Today’s NEWS FEED

สัมภาษณ์/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ..BEAUTY เส้นทางไม่ธรรมดา

24,822

อยาก สวย อยากงาม อยากหล่อ อยากดูดี มีเสน่ห์....พบกับน้องใหม่บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) (BEAUTY)  ซึ่งมีประวัติ น่าสนใจดังนี้   บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) (“บริษัท” หรือ “BEAUTY”) เดิมชื่อ บริษัท โมนาโพลิแตนท์ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2543 ด้วยทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 1,000,000 บาท โดยมีผู้ก่อตั้งคือ นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ และนางธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุง ผิว ด้วยแนวความคิดที่ต้องการจะนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อความงามอันหลากหลายที่ผ่าน การคัดสรรอย่างดีทั้งในด้านวัตถุดิบและรูปลักษณ์ เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภค
    นับว่า  บิวตี้ คอมมูนิตี้ ผ่านร้อน ผ่านหนาว....จุดเริ่มแรกสำคัญปี 2541 - 2542 เปิดร้านจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิวนำเข้าร้านแรก โดยใช้ชื่อว่า “นีโอ” ที่ศูนย์การค้าย่านสยามสแควร์ ต่อมาทำการขยายธุรกิจโดยการเปิดร้านจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและ บำรุงผิวนำเข้าโดยใช้ชื่อว่า “โมนา” ที่ศูนย์การค้ามาบุญครอง

    19 ตุลาคม 2543 ก่อตั้ง บริษัท โมนาโพลิแตนท์ จำกัด (ชื่อเดิมของบริษัท) ด้วยทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 1,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 10,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินธุรกิจการจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและ บำรุงผิวอย่างเต็มรูปแบบภายใต้ชื่อร้าน “โมนา” ด้วยแนวความคิดที่ต้องการจะนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อความงามที่ผ่านการคัดสรร อย่างดีหลากหลายแบรนด์ มีทั้งผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศและที่ผลิตภายในประเทศ มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบเครื่องสำอางที่มีสีสัน โดยร้านโมนาได้ขยายสาขาในศูนย์การค้าต่างๆจำนวนทั้งสิ้น 7 สาขา

    ปี 2547 ปรับปรุงรูปแบบให้ทันสมัย โดยปรับเปลี่ยนชื่อร้านเป็น “คอสเมดา” ซึ่งมีข้อแตกต่างกับรูปแบบร้านเดิมดังต่อไปนี้

    • มีการคัดเลือกสินค้านำเข้าให้ตรงตามความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น รวมทั้งเริ่มใช้วิธีการสั่งผลิตสินค้าจากโรงงานในประเทศไทยที่เป็นโรงงานที่ มีคุณภาพส่งออกต่างประเทศ โรงงานสัญชาติญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย และสั่งผลิตสินค้าบางส่วนจากประเทศเกาหลี โดยใช้วัตถุดิบทั้งในประเทศไทยและวัตถุดิบนำเข้า ทำให้สามารถนำเสนอสินค้าที่ตอบสนองต่อความนิยมของของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
    • ขยายฐานลูกค้าเป็นกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยและวัยเริ่มทำงาน
    • เริ่มมีการนำระบบเทคโนโยลีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารจัดการร้านค้าให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
เพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการ
    3 มีนาคม 2548   บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 5,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 50,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาทเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายสาขา โดยจากปี 2547 จนกระทั่งถึงปี 2549 ร้านคอสเมดาได้เปิดสาขาแล้วทั้งสิ้นประมาณ 20 สาขา
    ปี 2549 - 2550 ในเดือนธันวาคม 2549 บริษัททำการพัฒนารูปแบบร้านรวมถึงเปลี่ยนชื่อร้านเป็น “บิวตี้ บุฟเฟต์ (BEAUTYBUFFET)” โดยการปรับปรุงรูปโฉมของร้านใหม่ ยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ภายใต้แนวคิด บิวตี้ บุฟเฟต์ ซึ่งมุ่งเน้นหลักการของการเข้าถึงได้ง่าย สัมผัสง่าย ทดลองใช้ได้ มีความหลากหลายครบถ้วน และราคาสมเหตุสมผล เช่นเดียวกันกับการเข้าร้านอาหารประเภทบุฟเฟต์ ซึ่งลูกค้าสามารถชมและชิมอาหารได้หลากหลายประเภท ทำให้สามารถเลือกรับประทานได้เหมาะกับความต้องการของตนเองสินค้าที่ขายใน ร้าน บิวตี้ บุฟเฟต์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาโดยบริษัทภายใต้แบรนด์ของบริษัท (Private label) มีความหลากหลายของแบรนด์ให้ลูกค้าสามารถเลือกสรรสินค้าที่เหมาะสมกับตนเอง ภายใต้สโลแกน “Themost delicious beauty shop in town” หรือ “สวยอร่อยหลากหลายสไตล์บุฟเฟต์”ร้าน บิวตี้ บุฟเฟต์ สาขาแรกเปิดดำเนินการในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาวงศ์สว่าง ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จากนั้นบริษัทจึงทำการปรับปรุงร้านคอสเมดาทั้งหมดเป็นร้าน บิวตี้ บุฟเฟต์ และขยายสาขาต่อเนื่องภายใต้ชื่อ บิวตี้ บุฟเฟต์ ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา
    ปี 2551 – 2553 ร้าน บิวตี้ บุฟเฟต์ ได้รับการยอมรับจากลูกค้าในวงกว้าง ทำให้เกิดการขยายสาขาต่อเนื่อง ดังนี้
    ปี 2551 เริ่มขยายตัวสู่ภาคเหนือและภาคตะวันออก โดยมีจำนวนสาขา ณ สิ้นปี 2551 ทั้งสิ้นเป็นจำนวน 34สาขา
    ปี 2552 เริ่มขยายตัวสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ โดยมีจำนวนสาขา ณ สิ้นปี 2552ทั้งสิ้น 74 สาขา
    ปี 2553 ขยายสาขาต่อเนื่องในทุกภาคทั่วประเทศ โดยมีจำนวนสาขา ณ สิ้นปี 2553 ทั้งสิ้น 97 สาขา
    ปี 2554 ร้าน บิวตี้ บุฟเฟต์ ขยายสาขาต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีกำลังซื้อสูง โดยมีจำนวนสาขา ณ สิ้นปี 2554 ทั้งสิ้น 120 สาขา
    นอกจากนี้ บริษัทเปิดตัวร้านค้าปลีกผลัตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิวรูปแบบใหม่ ภายใต้ชื่อ“บิวตี้ คอทเทจ (BEAUTY COTTAGE)” โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติและปลอดสารเคมีที่เป็นอันตราย ผสมผสานกับการตกแต่งร้านในรูปแบบแนวย้อนยุคหรือวินเทจ (Vintage) โดยเปิดตัวสาขาแรกที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซ่า สาขาลาดพร้าว ภายใต้สโลแกน “Natural Crafted Beauty” ซึ่งหมายถึงความงามที่รังสรรค์จากธรรมชาติ ร้าน บิวตี้ คอทเทจ ขยายตัวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยนับจากที่เปิดสาขาแรกในเดือนสิงหาคม 2554 บริษัทได้ทำการขยายสาขาร้าน บิวตี้ คอทเทจ อย่างต่อเนื่องในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และขยายตัวสู่ภาคเหนือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก โดยมีจำนวนสาขา ณ สิ้นปี 2554 ทั้งสิ้น 10 สาขา
    23 ธันวาคม 2554 บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 55,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 550,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100บาท เพื่อซื้อที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ และเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
    ปี 2555 เดือนมกราคมปี 2555 บริษัทได้จัดทำสัญญาการจัดจำหน่ายสินค้า บิวตี้ บุฟเฟต์ กับผู้จัดจำหน่ายสินค้ารายหนึ่ง โดยให้สิทธิในการจำหน่ายสินค้าของ บิวตี้ บุฟเฟต์ ในประเทศกัมพูชา ภายใต้มาตรฐานของบริษัท โดยร้าน บิวตี้ บุฟเฟต์ เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศกัมพูชา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2555
    เดือนเมษายน 2555 บริษัทเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “เมด อิน เนเจอร์ (MADE IN NATURE)” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากธรรมชาติ ภายใต้สโลแกน “Live a Natural Life” จัดจำหน่ายผ่านช่องทางร้านค้าปลีกขนาดใหญ่หรือโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) โดยเริ่มจัดจำหน่ายผ่านห้างฟู๊ดแลนด์เป็นแห่งแรก
    31 กรกฎาคม 2555 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 2/2555 มีมติให้บริษัททำการแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน)
    ในโลกธุรกิจเส้นทางของ BEAUTY ย่อมไม่ธรรมดา  แถม เจ้าของเป็นคนไทย ที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่  ซึ่งการจะยิ่งใหญ่ได้นั้น  ย่อมมีแหล่งเงินทุน ต้นทุนต่ำ  นั่นก็คือ  การระดมทุนในตลาดหุ้น........
    บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) (BEAUTY) เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชน ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯ จำนวน 82,500,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาทแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 80,000,000 หุ้น เสนอขายต่อประชาชนหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 2,500,000 หุ้น เสนอขายต่อผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯทั้งนี้ หุ้นในส่วนที่เหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้บริหารและพนักงาน ให้ส่วนที่เหลือทั้งหมดไปรวมเสนอขายต่อประชาชนโดยบริษัทฯ จะนำหุ้นสามัญเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ราคาเสนอขายหุ้นละ 8.00 บาท โดยระยะเวลาเสนอขาย ตั้งแต่เวลา 9.00 น. ถึง 16.00 น. ของวันที่ 29 – 30 พฤศจิกายน 2555 และ วันที่ 3 ธันวาคม 2555 ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายบริษัท หลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ล่าสุด ตลาดฯได้อนุมัติให้หุ้น บิวตี้ คอมมูนิตี้ เข้าซื้อขายในตลาดฯได้ วันที่ 12 ธันวาคมนี้
    ท่ามกลางกระแสไอพีโอร้อนแรง  แม้น้องใหม่รุ่นบมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์(ANAN)เข้าเทรดวันแรก(7ธ.ค.) จะต่ำกว่าราคาจองที่ 4.20 บาท โดยปิดตลาดที่ 3.80 บาท ลดลง 0.40 บาท คิดเป็น 9.52%  เชื่อว่า คงไม่มีผลกระทบต่อหุ้นบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) (BEAUTY) เนื่องจากเป็นคนละธุรกิจและหุ้นไอพีโอ มีจำนวน 82.50 ล้านหุ้นและ ราคา IPO ของ BEAUTY ในราคาหุ้นละ 8.00 บาท ตามข้อมูลที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) 16.25 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง คือ ไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 - ไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ซึ่งเท่ากับ 147.68 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully Diluted) ซึ่งเท่ากับ 300 ล้านหุ้น คิดเป็นกำไรสุทธิเท่ากับ 0.49 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และสำรองตามกฎหมาย
        ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 300 ล้านบาท และด้วยแนวความคิดที่ต้องการจะนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อความงามอันหลากหลายที่ ผ่านการคัดสรรอย่างดีทั้งในด้านวัตถุดิบและรูปลักษณ์ เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภค โดยปัจจุบันจัดจำหน่ายภายใต้แนวคิด 3 รูปแบบได้แก่ บิวตี้ บุฟเฟต์(BEAUTY BUFFET),บิวตี้ คอทเทจ (BEAUTY COTTAGE) และ เมด อิน เนเจอร์ (MADE IN NATURE) 
               แต่ละแนวคิดจะมีความแตกต่างกันในด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์  ช่องทางการจำหน่าย  และตำแหน่งทางการตลาด เพื่อการตอบสนองความต้องการต่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แตกต่างกัน และเป็นการสร้างฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทุกระดับของการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อความ งามดังนี้
    1.บิวตี้ บุฟเฟต์(BEAUTY BUFFET)  เป็นแนวคิดในการนำเสนอรูปแบบการผสมผสานระหว่างแนวคิดของธุรกิจร้านอาหาร บุฟเฟต์เข้ากับธุรกิจค้าปลีกเครื่องสำอาง ทำให้เกิดความแตกต่างและโดดเด่น รูปแบบร้าน บิวตี้ บุฟเฟต์ ที่มีสินค้าหลากหลายให้เลือกสรร มุ่งเน้นการตกแต่งที่มีสีสันโดดเด่นและการให้บริการที่เป็นกันเอง เพื่อให้ลูกค้าสามารถทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างเต็มที่ก่อนที่จะทำการตัดสิน ใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตนเอง ผลิตภัณฑ์ที่จัดจำหน่ายภายใต้ร้านบิวตี้ บุฟเฟต์จะถูกนำเสนอด้วยแบรนด์ที่หลากหลาย ประกอบด้วย GINO McCRAY (The Professional Make Up)  THE BAKERY (Sweet & Delicious) SCENTIO และ LANSLEY ผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด บิวตี้ บุฟเฟต์ มีระดับราคาที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับเครื่องสำอางที่จำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกใน ตลาดโดยรวมและที่จำหน่ายผ่านเคาน์เตอร์ห้างสรรพสินค้า รวมทั้งมีสีสันที่สดใส เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งได้แก่กลุ่มวัยรุ่นในช่วงตั้งแต่มัธยมต้นจนถึงวัยทำงานที่ต้องการใช้ เครื่องสำอางในการดูแลตนเองและเสริมสร้างบุคลิกภาพให้ทันสมัย ณ 31 กรกฎาคม 2555 บิวตี้ บุฟเฟต์ มีสาขาร้านค้าปลีกรวมทั้งสิ้น 127 สาขาทั่วประเทศ และบริษัทมีนโยบายการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถกระจายสินค้าสู่ ผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง โดยมุ่งเน้นการเปิดสาขาตามศูนย์การค้าและย่านการค้าชั้นนำทั่วไป เช่น ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ รวมทั้งได้เริ่มมีการขยายสาขา บิวตี้ บุฟเฟต์ สู่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา เป็นต้น
    2.บิวตี้ คอทเทจ (BEAUTY COTTAGE) เป็นแนวคิดในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติผนวกเข้ากับการ ตกแต่งร้านและออกแบบบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบย้อนยุค (Vintage) ซึ่งก่อให้เกิดความเรียบหรูลงตัวอย่างมีระดับ ผลิตภัณฑ์ในร้านค้าปลีกภายใต้แนวคิด บิวตี้ คอทเทจ ทั้งหมดจัดจำหน่ายภายใต้แบรนด์ “Beauty Cottage” เพียงแบรนด์เดียว (Single brand) โดยมีความโดดเด่นในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงผิวด้วยคุณสมบัติเฉพาะจาก สารสกัดธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญต่อสุขภาพภายใต้แนวคิดธรรมชาติ
    โดยกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยและวัยทำงานขึ้นไป ที่ต้องการการบำรุงผิวในระดับที่ลึกมากขึ้น ผนวกกับการสร้างบุคลิกภาพที่เรียบหรู ทั้งนี้ บิวตี้ คอทเทจ ได้เริ่มเปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2554 และขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ณ 31 กรกฎาคม 2555 บิวตี้คอทเทจ มีสาขาร้านค้าปลีกรวมทั้งสิ้น 21 สาขาทั่วประเทศ โดยมุ่งเน้นการเปิดสาขาตามศูนย์การค้าชั้นนำทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด
    ทั้งนี้ บิวตี้ บุฟเฟต์ และ บิวตี้ คอทเทจ จะนำเสนอผลิตภัณฑ์หลักต่อผู้บริโภคโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ซึ่งครอบคลุมเกือบทั้งหมดในความต้องการของลูกค้า ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง (Make-up) ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Skin care) และอุปกรณ์เสริมความ (Accessories) โดยที่ บิวตี้ บุฟเฟต์ จะมีความโดดเด่นในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ในขณะที่ บิวตี้ คอทเทจ เน้นการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อการบำรุงมากกว่า

    3.เมด อิน เนเจอร์ (MADE IN NATURE) แนวคิดผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ รวมทั้งใช้รูปแบบบรรจุภัณฑ์ลักษณะสีสันธรรมชาติ โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงด้านการบำรุงผิว (Skin care) ซึ่งมีวัตถุดิบสำคัญนำเข้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศเกาหลี ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ในวงกว้าง(Premium mass) โดยจัดจำหน่ายผ่านช่องทางร้านค้าปลีกขนาดใหญ่หรือโมเดิร์นเทรด เมด อิน เนเจอร์ เริ่มเปิดตัวในไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 ด้วยผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำและโลชั่นบำรุงผิว ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป ลูกค้าเป้าหมายจึงได้แก่กลุ่มบุคคลทั้งหญิงและชายที่ให้ความสำคัญกับการดูแล ตนเอง และเป็นลูกค้าทั่วไปของซุปเปอร์มาร์เก็ต โดยบริษัทมีแผนในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แนวคิด เมด อิน เนเจอร์ อย่างต่อเนื่อง
    แน่นอน บนความสวยงาม ย่อมมีปัจจัยเสี่ยงจากการลอกเลืยนแบบสินค้าบริษัทไม่มีนโยบายการผลิตสินค้า ด้วยตนเอง แต่จะใช้วิธีการสั่งผลิตจากผู้ผลิตที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตผลิตภัณฑ์ ประเภทต่างๆ โดยผู้ผลิตจะเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบในการผลิตทั้งหมด รวมทั้งเป็นผู้ควบคุมสูตรการผลิตในรายละเอียด นอกจากนี้ผู้ผลิตบางรายทำหน้าที่ทั้งการผลิตตัวเนื้อผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ทำให้สามารถผลิตได้ตั้งแต่ต้นทางจนถึงสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงจากการลอกเลียนแบบสินค้า และอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท

    บริษัทตระหนักดีถึงความเสี่ยงดังกล่าว ดังนั้นบริษัทจึงได้มีการจัดทำสัญญากับผู้ผลิตทุกรายที่ควบคุมสูตรการผลิต ผลิตภัณฑ์ของบริษัท โดยมีสาระสำคัญคือผู้ผลิตจะไม่เปิดเผยหรือเผยแพร่สูตรหรือส่วนผสมของสินค้า และขั้นตอนการผลิตให้บุคคลอื่นได้รับทราบรวมถึงจะไม่ผลิตสินค้าดังกล่าวออก มาจำหน่ายเอง ทั้งนี้ ให้เงื่อนไขดังกล่าวมีผลทั้งในขณะที่ผู้ผลิตยังทำการผลิตให้กับบริษัท และมีผลต่อเนื่องไปอีกเป็นระยะเวลา 1 - 3 ปี หลังจากที่บริษัทยกเลิกการสั่งซื้อจากผู้ผลิตดังกล่าวแล้ว
    ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีความหลากหลายมาก โดยปัจจุบันมีจำนวนสินค้ามากกว่า 1,100 รายการ รวมทั้งมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ผลิตประมาณ 20 รายทำการผลิตสินค้าที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้ผลิตรายใดรายหนึ่งไม่สามารถทราบสูตรการผลิตหรือลอกเลียนแบบ ผลิตภัณฑ์ได้ทั้งหมด นอกจากนี้ บริษัทมีความเชื่อมั่นในการสร้างแนวคิดให้กับผลิตภัณฑ์ และสร้างคุณภาพในการบริการให้ทัดเทียมกับเครื่องสำอางที่จับกลุ่มลูกค้า ระดับบน เพื่อให้ลูกค้าเกิดความภักดีต่อตราสินค้าของบริษัท ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้

    ปัจจัยเสี่ยงจากการพึ่งพิง บิวตี้ บุฟเฟต์
    ที่ผ่านมารายได้หลักของบริษัทมาจากการจัดจำหน่ายสินค้าภายใต้แนวคิด บิวตี้ บุฟเฟต์ โดยในปี 2553 (อ้างอิงจากงบกำไรขาดทุนรวม) ปี 2554 และงวด 9 เดือนปี 2555 บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าของ บิวตี้ บุฟเฟต์ เป็นจำนวนรวม 502.53 ล้านบาท 604.14 ล้านบาท และ 493.23 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.69 ร้อยละ 98.18 และร้อยละ 88.29 ของรายได้รวมตามลำดับ โดยเกือบทั้งหมดเป็นรายได้จากการจำหน่ายปลีกให้กับผู้บริโภคทั่วประเทศภาย ใต้เครื่องหมาย บิวตี้ บุฟเฟต์ ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิวเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะที่มีความอ่อนไหวต่อ การบริโภค โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวหน้า ซึ่งผู้บริโภคจะค่อนข้างอ่อนไหวต่อข่าวสารข้อมูลต่างๆทั้งในเชิงบวกและเชิง ลบ ดังนั้นหากเกิดเหตุการณ์ใดๆที่มีผลกระทบในเชิงลบต่อภาพลักษณ์ บิวตี้บุฟเฟต์ เช่น ผู้บริโภคเกิดอาการแพ้เครื่องสำอาง เป็นต้น อาจส่งผลกระทบต่อยอดขายและผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญบิวตี้ บุฟเฟต์ เป็นแนวคิดของการพัฒนาร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีเอกลักษณ์เป็น ของตนเอง (Shop brand) ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเปิดช่องทางการจัดจำหน่ายช่องทางหนึ่งเท่านั้น บริษัทสามารถพัฒนาแนวคิดในลักษณะของ Shop brand ขึ้นมาทดแทนได้ ตัวอย่างเช่น บิวตี้ คอทเทจ ซึ่งเป็น Shop brand อีกรูปแบบหนึ่งซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของ ตนเอง นอกจากนี้ ภายใต้ Shop brand บิวตี้ บุฟเฟต์ ยังมีการจัดแบ่งสินค้าที่เสนอขายออกเป็นหลากหลายแบรนด์ โดยแต่ละแบรนด์มีตำแหน่งทางการตลาดที่ชัดเจนตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งบริษัทสามารถพัฒนาแบรนด์ใหม่ๆขึ้นมาทดแทนได้ตลอดเวลาตามลักษณะของสินค้า แฟชั่น ดังนั้นบริษัทจึงมีความมั่นใจว่าการพึ่งพิงรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภาย ใต้แนวคิด บิวตี้ บุฟเฟต์ จะลดลงตามลำดับเมื่อผลิตภัณฑ์ที่จัดจำหน่ายภายใต้ Shop brand อื่นๆ เช่น บิวตี้ คอทเทจ หรือผลิตภัณฑ์ของ เมด อิน เนเจอร์ มีการเติบโตมากขึ้น รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเติมในอนาคตตามกลยุทธ์และเป้าหมายการตลาด
    นอกจากนี้ บริษัทเชื่อมั่นว่าความเสี่ยงจากภาพลักษณ์ที่ถูกกระทบในเชิงลบมีโอกาสเกิด ขึ้นได้น้อย โดยในอดีตยังไม่เคยมีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้น เนื่องจากบริษัทให้ความสำคัญกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นอันดับหนึ่ง มีการทดสอบการใช้จริงกับสินค้าทุกล๊อตที่สั่งผลิต รวมทั้งมีนโยบายรับประกันความพึงพอใจของลูกค้าเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจถึง คุณภาพและความปลอดภัย หากลูกค้าไม่พึงพอใจในสินค้าที่ซื้อไปก็สามารถคืนสินค้าได้ภายใน 14 วัน (โครงการ Customer Satisfaction Guarantee ซึ่งเริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา) โดยที่ผ่านมามีมูลค่าในการคืนสินค้าน้อยมากหรือประมาณร้อยละ 0.01 ของยอดขายโดยรวม นอกจากนี้ บริษัทมีการสื่อสารกับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางออนไลน์ และสื่อโฆษณาในรูปแบต่างๆ โดยหากเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อภาพลักษณ์ของบริษัท ผู้บริหารคาดว่าจะเป็นเพียงผลกระทบระยะสั้นเนื่องจากบริษัทสามารถสื่อสารชี้ แจงให้ผู้บริโภครับทราบถึงข้อเท็จจริงได้อย่างรวดเร็วในหลายช่องทาง
    สำหรับผลประกอบการ ผลงานบิวตี้ บุฟเฟต์ และ บิวตี้ คอทเทจ จัดจำหน่ายโดยผ่านช่องทางร้านค้าปลีก โดยที่ บิวตี้ คอทเทจ เปิดตัวในไตรมาสที่ 3 ของปี2554 ที่ผ่านมาบริษัทขยายสาขาร้านค้าปลีกเพื่อการจัดจำหน่ายทั้งในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และในจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ รวมทั้งการเพิ่มช่องทางการจำหน่าย เมด อิน เนเจอร์ ผ่านโมเดิร์นเทรดในไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 ส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง จาก 504.10 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 615.31 ล้านบาทในปี 2554 คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 22.06 และในงวด 6 เดือนปี 2555 บริษัทมีรายได้รวมเป็นจำนวน 361.94 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 21.73 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า

    รายได้จากการขายหลักของบริษัท มาจากการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด บิวตี้ บุฟเฟต์ โดยในปี 2553 และปี 2554 มีจำนวนเท่ากับ 502.53 ล้านบาท และ 604.14 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.69 และร้อยละ 98.18 ของรายได้รวมตามลำดับ และคิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 20.11ซึ่งเป็นผลจากการขยายสาขาในทั่วทุกภูมิภาคของประเทศเพื่อให้เข้าถึง กลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยสาขา ณ สิ้นปี 2554 มีจำนวนรวม 121 สาขาเพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2553 ที่มีจำนวน 97 สาขา

    สำหรับงวด 6 เดือนปี 2555 รายได้จาก บิวตี้ บุฟเฟต์ มีจำนวนเท่ากับ 323.20 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 9.26 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าเนื่องจากการขยายสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 125 สาขา ณ 30 มิถุนายน 2555 รวมทั้งมีการขยายการจัดจำหน่ายสู่ประเทศกัมพูชาในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ทั้งนี้ บิวตี้ บุฟเฟต์ มีความโดดเด่นในการนำเสนอเครื่องสำอางที่มีสีสันสดใสสวยงามและทันสมัย ซึ่งส่งผลให้ บิวตี้ บุฟเฟต์ มีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในสัดส่วนที่มากเมื่อเทียบกับ ผลิตภัณฑ์อื่น หรือคิดเป็นสัดส่วนโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 52 ของยอดขายรวมของ บิวตี้ บุฟเฟต์ ส่วนผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและอุปกรณ์เสริมความงาม มีสัดส่วนการจำหน่ายโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 41 และร้อยละ 7 ตามลำดับ

    ในปี 2554 ได้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ซึ่งส่งผลสาขา บิวตี้ บุฟเฟต์ ต้องปิดตัวชั่วคราวจำนวน 25 สาขา (ประกอบกับสาขาเซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าวต้องปิดตัวชั่วคราวจากการปิดปรับปรุง ของห้าง) ส่งผลให้สินค้าและสินทรัพย์ของสาขาบิวตี้ บุฟเฟต์ เสียหายเป็นจำนวนรวม 0.64 ล้านบาท และเสียโอกาสจากการขายเป็นจำนวนประมาณ 15 ล้านบาท อย่างไรก็ตามยอดขายของ บิวตี้ บุฟเฟต์ ในปี 2554 ก็ยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นในภาพรวม

    ในส่วนของผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด บิวตี้ คอทเทจ ณ สิ้นปี 2554 บริษัทมีการเปิดสาขาทั้งหมดเป็นจำนวน 10 สาขา และมีรายได้รวมเป็นจำนวน 7.93 ล้านบาท และสำหรับงวด 6 เดือนปี 2555 บริษัทมีรายได้จากบิวตี้ คอทเทจ เป็นจำนวน 33.59 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 323.60 จากปี 2554 โดยมีจำนวนสาขา ณ 30 มิถุนายน 2555 รวมทั้งสิ้น 21 สาขา โดยบิวตี้ คอทเทจมุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากสารสกัดจากธรรมชาตินานาชนิดที่ มีคุณสมบัติเด่นในการบำรุงผิว จึงทำให้สัดส่วนโดยเฉลี่ยของยอดขายของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอยู่ที่ร้อยละ 53 เมื่อเทียบกับยอดขายรวมของ บิวตี้ คอทเทจ ในขณะที่สัดส่วนเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและอุปกรณ์เสริมความงามอยู่ ที่ประมาณร้อยละ 39 และร้อยละ 8 ตามลำดับ

    สำหรับผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด เมด อิน เนเจอร์ เริ่มเปิดตัวในเดือนเมษายน 2555 ที่ฟูดแลนด์เป็นแห่งแรก มีรายได้จากการจำหน่ายในงวด 6 เดือนปี 2555 เป็นจำนวน 0.51 ล้านบาท ปัจจุบัน เมด อิน เนเจอร์ นำเสนอเฉพาะผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำและโลชั่นบำรุงผิว เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้ทั่วไปกับกลุ่มลูกค้าทุกเพศทุกวัน โดยบริษัทมีแผนที่จะขยายจุดจำหน่ายและประเภทผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมาก ขึ้นและคาดว่าจะมีรายได้ในส่วนนี้เพิ่มขึ้นในอนาคต

    ต้นทุนขายของบริษัทในปี 2553 และปี 2554 มีจำนวนเท่ากับ 164.08 ล้านบาท และ175.16 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 67.35 และร้อยละ 71.38 ตามลำดับ อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2554 สูงกว่าปี 2553 เนื่องจากมีสัดส่วนการขายผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงในจำนวนที่ มากกว่า ประกอบกับการเปิดตัวของ บิวตี้ คอทเทจ ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมสูงกว่าบิวตี้ บุฟเฟต์ เล็กน้อย สำหรับงวด 9 เดือนปี 2555 ต้นทุนขายของบริษัทมีจำนวน 158.70 ล้านบาทคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ71.27 โดยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 บริษัทได้เริ่มจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เมด อิน เนเจอร์ ผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่าการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางร้านค้าปลีก จึงทำให้อัตราขั้นต้นโดยรวมในงวด 9 เดือน 2555 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2554 บริษัทมีกำไรสุทธิในปี 2553 ปี2554 และงวด 9 เดือนปี 2555 เป็นจำนวน 101.90 ล้านบาท 134.22 ล้านบาท และ122.92 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 20.22 ร้อยละ 21.81 และร้อยละ 22.00 ตามลำดับ ทั้งนี้ กำไรสุทธิของบริษัทมีอัตราที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญเนื่องมาจากการเปิดตัวและขยายตัวอย่างรวดเร็วของ บิวตี้ คอทเทจ ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่า บิวตี้ บุฟเฟต์ เล็กน้อย รวมทั้งการที่รายได้เพิ่มขึ้นในขณะที่ค่าใช้จ่ายคงที่บางส่วนยังคงมีจำนวน เท่าเดิม ซึ่งทำให้เกิดการประหยัดจากขนาด (Economy of scale) ในการดำเนินธุรกิจ ประกอบกับการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราที่ลดลงจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ23 ในปี 2555
    นั่นคือ ภาพรวมคร่าวของหุ้น BEAUTY บนเส้นทางไม่ธรรมดา...........

จักรภพ รายงาน

บทความล่าสุด

SNNP รับรางวัล Supplier ดีเด่นจากแม็คโคร

SNNP รับรางวัล Supplier ดีเด่นจากแม็คโคร

PTG ลงนาม MOU กรมทรัพยากรทางทะเลฯ และองค์กรภาคีเครือข่าย ร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชายเลน

PTG ลงนาม MOU กรมทรัพยากรทางทะเลฯ และองค์กรภาคีเครือข่ายร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชายเลน

เก็งหุ้น By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อยขี่ไม้กวาดวิเศษ ภาคเช้าที่ผ่านมา หุ้นไทยแกว่งขึ้น ตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียส่วนการเล่นการเทรดเป็นไปตามแรง...

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้