟ้า (PPA) ทั้งโรงไฟฟ้าชีวมวล ชีวภาพ และโรงไฟฟ้าขยะ ให้ครบ 250 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะเห็นได้ภายในปี 2566 โดยมาจากโรงไฟฟ้าชีวมวลและชีวภาพ 200 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าขยะ 50 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีใบอนุญาตในการขายไฟฟ้า (PPA) 120 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวล 110 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าขยะ 10 เมกะวัตต์

 

 

"บริษัทฯ มีโรงไฟฟ้าชีวมวลเพิ่มขึ้นอีก 1 แห่ง จากเดิมที่มีโรงไฟฟ้าชีวมวล 6 แห่ง ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าชีวมวล CRB, MWE, MGP, TSG, PGP และ SGP ที่สามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบไปแล้ว ทำให้รับรู้รายได้จากการขายไฟเพิ่มขึ้น และในปี 2563 นี้ ซึ่งจะผลักดันให้รายได้และกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง" นางกนกทิพย์ กล่าว

 

 

พร้อมกันนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการทดสอบระบบของโรงไฟฟ้าชีวมวล 3 แห่ง ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าชีวมวลทีพีซีเอช เพาเวอร์1 (TPCH 1) กำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์, โรงไฟฟ้าชีวมวล ทีพีซีเอช เพาเวอร์2 (TPCH 2) กำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าชีวมวล ทีพีซีเอช เพาเวอร์ 5 (TPCH 5) กำลังการผลิต 6 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถ COD ได้ภายในไตรมาส 3/63 จากเดิมคาดว่าจะ COD ภายในไตรมาส 2/63 เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การเจ้าหน้าที่วิศวกรจากต่างประเทศ ไม่สามารถเดินทางมาตรวจรับงานได้ตามกำหนด ซึ่งภายหลังจาก COD จะช่วยผลักดันกำลังการผลิตไฟฟ้าชีวมวลเพิ่มเป็น 109 เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้าขยะ สยาม พาวเวอร์ (SP) กำลังการผลิต 8.0 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถ COD ภายในครึ่งปีหลัง

 

 

ขณะที่ปัจจุบันบริษัทฯยังรอลุ้นผลการประชุมของคณะรัฐมนตรี(ครม.)ที่จะมีขึ้นในวันที่ 16 มิถุนายน 2563 โดยจะนำเรื่องการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเข้าไปเสนอด้วย โดยล็อตแรกจะเป็นการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เพื่อเศรษฐกิจฐานราก(Quick Win)ขนาด 100 เมกะวัตต์ โดยบริษัทฯคาดหวังได้ 50 เมกะวัตต์ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการศึกษาและพัฒนาในทุกๆ ด้าน รวมทั้งได้มีการลงพื้นที่เพื่อหารือกับวิสาหกิจชุมชนถึงแผนการดำเนินงานโรงไฟฟ้าชุมชนของ TPCH เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการประมูล ในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าขยะ อีกทั้งยังมองหาโอกาสเข้าไปลงทุนเพิ่ม ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาโครงการ เพื่อจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต

 

 

ส่วนแผนการลงทุนในต่างประเทศของบริษัทฯมองว่าต้องมีการชะลอออกไปก่อน เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยมากนัก ดังนั้นบริษัทฯจึงหันมาโฟกัสโครงการในประเทศมากกว่า

 

 

สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/63 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563) มีรายได้จากการขายไฟอยู่ที่ 393.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.90 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้จากการขายไฟอยู่ที่ 392.46 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 85.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.87 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 84.85 ล้านบาท

 

 

 

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ว่า TPCH รายงานกำไรสุทธิ 86 ลบ. +5% QoQ และ +1% YoY แม้ว่ารายได้จะชะลอตัวลง 4% QoQ ส่วนใหญ่เกิดจากการผิดบำรุงรักษาแบบอยู่ในแผน และ นอกแผน ที่โรงไฟฟ้า TSG 3 วัน, PGP 10 วัน และ SGP 12 วัน แต่ทว่าจากกลยุทธ์ในการเริ่มเดินเครื่องด้วยตนเอง ลดการ outsourcing ลง ทำให้ต้นทุนว่าจ้างลดลงจาก 78% ของต้นทุน เป็น 73% ของต้นรวม ขณะที่ต้นทุนอื่นๆคุมได้ จึงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นรวมปรับตัวดีขึ้นจาก 44.8% ในปีก่อน เป็น 45.2% ในปีนี้ ขณะที่ต้นทุนทางการเงินลดลง 8% จากการคืนนี้ และอัตราดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง อย่างไรก็ดี ในแง่พัฒนาการถือว่าผิดหวังเนื่องจากโรงไฟฟ้า 4 แห่ง (รวมกำลังการผลิตตามสัญญา 45.7MW vs กำลังการผลิตปัจจุบันที่จ่ายไฟไปแล้ว 52.8MW) ยังไม่สามารถเริ่มจ่ายไฟฟ้าได้ตามแผน โดยบริษัทเผยว่า ปัญหา COVID-19 ทำให้กระบวนการทดสอบระบบเพื่อเตรียมความพร้อมในการจ่ายไฟล่าช้าออกไป (test & commissioning process)

 

 

แนวโน้มไตรมาส 2/63 - จับตาว่าจะล่าช้าออกไปอีกหรือไม่ หากการ COD โรงไฟฟ้าทั้ง 4 ยังล่าช้าออกไปเกินกว่าไตรมาส 2/63 จะส่งผลให้ประมาณการของเราสูงเกินไป และต้องปรับประมาณการกำไรลง แต่ด้วยฐานกำไรที่สม่ำเสมอจากโรงไฟฟ้า 52.8MW ในปัจจุบัน ในกรณีเลวร้ายที่สุด กำไรสุทธิก็จะยังให้ภาพทรงตัว QoQ และ YoY ได้

 

 

จากความล่าช้าในการ COD ไปกว่าประมาณการแล้ว 1 ไตรมาส จึงปรับสมมติฐานจำนวนวันขายไฟฟ้าลง 85 วัน สำหรับโรงไฟฟ้าทั้ง 4 ในปีนี้ ทำให้คาดการณ์กำไรถูกปรับลง 35% เหลือ 573 ลบ. แต่ก็ยังขยายตัวสูง +59% YoY เนื่องจากกำลังการผลิตใหม่รวม มีขนาดใหญ่กว่าเท่าตัวของกำลังการผลิตปัจจุบัน ในแง่ valuation เรา roll-over ไปใช้ราคาเหมาะสมสิ้นปี 2563 จะอยู่ที่ 14.90 บาท/ หุ้น (อิง SOTP-DCF base) ปัจจุบันซื้อขายที่ P/E เพียง 7.5 เท่า ขณะที่กำไรยังคาดเติบโตแรง เราคงคำแนะนำ "ซื้อ"

 

 

--ความเสี่ยง--
การล่าช้าของการเริ่มจ่ายไฟฟ้า (COD) จะส่งผลต่อประมาณการกำไรในปี 2563 อย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ภาวะภัยแล้ง จะส่งผลต่อกำไรมากขึ้นต่อตัวบริษัท เนื่องจากบริษัทเริ่มหันมาใช้กลยุทธ์เดินเครื่องจักรด้วยตนเองแทนการว่าจ้าง (Outsourcing) บ้างแล้ว

 

 

TPCH