Today’s NEWS FEED

สัมภาษณ์/รายงานพิเศษ

สัมภาษณ์พิเศษ : วีรสิทธิ์ สินเจริญกุล ทายาทธุรกิจยางพาราหมื่นล้าน

13,720

ธุรกิจยางธรรมชาติเราก็เป็นอันดับ 1 ของโลกอยู่แล้ว แต่ในส่วนของธุรกิจถุงมือยาง ตอนนี้เราเป็นอันดับ 5 ของโลก มีส่วนแบ่งทางการตลาด 8% ดังนั้นภายใน 3-5 ปีนี้เราจะขึ้นเป็นอันดับ 3 ให้ได้ ซึ่งเป็นความท้าทายของเราอย่างมาก และทำให้เรามีไฟในการขยายธุรกิจตลอดเวลา


ถือเป็นฤกษ์งามยามดี ที่เหยี่ยวข่าวหุ้นอินไซด์ ได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์พิเศษกับหนึ่งในผู้บริหาร ผู้ขับเคลื่อนธุรกิจยางพาราหมื่นล้าน อย่าง บริษัท ศรีตรังแอร์โกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA นั่นก็คือ คุณจูเนียร์-วีรสิทธิ์ สินเจริญกุล ในฐานะกรรมการบริหารของบริษัทฯ ซึ่งเป็นลูกชายคนโตของ ดร.ไวยวุฒิ สินเจริญกุล ประธานกรรมการ ผู้วางรากฐานธุรกิจยางพาราที่ครองมาร์เก็ตแชร์อันดับ 1 ของโลก และเป็นหุ้นจดทะเบียนหลักทรัพย์ทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์

 

 

หุ้นอินไซด์ : ก่อนอื่นอยากให้คุณจูเนียร์ช่วยฉายภาพการทำธุรกิจของ STA หน่อยว่ามีอะไรบ้าง 

คุณจูเนียร์ : ศรีตรังทำธุรกิจต้นน้ำ ยันปลายน้ำ เรามีสวนยางอยู่ทั่วประเทศราว 5 หมื่นไร่ หลักๆ ภาคเหนือ และอีสาน แต่สวนยางถือเป็นส่วนเล็กๆของเรา ปีหนึ่งเราขายอยู่ประมาณ 1.35 ล้านตัน ยีลด์ของเราออกมาแค่ 1.5 หมื่นตันหรือคิดเป็นประมาณ 1% เท่านั้นเอง เรายังต้องซื้อจากเกษตรกร หรือสหกรณ์อยู่ดี ธุรกิจกลางน้ำ ก็คือ ธุรกิจยางธรรมชาติ จะมีทั้งผลิตภัณฑ์ ยางแผ่น ยางแท่ง น้ำยางข้น มีสัดส่วนรายได้กว่า 80% ของรายได้ทั้งหมด โดยเราเน้นการส่งออกเป็นหลัก ลูกค้าหลักๆเราก็จะมี จีน ญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา ตลาดใหญ่คือจีน เพราะเป็นแหล่งของโรงงาน ส่วนธุรกิจปลายน้ำ คือ ธุรกิจถงมือยาง และท่อไฮโดรลิกด้วยแต่เป็นเพียงส่วนเล็กๆเท่านั้น โดยเราเข้าไปถือหุ้นในบริษัทผลิตท่อไฮโดรลิคของพันธมิตรต่างประเทศ ในสัดส่วน 12% เท่านั้น และเราจะมีการรับรู้รายได้เป็นเงินปันผล

 

 


หุ้นอินไซด์ : มาพูดคุยถึงธุรกิจยางธรรมชาติกันก่อน คุณจูเนียร์มองภาพรวมธุรกิจยางธรรมชาติในปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง

คุณจูเนียร์ : ภาพรวมของยางพาราในปีนี้ค่อนข้างซบเซา ซึ่งซบเซามาตั้งแต่ไตรมาสสองปีที่แล้วเป็นต้นมา เพราะว่า มีสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ กับ จีน และสหรัฐ กับ ประเทศคู่ค้า เศรษฐกิจที่ชะลอตัว ดีมานด์ที่ลดลง โดยมีการเติบโตเฉลี่ย 3-5% ต่อปี สต็อกยางในแต่ละประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ก็เป็นตัวกดดันธุรกิจยางพาราโดยรวม แต่สำหรับของศรีตรังเองในปีนี้รายได้ก็อาจจะมีการเติบโตใกล้เคียงปีก่อนเพราะว่า เรามีการปรับนโยบายการขาย โดยเน้นขายให้มีกำไร มากกว่าปริมาณ ไม่มีสต็อก ซึ่งยางธรรมชาติจะมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 2-5% สูงกว่าอุตสาหกรรม โดยคู่แข่งเจ้าอื่นๆมีอัตรากำไรสุทธิไม่เกิน 2%
ถ้าเหนืออุตสาหกรรม เราคิดว่าเราสอบผ่าน สำหรับธุรกิจที่มีความผันผวนแบบนี้

 

 

หุ้นอินไซด์ : แล้วภาพรวมของธุรกิจยางธรรมชาติในปี 2562 คุณจูเนียร์มองว่าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร

คุณจูเนียร์ : ภาพรวมปีหน้า ตอนนี้ผมยังมองไม่ออกเท่าไหร่ เพราะว่าราคามันตกลงมาต่อเนื่อง แล้วก็มีข่าวร้าย มากกว่าข่าวดี โดยรวมก็คงยังชะลอ แต่ปีหน้าถ้าไม่มีอะไร ภาพไม่ได้ต่างจากตอนนี้มาก เช่น สงครามการค้ายังไม่สามารถเจรจากันอย่างลงตัวได้ ก็คงจะสวิงในกรอบแคบๆแถวๆนี้ แต่ถ้าเกิดมีการเจรจากันไปในทางที่ดีขึ้น ก็อาจจะสงผลให้ราคายางปรับตัวดีขึ้นได้ หรือสต็อกที่จีน เซี่ยงไฮ้ ชิงเต่า มีการปรับตัว ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ อาจจะส่งผลให้ราคายางปรับตัวขึ้นได้

 

 

หุ้นอินไซด์ : ตอนนี้ STA มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจยางธรรมชาติประมาณเท่าไหร่

คุณจูเนียร์ : ธุรกิจยางธรรมชาติยังคงถือเป็นรายได้หลักของศรีตรัง โดยมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 80% ของรายได้ทั้งหมด แต่ตั้งแต่ภาพรวมมันเริ่มซบซบเราก็ลดลงอัตราการใช้กำลังการผลิตลงมาเหลือเพียง 60-70% เท่านั้น จากโรงงานผลิตยางธรรมชาติรวมกันตอนนี้ที่มี 36 แห่ง แบ่งเป็นในไทย 32 แห่ง อินโดนีเซีย 3 แห่ง และเมียนมาร์ 1 แห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกันกว่า 2.6 ล้านตันต่อปี

 

 

 

หุ้นอินไซด์ : ธุรกิจยางธรรมชาติดูมีความผันผวนค่อนข้างมากแบบนี้ STA มีการปรับตัวอย่างไร

คุณจูเนียร์ : ที่ผ่านมาเราก็จะเน้นการเติบโตของยางธรรมชาติเยอะ ประมาณ 80%ของยอดขายของเราเลย แต่ปีนี้หลังจากที่เราได้มีการแยกกิจการกับคู่ค้าของเราในเดือนมีนาคม ปี 2560 ก็เริ่มตั้งไข่ใหม่ในธุรกิจถุงมือ จึงทำให้ในปีนี้ หรือตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปเราจะมีการเติบโตทางด้านธุรกิจปลายน้ำ คือ ถุงมือยาง และเราก็มีมีธุรกิจท่อไฮโดรลิคด้วย แต่เป็นเพียงส่วนเล็กๆเท่านั้น โดยเราเข้าไปถือหุ้นในบริษัทผลิตท่อไฮโดรลิคของพันธมิตรต่างประเทศ ในสัดส่วน 12% เท่านั้น และเราจะมีการรับรู้รายได้เป็นเงินปันผลจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทผลิตท่อฯ ถ้าหลักๆธุรกิจปลายน้ำของเราก็คือถุงมือยางนี่แหละ

 

 

หุ้นอินไซด์ : แสดงว่าหลังจากนี้เป็นต้นไป ธุรกิจดาวเด่นของ STA จะเป็นถุงมือยาง ใช่ไหมคะ

คุณจูเนียร์ : ใช่ครับ หลังจากนี้เราจะรุกขยายตัวถุงมือยางให้มากขึ้น เพราะว่าเป็นธุรกิจที่มีดีมานด์เติบโตเฉลี่ยปีละ 10-15% และเป็นธุรกิจที่มีกำรดี โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 20% และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 8-15%

 

 

หุ้นอินไซด์ : ไม่ทราบว่า ธุรกิจถุงมือยาง STA ทำมานานหรือยัง

คุณจูเนียร์ : สำหรับธุรกิจถุงมือยางเราทำมาตั้งแต่ปี 1989 แล้วละ โดยเราได้มีพาร์ทเนอร์จากยุโรป แต่หลังจากนั้นเมื่อปี 2011 ทางฝั่งนั้นก็มีการเปลี่ยนผู้บริหาร หลายๆอย่างก็อาจจะไม่ลงรอยกัน ซึ่งทำให้เราขยายกำลังการผลิตได้ไม่เต็มที่ ทำให้โตช้าลง เราจึงตัดสินใจว่าต่างคนต่างเดินน่าจะเป็นประโยชน์ที่ดีกว่า เราก็เลยแยกกันบริหารตั้งแต่ปีที่แล้ว จึงทำให้ในปัจจุบันนี้เรามีอิสระในการขยายกิจการมากขึ้น และเพิ่มความคล่องตัวให้กับเรามากขึ้น

 

 


หุ้นอินไซด์ :ตอนนี้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจถุงมือยางอยู่ที่เท่าไหร่

คุณจูเนียร์ : รายได้ของถุงมือยางในปีนี้เราคาดว่าจะมีสัดส่วนอยู่ที่ 15% ของรายได้รวมทั้งหมด สำหรับปีหน้าสัดส่วนถุงมือยางเราให้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่สัดส่วนเป็นเท่าไหร่ก็ค่อนข้างพูดยากเพราะปัจจุบันธุรกิจยางธรรมชาติของเรามันใหญ่มากและมันก็มีความเปลี่ยนแปลงได้สูง การที่เราหันมาเน้นถุงมือยางมากขึ้น เพราะธุรกิจยางพาราอย่างเดียวมีความเสี่ยงและความผันผวนสูงมาก และเป็นธุรกิจที่มีกำไรต่ำ ส่วนธุรกิจถุงมือยาง ถือว่าเป็นธุรกิจที่มีกำไรสูงกว่าธุรกิจยางธรรมชาติเยอะ และเป็นธุรกิจที่เราสามารถคอนโทรลได้นิ่งกว่า

 

 


หุ้นอินไซด์ :สำหรับธุรกิจถุงมือยาง มองแนวโน้มการเติบโตไว้ยังไงบ้าง

คุณจูเนียร์ : ในปีนี้รายได้จากถุงมือยางจะโตสัก 20-25% และปีหน้าจะโตกว่าปีนี้อีก 20 % เพราะเรามีการเพิ่มกำลังการผลิตเข้ามาด้วย โดยการควบรวมบริษัทคู่ค้าที่มีประสิทธิภาพในการผลิตสูง ซึ่งนี่ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้เราโต คือ บริษัท ถุงมือยาง ชื่อ ไทยกอง ซึ่งจริงๆแล้วเค้าเป็นซับพลายเออร์ให้กับเราอยู่แล้ว และเรามองว่า ไทยกอง เป็นโรงงานใหม่ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งตอนนี้เราก็ได้มีการซื้อแล้ว แต่กว่าจะทำสัญญาเสร็จ ก็คือไตรมาส 1/2562

 

 

หุ้นอินไซด์ : STA ควบรวม บริษัท ไทยกอง จำกัด อย่างไร และหลังจากนี้กำลังการผลิตเราจะเป็นเท่าไหร่

คุณจูเนียร์ : เราซื้อไทยกองด้วยการสว็อบ คือแลกหุ้นกัน โดยเราเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในไทยกองเลย พอเราได้ไทยกองมาก็จะทำให้ธุรกิจถุงมือยางโตก้าวกระโดดเลย ก่อนหน้านี้เรามีอยู่ 1.4 หมื่นล้านชิ้น มาตั้งแต่ปี 2011 แล้ว เราขยายไม่ได้ พอมาปลายปี 2017 เราก็เริ่มขยายกำลังการผลิตอีก 2,000 ล้านชิ้น ก็จะเป็น 1.6 หมื่นล้านชิ้น ตั้งแต่ต้นปี และปีนี้เราก็จะมีการขยาย เพิ่มเป็น 1.7 พันล้านชิ้น ในปลายปีนี้ทำให้สิ้นปีนี้เรามีกำลังการผลิตถุงมือยางรวม 1.77 หมื่นล้านชิ้น พอบวกไทยกองซึ่งมีกำลังการผลิต 4,000 ล้านชิ้น/ปี ทำให้ไตรมาสสองปีหน้าเราจะอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านชิ้น และเราก็จะมีโรงงานผลิตถุงมือยางทั้งหมด 5 โรง กับ 3 โลเคชั่น โดยมีโรงงานผลิตอยู่ที่ หาดใหญ่ 3 โรง และสุราษฎ์ธานี 1 โรง ส่วนไทยกองจะอยู่ที่ตรัง

 


หุ้นอินไซด์ : หันมาขยายธุรกิจถุงมือยางหนักขนาดนี้ จะทำให้พื้นฐานของ STA เปลี่ยนเลยไหม

คุณจูเนียร์ : จากการที่เราหันมาลุยธุรกิจถุงมือยางมากขึ้น โดยรวมพื้นฐานเราก็จะเปลี่ยนพอสมควรเลย ทำให้รายได้เรานิ่งมากขึ้น เพราะถ้าพึ่งแต่ยางพาราก็จะมีความผันผวน และจะขึ้นอยู่กับ ความผันผวนของราคายางในตลาดโลก พอมีธุรกิจถุงมือยางทำให้เราต่อยอดได้มากขึ้น กำไรโดยรวมมีแนวโน้มดีขึ้น และธุรกิจมีความนิ่งมากขึ้น ถือเป็นการกระจายความเสี่ยง

 

 


หุ้นอินไซด์ : แผนการดำเนินธุรกิจหลังจากนี้ เราจะขยายธุรกิจอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่

คุณจูเนียร์ : สำหรับการลงทุนไม่ว่าจะเป็นระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว 5 -10 ปี หลังจากนี้ เราราจะเน้นการขยายถุงมือยาง เป็นหลัก ยางธรรมชาติแทบจะไม่ขยายในอนาคต แต่ถ้าจะให้ถุงมือยางมีสัดส่วนเท่ากับ หรือมากกว่ายางธรรม มันก็อาจจะ เป็นไปได้แต่ยังไม่ใช่เร็วๆนี้ เพราะว่ายางธรรมชาติของเรามันใหญ่มาก ยอดขายกับวอลุ่มการผลิตมันใหญ่มาก ถ้าเกิดจะขยายถุงมือให้ทันไปกินสัดส่วนของตัวนั้น ต้องใช้เวลาเยอะ แต่ถ้าถามว่าเราจะไปทำอย่างอื่น เช่น ยางล้อรถ ราวบันไดเลื่อน หรือไม่ ตอนนี้บอกเลยว่าไม่ เพราะเรายังคงโฟกัสกับธุรกิจหลักของเราสองตัว คือ ยางธรรมชาติ และถุงมือยาง แต่ส่วนที่จะโตต่อไป คือถุงมือยางเพราะสิบปีที่ผ่านมาเราขยายยางธรรมชาติตลอดเลยจนถึงตอนนี้ เราจะขยายช้าลง และเน้นถุงงมือแทน ซึ่งถือเป็นการปรับตัว

 

 

หุ้นอินไซด์ : STA มีแหล่งเงินทุนในการขยายธุรกิจจากไหน

คุณจูเนียร์ : ส่วนใหญ่ก็มาจากการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่งบริษัทมีความสามารถในการกู้ได้มาก เพราะเรามี D/E ราว 1 เท่ากว่าๆ ซึ่งต่ำกว่าอุตสาหกรรมยางธรรมชาติ แล้วก็มีกระแสเงินสดจากการทำกำไร ของบริษัทฯ และเงินการออกหุ้นกู้เมื่อปี 2559 ซึ่งมีอายุ 3 ปี และ 5 ปี มูลค่ารวม 2,265 ล้านบาท และยังมีเงินที่เหลือจากการเพิ่มทุนเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา

 

 

หุ้นอินไซด์ : มองภาวะการแข่งขันทั้งในธุรกิจยางธรรมชาติ และถุงมือยางเป็นอย่างไรบ้าง

คุณจูเนียร์ : เรามีภาวะการแข่งขันที่สูงทั้งสองอุตสาหกรรม อย่างยางธรรมชาติ ก็เป็นช่วงซบเซาของธุรกิจ คู่แข่งหลายคนก็อ่อนแรงไป การแข่งขันมองว่ามีอยู่ แต่ซอล์ฟลงไป ส่วนถุงมือยาง การแข่งขันค่อนข้างดุเดือด ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องวอลุ่ม แต่ต้องแข่งกันเรื่องของเทคโนโลยี และหลายๆอย่าง ก็ค่อนข้างมีความท้าทาย

 

 

หุ้นอินไซด์ : จุดแข็งในการทำธุรกิจของ STA คืออะไร

คุณจูเนียร์ : ถ้าในส่วนของยางธรรมชาติ เรากินส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับ 1 ของประเทศ และของโลก ส่วนถุงมือยาง จริงๆแล้วเรามีประสบการณ์ในการณ์ผลิตมานานกว่า 30 ปี อีกทั้งเรามีเครื่องจักรในการผลิต เป็นเราผลิตเอง ทีมวิศวกรของเราเอง ทั้งเครื่องจักรที่ผลิตยางแท่ง ยางแผ่น น้ำยางข้น และเครื่องจักรที่ผลิตถุงมือเราใช้ทีมวิศวะกรที่วิจัย และพัฒนาของเราเอง 90% ทั้งหมดเป็น Know How ของเรา

 

 

หุ้นอินไซด์ : ระยะหลังๆ เห็นหุ้น STA กลับมาฮอตอีกครั้ง คุณจูเนียร์คิดว่าเป็นเพราะอะไร

คุณจูเนียร์ : ผมมองว่าส่วนหนึ่งน่าจะเป็นการเปลี่ยนถึงพื้นฐานของธุรกิจมากกว่า ก่อนหน้านี้ที่เรามีพาทเนอร์ในธุรกิจถุงมือยาง บางทีการขยายอะไรมันก็ลำบาก ทำให้เราไม่สามารถขยายมาตั้งแต่ปี 2011 แต่พอเราแยกทางให้ต่างคนต่างมีอิสระในการทำธุรกิจ ตั้งแต่เดือนมีนาคม2017เป็นต้นไปเราก็มีอิสระในการขยาย ทำให้เราก็ขยายธุรกิจถุงมือยาง ซึ่งเป็นธุรกิจปลายน้ำที่มีมาร์จิ้นสูงได้มากขึ้น ในอนาคตผมว่าตัวนี้น่าจะเป็นตัวที่ทำให้ศรีตรังมีกำไรที่ดีขึ้นและนิ่งขึ้น

 

 

 

หุ้นอินไซด์ : ตั้งแต่มารุกธุรกิจถุงมือยางมากขึ้น ในปีนี้ STA ก็พลิกกลับมามีกำไรเลย แบบนี้มีโอกาสที่จะปันผลให้ผู้ถือหุ้นอีกไหมคะ

คุณจูเนียร์ : จริงๆเรามีนโยบายปันผล 30% ของกำไรทุกปีอยู่แล้ว โดยในปีที่แล้วเราขาดทุนเราเลยไม่จ่าย แต่ปีนี้ครึ่งปีแรกเรามีกำไร 1,423.74 ล้านบาท ก็ชดเชยกับปีที่แล้ว และเราก็ได้จ่ายปันผลระหว่างกาลออกมา เมื่อวันที่28กันยายนที่ผ่านมา ให้กับผู้ถือหุ้น คราวนี้ครึ่งปีหลังก็ต้องดูสถานการณ์ในไตรมาสที่ 3 และ 4 ถ้าเกิดปีนี้จบสวย ปีหน้าก็รับรองว่าจะปันผล

 

 

หุ้นอินไซด์ : ภายใน 3-5 ปีนี้ คุณจูเนียร์ตั้งเป้าหมายของ STA ไว้อย่างไรบ้าง

คุณจูเนียร์ : ธุรกิจยางธรรมชาติเราก็เป็นอันดับ 1 ของโลกอยู่แล้ว แต่ในส่วนของธุรกิจถุงมือยาง ตอนนี้เราเป็นอันดับ 5 ของโลก มีส่วนแบ่งทางการตลาด 8% ดังนั้นภายใน 3-5 ปีนี้เราจะขึ้นเป็นอันดับ 3 ให้ได้ ซึ่งเป็นความท้าทายของเราอย่างมาก และทำให้เรามีไฟในการขยายธุรกิจตลอดเวลา

 


หุ้นอินไซด์ : สุดท้ายนี้ อยากให้คุณจูเนียร์ ฝากอะไรถึงนักลงทุนหน่อยค่ะ

คุณจูเนียร์ : ผมคิดว่าการตั้งเป้าในการขยายต่างๆ ที่เราได้วางไว้ จะพยายามทำให้ถึงเป้าให้ได้ รวมถึงควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย แล้วก็เน้นการทำกำไร และเราก็พยายามทำสิ่งที่ได้สัญญากับนักลงทุนเอาไว้ให้ได้ และเราจะพูดในสิ่งที่เป็นไปได้ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ให้โตไปเรื่อยๆ และศรีตรังเรามีนโยบายในการจ่ายปันผลเที่ 30% ของกำไรสุทธิด้วย

 

STA

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

GUNKUL ลุยขยายพอร์ตพลังงานทดแทน

GUNKUL ลุยขยายพอร์ตพลังงานทดแทน

ติดตาม By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ หลังจาก นายกฯคุยกับนายแบงก์ วันนี้ สมาคมธนาคารไทย ก็ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อย...

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้