Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews: บลจ.ทิสโก้ ส่งทริกเกอร์ฟันด์หุ้นไทยถึงเป้า 5% ภายใน 12 วัน/บล.ทิสโก้ ชี้SETเม.ย.มีลุ้นฟื้นจากภาวะหมี

1,735

HotNews: บลจ.ทิสโก้ ส่งทริกเกอร์ฟันด์หุ้นไทยถึงเป้า 5%  ภายใน 12 วัน/บล.ทิสโก้ ชี้SETเม.ย.มีลุ้นฟื้นจากภาวะหมี 

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (1 เมษายน 2563) บลจ.ทิสโก้โชว์ฝีมือจับจังหวะการลงทุนแม่น บริหารกองทุนเปิด ทิสโก้ ไทย อิควิตี้ ทริกเกอร์ 5M#5 ถึงเป้าหมาย 5% ในระยะเวลา 12 วัน ชี้หุ้นไทยจากนี้ยังผันผวน เพราะตัวเลขผู้ป่วยใหม่ COVID -19 ยังไม่ถึงจุดสูงสุด 

 

 

 

 

นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, Head of Marketing and Wealth Advisory, Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co., Ltd.) เปิดเผยว่า จากความเชี่ยวชาญในการจับจังหวะการลงทุนของ บลจ.ทิสโก้ ล่าสุดสามารถบริหารกองทุนเปิด ทิสโก้ ไทย อิควิตี้ ทริกเกอร์ 5M#5 (TEQT5M5) ความเสี่ยงระดับ 6 (ความเสี่ยงสูง) ถึงเป้าหมาย 5% มีมูลค่า NAV เท่ากับ 10.5117 บาทต่อหน่วย ในวันที่ 31 มีนาคม 2563 โดยใช้ระยะเวลาบริหารเพียง 12 วัน นับจากวันที่ 20 มีนาคม 2563 ซึ่งเป็นวันจัดตั้งกองทุน ประเดิมถึงเป้าหมายเป็นกองทุนแรกที่ออกของปีนี้ และเป็นทริกเกอร์ฟันด์ลำดับที่ 103 ที่บลจ.ทิสโก้บริหารให้ถึงเป้าหมาย จากทริกเกอร์ฟันด์หุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศที่ออกโดย บลจ.ทิสโก้จำนวนทั้งหมด 131 กองทุน

 

 

“แม้ว่าปัจจุบันตัวเลขผู้ป่วยใหม่จากไวรัส COVID - 19 จะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะในยุโรป และสหรัฐฯ แต่ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารกลางทั่วโลกเร่งดำเนินนโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายทั้งการลดดอกเบี้ย และการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ อย่างเช่นธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ประกาศไม่จำกัดวงเงินการทำ QE นอกจากนี้ ยังมีมาตรการทางการคลังจากรัฐบาลประเทศต่างๆ ออกมาเยียวยาสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เช่น รัฐบาลไทยได้ออกมาตรการช่วยเหลือมาแล้วถึง 2 ครั้ง และเตรียมออกมาตรการครั้งที่ 3 ทำให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และทำให้หุ้นทั่วโลกฟื้นตัว” นายสาห์รัชกล่าว

 

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้มองว่าหุ้นทั่วโลกรวมไปถึงหุ้นไทยจะยังคงผันผวนอย่างต่อเนื่อง เพราะตัวเลขผู้ป่วยใหม่จาก COVID-19 ยังไม่ถึงจุดสูงสุด และยังคงเห็นการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นในประเทศต่างๆ ซึ่งการที่บลจ.ทิสโก้ตัดสินใจออกกองทุน TEQT5M5 ในช่วงที่ผ่านมาเป็นเพราะราคาหุ้นไทยปรับลงแรงจนเกินปัจจัยพื้นฐาน ทำให้ราคาหุ้นอยู่ในจังหวะที่น่าสนใจลงทุน จึงเป็นที่มาของความสำเร็จในการบริหารกองทุนให้ถึงเป้าหมายในครั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2551 จนถึงวันที่ 1 เมษายน 2563 บลจ.ทิสโก้ออกทริกเกอร์ฟันด์ที่ลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศทั้งหมด 131 กองทุน โดยไม่มีกองทุนที่อยู่ในระหว่างกำหนดเวลาการลงทุน และกองทุนที่ถึงเป้าหมายและเลิกโครงการแล้ว 103 กองทุนในจำนวนนี้ถึงเป้าหมายในกำหนดเวลาการลงทุน 75 กองทุนและถึงเป้าหมายนอกกำหนดเวลาการลงทุน 28 กองทุน ส่วนกองทุนที่ไม่ถึงเป้าหมายในกำหนดเวลาการลงทุน 28 กองทุนนั้น ยังอยู่ในระหว่างลงทุนเกินกว่ากำหนดเวลาการลงทุน 8 กองทุน ไม่ถึงเป้าหมายและเลิกกองทุนแล้ว 20 กองทุน

 

 

อย่างไรก็ตาม หน่วยลงทุน TEQT5M5 ได้สับเปลี่ยนไปยังกองทุนเปิด ทิสโก้ พันธบัตรระยะสั้น (TISCOSTF) โดยอัตโนมัติตามเงื่อนไขการเลิกกองทุนเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน ผู้สนใจกองทุนรวมทิสโก้ สามารถติดต่อ บลจ.ทิสโก้ หรือ ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ TISCO Contact Centerโทร. 02-633-6000 กด 4

 

 

ทิสโก้ หั่นจีดีพีปี63 ติดลบ 6.9% จากเดิมคาดโต 0.8%  แต่คาดSETเม.ย.ฟื้นจากภาวะหมี

 

 

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้หั่น GDP ไทยเป็นติดลบ 6.9% หลากปัจจัยรุมเร้ากดดันเศรษฐกิจอย่างมีนัยยะ ด้านบล.ทิสโก้ชี้ หุ้นไทย เม.ย. ฟื้นตัวเทรดในกรอบ 1,140-1,200 จุด ปัจจัยหนุนจากนโยบายการเงิน การคลัง แย้มมีลุ้น SET พ้นภาวะตลาดหมี หลังอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชีลงมาต่ำ, บจ.แห่ซื้อหุ้นคืน, SSF ไหลเข้า 2 หมื่นล้านบาท และ ตลท.ออกหลากมาตรการลดความผันผวน

 

 

 

 

 

 

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) (Mr.Komsorn Prakobphol, Head of TISCO Economic Strategy Unit) เปิดเผยว่า ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ปรับประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงเหลือ -6.9% จากเดิมคาดว่าเศรษฐกิจจะโต 0.8% โดยประมาณการดังกล่าว อิงสมมติฐานหลัก 3 ประการ ได้แก่ 1) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 70% เมื่อเทียบกับปีก่อน เหลือ 12 ล้านคน 2) ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ 35 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากคาดการณ์เดิมที่ 55 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล 3) ภัยแล้งมีความรุนแรงยืดเยื้อจนถึงเดือนกันยายน จากเดิมคาดว่าจะอยู่ที่เดือนพฤษภาคม ซึ่งทำให้คาดว่าผลกระทบจากภัยแล้งจะกลายเป็น 0.7% ของ GDP จากเดิมคาดไว้ที่ 0.2% ของ GDP

 

 

“เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงในด้านต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 แย่ลงมากอย่างมีนัยยะและมีความไม่แน่นอนสูง รวมทั้งหากภัยแล้งลากยาวถึงสิ้นปี ดังนั้น คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% สู่ระดับ 0.5% โดยการประชุมคณะกรรมการครั้งล่าสุดยังเสียงแตกและคำแถลงการณ์ยังระบุว่า พร้อมใช้เครื่องมือเชิงนโยบายเพิ่มเติมทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบายและมาตรการทางการเงินอื่นๆ ที่เหมาะสมและทันการณ์ ในขณะเดียวกัน เงินบาทจะถูกกดดันเพิ่มเติมในระยะข้างหน้าจากภาพรวมเศรษฐกิจที่เปราะบาง รวมถึงความวุ่นวายทางการเมืองที่น่าจะกลับมาหลังจากการแพร่ระบาด COVID-19 สิ้นสุดลง” นายคมศร กล่าว

 

 

นอกจากนโยบายทางการเงินแล้ว TISCO ESU คาดหวังการตอบสนองของนโยบายการคลังที่มากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับความอ่อนไหวของเศรษฐกิจจาก COVID-19 โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาเพื่อเยียวยาผลกระทบจากไวรัส (ระยะที่ 1 และ 2) มีเม็ดเงินราว 2% ต่อจีดีพี ซึ่งยังไม่เพียงพอจะชดเชยผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เราคาดว่าจะได้รับผลกระทบประมาณ 9% ดังนั้น จึงสนับสนุนให้รัฐบาลใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจที่มีอยู่ทั้งหมด (เช่น พ.ร.ก. กู้เงิน) เพื่อที่จะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์ที่ไม่ปกตินี้ ทั้งนี้ รัฐบาลยังมีพื้นที่สำหรับกู้เงินเพิ่มเติมราว 2.42 แสนล้านบาท ตาม พ.ร.บ. หนี้สาธารณะ ในขณะที่ระดับหนี้สาธารณะของไทยยังอยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศในกลุ่มเดียวกัน และยังอยู่ภายใต้เกณฑ์กรอบความยั่งยืนทางการคลัง

 

 

นอกจากนี้ เงินที่พร้อมสำหรับการเบิกจ่ายในมือของรัฐบาลอย่างงบประมาณ FY2020 จำเป็นจะต้องถูกเบิกจ่ายอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้าหมายการเบิกจ่ายงบลงทุนไว้สูงมากที่ 100% ในปีงบประมาณนี้ (แม้ว่างบประมาณจะล่าช้ากว่าปกติไปเกือบ 5 เดือน) ซึ่งถ้ารัฐบาลสามารถเบิกจ่ายได้ตามเป้า (ในอดีตช่วงที่สถานการณ์ปกติรัฐบาลสามารถเบิกจ่ายได้เพียง 70% เท่านั้น) จะช่วยลดความเสี่ยงด้านต่ำของเศรษฐกิจไทย และอาจช่วยให้เศรษฐกิจไม่แย่เท่าช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งที่เศรษฐกิจไทยหดตัว -7.6%

 

 

 

 

ด้านนายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr. Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) เปิดเผยว่า สำหรับมุมมองตลาดหุ้นเดือนเมษายน บล.ทิสโก้คาดว่าหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวชั่วคราวจากอานิสงส์การผ่อนคลายนโยบายการเงินแบบเต็มที่ของธนาคารสำคัญของโลก ทั้งการลดดอกเบี้ยลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์และการอัดฉีดสภาพคล่องจำนวนมหาศาล เพื่อพยุงเศรษฐกิจและลดความปั่นป่วนในตลาดการเงิน นอกจากนี้ รัฐบาลในหลายประเทศยังทยอยออกมาตรการเยียวยา-กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมด้วย โดยมองเป้าดัชนีหุ้นไทยในรอบนี้น่าจะฟื้นตัวจำกัดที่บริเวณ 1,140-1,200 จุด อิงมาจากปัจจัยทางเทคนิคที่เคยเป็นโซนจุดต่ำและจุดสูงหลายครั้งในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมองว่าหุ้นไทยมีโอกาสจะฟื้นตัวได้ แต่ต้องยอมรับว่าความผันผวนก็ยังสูงอยู่ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้งในและต่างประเทศยังมีความไม่แน่นอนสูง

 

 

“สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้งในและต่างประเทศยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปที่มีผู้ติดเชื้อฯ พุ่งขึ้นมาก สำหรับไทยก็มีหลายกรณีที่ต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในต่างจังหวัดจากการสั่งปิดห้างสรรพสินค้าและสถานที่ต่างๆ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม (ก่อนรัฐบาลประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) ทำให้มีแรงงานจำนวนมากกลับภูมิลำเนาเดิม อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การแพร่ระบาดถีบตัวสูงขึ้นเหมือนกรณีสนามมวย ซึ่งหากรัฐบาลมีการประกาศใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดขึ้น-ยาวนานขึ้น จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” นายอภิชาติกล่าว

 

 

ทั้งนี้ บล.ทิสโก้ยังคงกลยุทธ์การทยอยสะสมหุ้นแบบแบ่งซื้อในช่วงตลาดผันผวน แต่ในขณะเดียวกัน ช่วงตลาดรีบาวด์ก็ควรขายล็อกกำไรไว้บ้าง รอย่อตัวซื้อคืน หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือนเมษายน คือ BAM, BJC, DTAC, PTTEP, RBF, SCC และ TVO ด้านแนวรับสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,070 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,010-1,020 จุด แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,165-1,170 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 1,190 จุด

 

 

นายอภิชาติ กล่าวอีกว่า แม้ว่าความไม่แน่นอนยังมีอยู่ แต่ก็มีลุ้นมากขึ้นว่าดัชนีหุ้นไทยอาจผ่านจุดต่ำสุดของภาวะหมีรอบนี้ไปแล้วที่บริเวณ 970 จุด หรือคิดเป็นอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) ที่ 1.1-1.2 เท่า ซึ่งเป็นระดับเทียบเคียงเส้นแนวโน้ม P/BV ระยะยาวในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 และวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551 ที่บริเวณ 0.5-0.6 เท่า และ 0.8-0.9 เท่า ตามลำดับ ผสานกับหุ้นไทยมีตัวช่วยเข้ามาพยุงตลาดมากขึ้น เช่น การประกาศซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียน ที่นับตั้งแต่ต้นปีนี้มีวงเงินซื้อคืนรวมมากกว่า 7.5 หมื่นล้านบาท สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์, กองทุนเพื่อการออมระยะยาว (SSF) แบบพิเศษที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินทยอยไหลเข้าตลาดประมาณ 2 หมื่นล้านบาทในช่วง 3 เดือนข้างหน้า (เมษายน - มิถุนายน) และประเด็นสุดท้ายคือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกมาตรการชั่วคราวเพื่อควบคุมความผันผวนของตลาด เช่น การปรับเกณฑ์การขายชอร์ตจากราคาไม่ต่ำกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย เป็นราคาสูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย, การปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor และปรับเกณฑ์การหยุดการซื้อขายเป็นการชั่วคราว (Circuit Breaker) จาก 2 ระดับ เป็น 3 ระดับ


---จบ----

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ไต่เส้น By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ มองดูหุ้นไทยไต่เส้น แถว 1370 +/- แบบพยาบามฝ่าด่าน 1380 จุด โดยเช้านี้ พี่ DELTA..

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้