Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews : PTT หวั่นใจรายได้ปีนี้ วูบจากปีก่อนที่ 2.3 แสนลบ. รับผลปิโตรฯหด

4,193

HotNews : PTT หวั่นใจรายได้ปีนี้วูบ จากปีก่อนที่ 2.3 แสนลบ. รับผลปิโตรฯหด

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (19 พฤศจิกายน 2562) PTT หวั่นใจรายได้ปีนี้วูบจากปีก่อนที่ 2.3 แสนลบ. รับผลปิโตรฯหด - ราคาน้ํามันดิบร่วง พร้อมประเมินปี 63 ราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวในกรอบที่ 60-70 เหรียญสหัฐฯ/บาร์เรล หลังได้รับอานิสงค์จากมาตรการ IMO เชื่อส่งผลบวกต่อธุรกิจโรงกลั่น

 

 

 

 

 

นางพรรณพร ศาสนนันท์ ผู้จัดการฝ่ายผู้ลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า บริษัทฯประเมินราคาน้ำมันดิบดูไบในไตรมาส4/2562 จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 59-60 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ซึ่งปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส3/2562 ที่ปิดระดับ 60.90 เหรียสหรัฐฯ/บาร์เรล เนื่องจาก โรงกลั่นที่ได้ปิดซ่อมบำรุงในไตรมาส3 กลับมาเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ตามปกติตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมาเป็นที่เรียบรวทั้งท่อส่งน้ำมันที่มีการขยายเพิ่มเติมในอเมริกาก็ปรับเพิ่มขึ้นหลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จ จึงส่งผลให้อุปทานมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น

 

 


ขณะที่บริษัทฯยอมรับว่ารายได้ปี 2562 จะต่ำกว่าปีก่อนที่ทำได้ 2,367,958.54 บาท หลังจาก 9 เดือนแรกที่ผ่านมาบริษัทฯทำได้เพียง 1,690,370.06 บาท หลังได้รับผลกระทบจากราคาน้ํามันดิบที่ปรับลดลง ขณะที่ ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีทั้งสายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ก็ลดลงด้วยเช่นกัน

 

 

"ราคาปิโตรเคมีส่วนใหญ่จะต้องดูเรื่องอุปสงค์ อุปทานของปิโตรเคมีในแต่ละประเภท หลักๆต้องดูเรื่องของโอเลฟินส์ อย่างเรื่องของเทรดวอร์ว่าจะมีผลกระทบอยู่หรือไม่ หรือธุรกิจอะโรเมติกส์เองต้องดูในเรื่องของ PXหรือ เบนซินแต่ละตัวว่าทั้งสองตัวมีดีมานต์หรือซัพพลายอย่างไร" นางพรรณพร กล่าว

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ปี 2563 บริษัทฯประเมินว่าราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวในกรอบที่ 60-70 เหรียญสหัฐฯ/บาร์เรล หลังได้รับอานิสงค์จากมาตรการ IMOโดยส่งผลบวกต่อธุรกิจโรงกลั่นเนื่องจากทำให้ ค่าความต่างของราคาซื้อกับราคาขาย (สเปรด) ปรับตัวดีขึ้นหลังมีความต้องการดีเซลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งบริษัทฯมีสัดส่วนในการผลิตดีเซลล์ค่อนข้างมากอยู่ที่ประมาณ 45-60%

 

 

นางพรรณพร กล่าวเพิมเติมถึงความคืบหน้าในการนำบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ PTTOR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างดำเนินการขั้นตอนเตรียมยื่นแบบรายการแสดงข้อมูลต่อ สำนักงานกับกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) โดยหากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบทันที

 


บล.เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า คงคำแนะนำ "ถือ" และราคาเป้าหมายที่ 48.00 บาท อิง 2020E เราได้เข้าร่วมกาประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวัน 15 พ.ย. ที่ผ่านมา ผู้บริหารพูดถึงแนวโน้มราคาก๊าซอาจจะเริ่มอ่อนตัวลงในช่วง 2H20E ซึ่งมี lag time จากราคาน้ำมัน กลุ่มปิโตรเคมีในปี 2020E มียังมีความกดดันผลกระทบของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และ supply ที่ล้นตลาด ส่วนกลุ่มโรงกลั่นน่าจะได้รับประโยชน์จาก IMO

 

 

 

 

นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องบริษัทจะนำมาตรฐานบัญชี TFRS 9 (การจัดประเภทสินทรัพย์ทางการเงิน) และ TFRS 16 (สัญญาเช่า) มาใช้ในปี 2020E โดยเรามีมุมมองเป็นกลางจากการประชุมที่แนวโน้มspread ปิโตรเคมีและโรงกลั่น ยังเป็นไปตามที่เราและตลาดคาดการณ์ ส่วนมาตรฐานบัญชีใหม่ไม่ได้มีผลต่องบกำไรขาดทุนของบริษัทเป็นเพียงการ reclassify ค่าใช้จ่าย (ค่าเช่า, ดอกเบี้ยจ่าย, Depre) ทำให้ไม่มีผลต่อประมาณการกำไรอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับฐานะทางการเงินยังแข็งแกร่ง D/E ณ 30 ก.ย. อยู่ที่ 0.85 เท่า แต่ถ้าหลังปรับนโยบายบัญชี D/E จะเป็น 1.15 เท่า

 



ราคาหุ้นปรับลง -9% ใน 12 เดือนที่ผ่าน แต่เริ่มทรงตัวในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ได้สะท้อนผลประกอบการที่ต่ำไปแล้ว อย่างไรก็ตามเรายังคงคำแนะนำ "ถือ" จากระยะสั้นกำไร 4Q19E จะฟื้นตัวกลับมามีกำไรได้ราว 2.5 หมื่นล้านบาท

 

 

กลุ่มปิโตรเคมียังทรงตัวแต่โรงกลั่นดีขึ้น ผู้บริหารพูดถึงแนวโน้มราคาก๊าซอาจจะเริ่มอ่อนตัวลงในช่วง 2H20E ซึ่งมี lag time จากราคาน้ำมันอยู่ประมาณ 6-9 เดือน ซึ่งอาจจะกระทบต่อธุรกิจ E&P ในขณะที่กลุ่มปิโตรเคมีในปี 2020E มียังมีความกดดันจากราคาปิโตรเคมีที่ยังอยู่ในระดับต่ำซึ่งเป็นผลกระทบของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และ supply ที่ล้นตลาด ส่วนกลุ่มโรงกลั่นน่าจะได้รับประโยชน์จาก IMO ที่ทำให้ diesel crack spread และ LSFO crack spread ปรับเพิ่มสูงขึ้น

 

 

 

 

ปรับนโยบายบัญชี นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องบริษัทจะนำมาตรฐานบัญชี TFRS 9 (การจัดประเภทสินทรัพย์ทางการเงิน) และ TFRS 16 (สัญญาเช่า) มาใช้ในปี 2020E ตามที่ผู้บริหารชี้แจงผลกระทบเบื้องต้นต่องบการเงินของบริษัทได้แก่ ทรัพย์สินและหนี้สินจะเพิ่มขึ้น 4.1-4.3 หมื่นล้านบาท (บันทึกสินทรัพย์และหนี้สินเช่าทางการเงินประมาณ 3.4 หมื่นล้านบาท และผลของการจัดประเภทสินทรัพย์ทางการเงิน 7-9 พันล้านบาท) และ EBITDA เพิ่มขึ้นจากค่าเช่าลดลง แต่ดอกเบี้ยจ่ายกับ Depre เพิ่มขึ้น แต่สุดท้ายกำไรสุทธิไม่กระทบ

 

 

 

คงประมาณกำไรปี 2019E/20E เราคงประมาณการกำไรปี 2019E/20E ที่ 101,449 ล้านบาท และ 105,579 ล้านบาทตามลำดับ โดยเรามีมุมมองเป็นกลางจากการประชุมที่แนวโน้มspread ปิโตรเคมีและโรงกลั่น ยังเป็นไปตามที่เราและตลาดคาดการณ์ ส่วนมาตรฐานบัญชีใหม่ไม่ได้มีผลต่องบกำไรขาดทุนของบริษัทเป็นเพียงการ reclassify ค่าใช้จ่าย (ค่าเช่า, ดอกเบี้ยจ่าย, Depre) ทำให้ไม่มีผลต่อประมาณการกำไรอย่างมีนัยสำคัญ

 

 

 

 

 

 

สำหรับฐานะทางการเงินยังแข็งแกร่งถึงแม้มีทรัพย์สินและหนี้สินเพิ่มมาประมาณ 4.3 หมื่นล้านบาท โดย D/E ณ 30 ก.ย. อยู่ที่ 0.85 เท่า (30 ก.ย มีทรัพย์สิน 2.4 ล้านล้านบาท, หนี้สิน 1.1 ล้านบาท) แต่ถ้าหลังปรับนโยบายบัญชี D/E จะเป็น 1.15 เท่า

 

 

 


ราคาเป้าที่ 48.00 บาท อิง SOTP อย่างไรก็ตามปัจจัยความเสี่ยงในเรื่องสงครามการค้าจีน-สหรัฐที่ยังยืดเยื้อ อาจจะกดดันต่อธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นได้

 

 

 

PTTOR

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้