Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews : บลจ.กระตุ้นหุ้นไทย เสนอขายกองทุน SSF 1 เม.ย.นี้ / ทริสฯ ให้เครดิตองค์กร PTG BBB+ เล็งกำไรโตมั่นคง

1,468

HotNews : บลจ.กระตุ้นหุ้นไทย เสนอขายกองทุน SSF 1 เม.ย.นี้ / ทริสฯ ให้เครดิตองค์กร PTG BBB+ เล็งกำไรโตมั่นคง

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (30 มีนาคม 2563) บลจ. สนับสนุนมาตรการภาครัฐแก้ปัญหาสถานการณ์ COVID-19 เชื่อมั่นรัฐแก้ปัญหาลุล่วง พร้อมให้การดูแลและคำปรึกษาแก่ผู้ถือหน่วยในการบริหารจัดการด้านการเงิน  เตรียมการส่งเสริมกลไกการออมระยะยาว เสนอขายกองทุน SSF พร้อมกันวันแรก 1 เมษายน 2563 จำนวน 13 บลจ. เน้นลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนไทย ลดหย่อนภาษีเงินได้สูงสุด 2 แสนบาท เน้นลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย เชื่อมั่นหุ้นไทยพื้นฐานดี  ผู้ลงทุนได้รับประโยชน์

 

 

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ COVID-19 ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมานับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติให้การสนับสนุน SSF วงเงินพิเศษ สถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น กระทบเป็นวงกว้างมากขึ้น สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมฯ ) เข้าใจถึงภาวะความยากลำบากในการประกอบกิจการ การหารายได้ที่เป็นไปในทิศทางที่ไม่พึงประสงค์และมีความลำบากยิ่ง ดังนั้นภารกิจในการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนจึงไม่ใช่ภารกิจเร่งด่วนที่ควรทำแต่เป็นสิ่งที่ควรสนับสนุน การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงตามนโยบายของรัฐบาล กระตุ้นเตือนให้มีการบริหารค่าใช้จ่าย เพื่อรอรับภาวะเศรษฐกิจถดถอยเช่นนี้ สำหรับผู้ถือหน่วยที่ลงทุนไปแล้วหรือไม่ก็ตาม หากมีข้อสงสัยหรือต้องการคำแนะนำอื่นใด ท่านสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ บุคคลากรขององค์กรนั้นโดยตรง พวกเราพร้อมที่จะให้คำแนะนำและคำปรึกษาให้กับทุกๆท่าน

 



นายกสมาคมฯ กล่าวต่อไปว่า นอกจากการบริหารจัดการลงทุนให้มีความรัดกุม รอบคอบแล้ว ทางสมาคมฯ และสมาชิกเห็นตรงกันที่จะตอบสนองนโยบายภาครัฐอันเป็นประโยชน์ต่อการออมการลงทุนในระยะยาวเพื่อความมั่นคงในอนาคต เพราะเชื่อมั่นว่ารัฐบาลสามารถจัดการสถานการณ์ COVID-19 ให้ผ่านพ้นไป ด้วยดีเหมือนเช่นเหตุการณ์รุนแรงสำคัญๆในอดีตที่ผ่านมา

 

 

 

 

สำหรับการเสนอขายกองทุนรวมเพื่อการออม (กองทุน SSF) นายกสมาคมฯ เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 ให้วงเงินลงทุนในกองทุน SSF พิเศษสูงสุด 200,000 บาท เพิ่มจากวงเงินลงทุนในกองทุน SSF ที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีปกติสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท รวมสูงสุดสำหรับปีภาษี 2563 ไม่เกิน 400,000 บาท สมาคมฯ จึงได้ร่วมกันเตรียมความพร้อมในการเสนอขายกองทุน SSF

 

 

โดยเฉพาะวงเงินพิเศษ มีกำหนดระยะเวลาลงทุน 3 เดือน คือ ในระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2563 บลจ.ได้เตรียมความพร้อมที่จะเริ่มเสนอขายกองทุน SSF พิเศษ 13 บลจ. ในวันแรก คือ วันที่ 1 เมษายน 2563 ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการรวมพลังของเม็ดเงินจากการระดมทุนพร้อม ๆ กัน ช่วยกระตุ้นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อันเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญของบริษัทจดทะเบียนซึ่งเป็นกิจการหลักสำคัญของประเทศที่ส่งผลให้บริษัทอีกจำนวนมากที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานเดียวกันสามารถประกอบกิจการไปได้ ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นไทยยังคงอยู่ในระดับที่ดีและราคาได้ปรับตัวลงมามากแล้ว จึงถือเป็นโอกาสการลงทุนที่ดีของผู้สนใจที่จะออมเงินระยะยาว

 

 

นายกสมาคมฯ กล่าวต่อไปว่า กองทุน SSF จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมให้ประชาชนมีการออมระยะยาวมากขึ้น ในช่วงแรก บลจ. จะเน้นเสนอขายกองทุน SSF พิเศษ ซึ่งจะเน้นลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนไทย พร้อมกันจำนวน 13 บลจ. หลังจากนั้นจะเสนอขายเพิ่มเติมตามมาอีก 6 บลจ. ตามลำดับ

 

 

สำหรับกองทุน SSF วงเงินทั่วไปนั้น บลจ.จะทยอยจัดตั้งกองทุนออกมา โดยจะมีนโยบายการลงทุนให้เลือกหลากหลายตามความสนใจของผู้ลงทุน โดยผู้ลงทุนสามารถลงทุนนับตั้งแต่วันที่เสนอขายไปถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 สามารถนำไปลดหย่อนภาษีในแต่ละปีภาษีรวมกันทุกกองทุนได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับเงินลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ในปีภาษีเดียวกัน

 

 

สมาคมฯ เชื่อมั่นว่านโยบายนี้จะเป็นประโยชน์ในระยะยาวต่อกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มที่เริ่มต้นทำงาน เป็นการช่วยให้ประชาชนเริ่มเรียนรู้ที่จะออมเงินและเข้าสู่ระบบการออมระยะยาว

 

 

 

***ก.ล.ต. อนุมัติ "กองทุน SSF หลักทรัพย์จดทะเบียน" แล้ว 17 กองทุน จาก บลจ. 13 แห่ง พร้อมขาย 1 เมษายน นี้***

 

นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า หลังจาก ก.ล.ต. ออกประกาศเรื่องรายละเอียดของโครงการจัดการกองทุนรวม เพื่อรองรับการจัดตั้งกองทุนรวมเพื่อการออมที่เน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียน (กองทุน SSF หลักทรัพย์จดทะเบียน) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2563 ล่าสุด ณ วันที่ 30 มีนาคม 2563 ก.ล.ต. ได้อนุมัติการจัดตั้งกองทุน SSF หลักทรัพย์จดทะเบียน ไปแล้ว 17 กองทุน จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จำนวน 13 แห่ง

 

 

 

"ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้พิจารณาและอนุมัติการจัดตั้งกองทุน SSF หลักทรัพย์จดทะเบียนโดยเร็ว เพื่อให้กองทุนพร้อมเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไปในวันที่ 1 เมษายน 2563" นางสาวรื่นวดี กล่าว

 

 

 

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 มีมติให้ประชาชนทั่วไปหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนกองทุน SSF ที่มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 200,000 บาท โดยแยกจากวงเงินหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน SSF กรณีปกติ และไม่อยู่ภายใต้เพดานวงเงินหักลดหย่อนรวมในกองทุนเพื่อการเกษียณทั้งหมด โดยต้องซื้อระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 และถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 10 ปี

 

 

 

 

ด้าน"ทริสเรทติ้ง" จัดอันดับ "พีทีจี เอ็นเนอยี" ที่ BBB+ และให้แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" ตอกย้ำสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งขึ้นในธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน และมีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันที่ครอบคลุม สนับสนุนให้กำไรเติบโตอย่างมั่นคง นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ PTG อยู่ที่ระดับ BBB+ พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต "คงที่ (Stable)" โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานะทางการตลาดของบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้นในธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน ตลอดจนเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันที่ครอบคลุม และกำไรที่เติบโตอย่างมั่นคง

 

 

อีกทั้งทริสเรทติ้งยังมองว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเอาไว้ได้ และ PTG ยังได้จัดสรรงบลงทุนในการขยายธุรกิจอย่างเหมาะสม ทำให้บริษัทสามารถรักษาความแข็งแกร่งทางด้านการเงินและความสามารถในการชำระหนี้

 

 

ขณะที่เครือข่ายสถานีบริการ "PT" ยังมีการเติบโต ส่งผลให้สถานะทางการตลาดของบริษัทแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปี 2562 ทาง PTG มีสถานีบริการรวมทั้งสิ้น 2,027 แห่ง

 

 

เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2561 มีสถานีบริการรวมทั้งสิ้น 1,883 ทำให้บริษัทมีจำนวนสถานีบริการมากเป็นอันดับ 2 นอกจากจำนวนสถานีบริการที่เติบโตแล้ว PTG ยังมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่เติบโตสูงสุดในอุตสาหกรรม โดยในปี 2562 PTG มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันรวม 4,681 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 19.4% จากปีก่อน ส่งผลให้ PTG มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการมากเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 15.6%

 

 

 

 

ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนจะดำเนินกลยุทธ์เน้นการขยายสถานีบริการน้ำมันในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่มากยิ่งขึ้น เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการรับรู้แบรนด์ PT ในกลุ่มลูกค้าที่มีอำนาจการซื้อและใช้น้ำมันสูงรวมถึงยังสร้างโอกาสให้บริษัทจำหน่ายสินค้าและให้บริการอื่นนอกเหนือจากน้ำมัน เช่น ร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ และบริการบำรุงรักษารถยนต์ได้มากขึ้นอีกด้วย

 

 

 

อีกทั้งบริษัทยังมีระบบสมาชิกเพื่อสะสมคะแนนและรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ภายใต้ชื่อ "PT Max Card" ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่บริษัท โดยจำนวนสมาชิกเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และ ณ สิ้นปี 2562 มีจำนวนสมาชิก PT Max Card อยู่ที่ระดับ 12.60 ล้านราย จากสิ้นปี 2561 มีจำนวนสมาชิก PT Max Card อยู่ที่ระดับ 10.20 ล้านราย และปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่าน PT Max Card มีสัดส่วนคิดเป็น 73% ของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในปี 2562 ทำให้ทริสเรทติ้งคาดว่าระบบสมาชิก PT Max Card จะช่วยรักษาฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายให้แก่บริษัทต่อไปในอนาคต

 

 

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อไปจากการขยายสถานีบริการน้ำมันอย่างต่อเนื่อง หลังจากบริษัทมีการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันของบริษัทจะเติบโตขึ้นอย่างน้อยประมาณ 6-7% ต่อปี และประมาณการค่าการตลาดในภาพรวมของบริษัทที่ระดับประมาณ 1.70 บาทต่อลิตร ทำให้คาดว่าในช่วงปี 2563-2565 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ประมาณ 5,900 – 6,200 ล้านบาทต่อปี

 

 

นอกจากนี้ บริษัทยังตั้งเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนกำไรจากธุรกิจ Non-oil ให้เป็น 20% ภายในปี 2563 โดยทริสเรทติ้ง คาดว่าหาก PTG ทำได้สำเร็จจะช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของราคาน้ำมันได้ และยังจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้แก่บริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันธุรกิจ Non-oil ยังมีขนาดเล็กและบางธุรกิจยังไม่ผ่านจุดคุ้มทุนในการดำเนินงาน

 

 

 

 

ขณะเดียวกันหนึ่งในธุรกิจ Non-oil ที่บริษัทได้ลงทุนคือ "โครงการปาล์มน้ำมันครบวงจร" (Palm Complex) โดยถือหุ้น 40% ซึ่งมีกำลังการผลิตไบโอดีเซล B100 ที่ระดับ 5 แสนลิตรต่อวัน ซึ่งโครงการดังกล่าวได้เริ่มดำเนินงานตั้งแต่ช่วงปี 2561 อย่างไรก็ตามในระหว่างปี 2561-2562 โครงการยังใช้กำลังการผลิตได้ไม่เต็มกำลัง แต่ได้มีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสามารถดำเนินการได้เต็มกำลังการผลิตในช่วงปลายปี 2562 นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีนโยบายในการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลให้มากขึ้น จึงคาดว่าอุปสงค์และอุปทานของน้ำมันไบโอดีเซล B100 จะมีความสมดุลมากยิ่งขึ้น ดังนั้นคาดว่าในช่วงปี 2563-2565 โครงการปาล์มน้ำมันครบวงจรจะมีผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย

 

 

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 จะส่งผลกดดันยอดขายของบริษัทในระยะสั้น และการแพร่ระบาดที่ส่งผลกระทบในด้านลบต่อเศรษฐกิจไทยบางส่วน ซึ่งอาจจะกดดันการเติบโตของการบริโภคน้ำมันของประเทศในภาพรวมในปี 2563 และทริสเรทติ้งมองว่าการบริโภคน้ำมันจะกลับมาเติบโตในระดับปกติอีกครั้งในปี 2564

 

 


ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าปริมาณการขายปี 2563 เติบโต 15-20% แตะที่ระดับ 5,400 - 5,500 ล้านลิตร จากปีก่อนทำได้ 4,700 ล้านลิตร และมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดจ่าย(EBITDA)เติบโตในทิศทางเดียวกับปริมาณการขาย จากปีก่อนอยู่ที่ 5,269 ล้านบาท เนื่องจาก เป็นไปตามการขยายสาขาทั้งธุรกิจน้ำมัน(Oil) และธุรกิจ Non-oil อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่าการตลาดปรับตัวดีขึ้นโดย 2 เดือนแรกที่ผ่านมาค่าการตลาดอยู่ที่ 1.6-1.7 บาทต่อลิตร

 

 

 

 

 


สำหรับงบลงทุนปีนี้บริษัทฯวางไว้ที่ 4,500-5,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นใช้สำหรับลงทุนในการขยายและปรับปรุงธุรกิจน้ำมัน 3,900 ล้านบาท ธุรกิจ Non-oil 600 ล้านบาท ธุรกิจLPG 400 ล้านบาท และธุรกิจใหม่ 500 ล้านบาท ซึ่งเบื้องต้นเป็นธุรกิจเอทานอล โดยบริษัทฯจะพิจารณาการลงทุนให้ใกล้เคียงกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงานแต่อย่างไรก็ตามต้องดูภาพรวมผลกระทบจากสถานการณ์ในปัจจุบันอาจจะทำให้บริษัทฯต้องปรับงบลงทุนใหม่เหลือ 4,000 ล้านบาท

 

 


ทั้งนี้บริษัทฯมีแผนขยายจุดให้บริการน้ำมัน 150-200 จุด จากปีก่อนอยูที่ 2,024 จุด และขยายสาขา LPG 60-70 จุด ของภาคครัวเรือน ถึงแม้ปัจจุบันธุรกิจ LPG ภาคครัวเรือนจะยังไม่เปิดตัวให้บริการอย่างเป็นทางการแต่ปัจจุบันบริษัทฯก็มียอดขายเป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งปีนี้บริษัทฯคาดว่ายอดขายจากธุรกิจ LPG จะเติบโตที่ระดับ 35-40% หรือทำได้ 110,000 ตัน โดยมาจากภาคครัวเรือน 10% และมาจากอุตสาหกรรมรถยนต์ 90%

 

 

นายรังสรรค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผลกระทบไวรัสโควิด-19 ไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯมากนักเนื่องจากการใช้รถยนต์ในกรุงเทพมหานครยังคงหนาแน่นอยู่หลังปัจจุบันประชาชนลดปริมาณการเดินทางตามรถโดยสารมากขึ้น โดยสองเดือนแรก(มกราคม-กุมภาพันธ์)ที่ผ่านมาบริษัทฯมีปริมาณขายเติบโต 12-13% ถึงแม้จะจะต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ 15% แต่เชื่อว่าภาพรวมของครึ่งปีแรกจะยังคงเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 10%

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

แนวรบเก็งกำไร By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ แม้สภาพตลาดหุ้นไทย นักลงทุน ยังไม่กลับมา แต่สำหรับแนวรบ หุ้นเก็งกำไร ......

พีทีจี เอ็นเนอยี ส่ง ออโต้แบคส์ เข้าร่วมงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 เตรียมประกาศความพร้อมการแข่งขัน PT Maxnitron Racing Series 2024

พีทีจี เอ็นเนอยี ส่ง ออโต้แบคส์ เข้าร่วมงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 เตรียมประกาศความพร้อมการแข่งขัน PT Maxnitron Racing..

มัลติมีเดีย

NER กางปีก..รับราคายางพาราพุ่ง - สายตรงอินไซด์ - 18 มี.ค.67

NER กางปีก..รับราคายางพาราพุ่ง - สายตรงอินไซด์ - 18 มี.ค.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้