Today’s NEWS FEED

สัมภาษณ์/รายงานพิเศษ

บทสัมภาษณ์พิเศษ:กระเทาะเปลือก FPI น้องใหม่ป้ายแดง เข้าเทรด Q3/55

6,667


ทีมข่าว HoonInside.com ได้เจาะลึกแบบหมดเปลือก สำหรับหุ้น IPO น้องใหม่ป้ายแดงที่จะเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ  ในไตรมาส 3/2555  ซึ่งงานนี้ผู้บริหารอนาคตไกล นาม"สมพล  ธนาดำรงศักดิ์"ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ FPIได้ให้เกียรติ นั่งพูดคุยสบายๆ ถึงแนวโน้มธุรกิจและความคืบหน้าการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ  พร้อมทิ้งด้วยประโยคเด็ดๆที่ว่า " ปีนี้ธุรกิจยานยนต์เป็นปีที่รุ่ง ดูจากยอดขายยานยนต์ปีนี้ทะลุเป้า เพราะฉะนั้นเราทำชิ้นส่วนยานยนต์ ผมคิดว่าเป็นจุดหนึ่งที่นักลงทุนจะสนใจธุรกิจยานยนต์"ขอเชิญอ่านบทสัมภาษณ์กันแบเต็มๆ ได้เลยค่ะ...


***ทำไมนักลงทุนต้องซื้อหุ้น FPI 

FPI  เป็น  ผู้ประกอบธุรกิจหลักเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ผลิตจากพลาสติก และเป็นศูนย์รวมในการจำหน่ายชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ ทั้งชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ทดแทน (Replacement Equipment Manufacturing : REM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ภายใต้ตราสินค้าของค่ายรถยนต์ต่างๆ (Original Equipment Manufacturing : OEM) รวมทั้งให้บริการรับจ้างฉีดขึ้นรูป ชุบโครเมี่ยม และพ่นสีผลิตภัณฑ์พลาสติก 
ปีนี้ธุรกิจยานยนต์เป็นปีที่รุ่ง ดูจากยอดขายยานยนต์ปีนี้ทะลุเป้า เพราะฉะนั้นเราทำชิ้นส่วนยานยนต์ ผมคิดว่าเป็นจุดหนึ่งที่นักลงทุนจะสนใจธุรกิจยานยนต์ เพราะยอดขายปีนี้ทะลุ 2.2 ล้านคัน  เราก็มองว่าเราอยู่ในธุรกิจนี้ น่าจะเติบโตไปตามอุตสาหกรรม เพราะเป็นปีที่ต้องยอมรับว่าธุรกิจยานยนต์ในปีนี้เป็นปีที่ดีมาก ๆ  ตั้งแต่เมืองไทยทำอุตสาหกรรมยานยนต์มาเลยปีนี้ดีที่สุด  


***ตอนนี้หุ้นในกลุ่มยานยนต์ก็มีหลากหลายในตลาดหุ้น อะไรเป็นจุดขายที่จะทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าลงทุนมนFPI แล้วไม่ขาดทุนแน่ๆ 

จุดเด่นของเราคือเรามีทั้งสองแแบบ ทั้งชิ้นส่วนยานยนต์ที่ผลิตจากพลาสติก และAftermarket (ตลาดหลังการขาย)   เป็นศูนย์รวมในการจำหน่ายชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ ทั้งชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ทดแทน (Replacement Equipment Manufacturing : REM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ภายใต้ตราสินค้าของค่ายรถยนต์ต่างๆ (Original Equipment Manufacturing : OEM)  ที่แตกต่างจากที่อื่น มีความหลากหลาย โดยที่อื่นจะทำแค่ OEM อย่างเดียว  ซึ่งหาก OEM  เติบโตดี ธุรกิจก็จะดี แต่หาก OEM เติบโตไม่ดีก็จะส่งผลให้ธุรกิจติดปัญหาได้  นอกจากนี้ลูกค้าของเรามีอยู่ 110 ประเทศทั่วโลก  ซึ่งคนที่ทำOEM ส่วนใหญ่จะทำแค่ในเมืองไทยซึ่งไม่เยอะ 
แต่ลูกค้าของเรามีความหลากหลาย  เราจะกระจายความเสี่ยงในตรงนี้  คือจุดหนึ่งที่เราแตกต่าง แต่ในความ แตกต่างตรงนี้ จะถือว่าดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับมุมมองที่จะมองกัน  แต่เรามองว่าความเสี่ยงจะน้อยกว่า ที่เราไม่ได้ผูกกับลูกค้าใดลูกค้าหนึ่งเป็นเกณฑ์  เราขึ้นอยู่กับทั้งโลกเลยว่าเป็นยังไง  และตลาดรถยนต์โลกก็เป็นตลาดที่ใหญ่มาก ๆ  อย่างเมืองไทย 2 ล้านคัน แต่ถ้าทั้งโลกคือ 80 ล้านคัน ในปีที่แล้วตามข้อมูลที่บันทึกไว้  และรถที่อยู่ในโลกทั้งหมดประมาณ 1 พันล้านคัน ฉะนั้นเรามองว่า เป็นตลาดของ replacement ที่จะจับตลาดได้ ซึ่งเราจะหาช่องว่างตรงนี้ไปทำ 

***replacement  ในเมืองไทยมูลค่าประมาณเท่าไหร่ 

จริงๆ มูลค่า มันแล้วแต่ว่าทำชิ้นส่วนตรงไหน  แต่บริษัทฯ เราเน้นทำตรงชิ้นส่วนพลาสติก ก็คือตัวกันชนหน้า คือสินค้าหลักของเราเลย  คือเรียกว่าเราทำสินค้าพลาสติกที่ครบวงจร คือเมืองไทยตอนนี้คนที่ทำแบบครบวงจรมีน้อย ที่จะมีทั้งกระบวนการขึ้นแม่พิมพ์  กระบวนการฉีดพลาสติก กระบวนการชุบโครเมี่ยมในพลาสติก  และกระบวนการพ่นสี  ถ้าพูดถึงเมืองไทยบริษัทฯ ที่ทำครบแบบนี้มีน้อยมาก 

*** FPI   ถือว่าเป็นเบอร์หนึ่ง ในตลาด replacement เลยไหมในประเทศไทย 

ถ้าเป็น replacement  ในเมืองไทยชิ้นส่วนพลาสติกตรงนี้ เราเป็นเบอร์หนึ่ง  ถ้าพูดถึงพลาสติก  replacement   เพราะว่าในเมืองไทย ไม่มีคนทำ เราก็เลยเป็นเบอร์หนึ่งในด้านนี้  แต่ถ้าเทียบกันทั้งโลกต้องแยกกันเป็น Segment  เพราะ ที่อเมริกา  ที่ยุโรป  ที่ญี่ปุ่น ที่เกาหลี  เป็นภูมิภาคไป  แต่ถ้าบอกว่าSegment ที่เป็นรถญี่ปุ่น บริษัทฯ เราก็อยู่1 ใน 5 ของโลก แต่บริษัทฯที่ทำพลาสติกก็มีใหญ่กว่าเราอีก  เช่น อิตาลี สเปน  อาร์เจนตินา มีโรงงานที่ใหญ่ ๆ อีกเยอะ แต่พวกนี้ จะเป็น Segment  ยุโรป  แต่รถญี่ปุ่นโดยเฉพาะรถที่เป็นปิ๊กอัพ  ถ้าเป็นชิ้นส่วนพลาสติกก็ถือว่าเราเป็นเบอร์แรก ๆ ของโลก 


***ตรงนี้ ถือว่าเป็นความเสี่ยงไหม ที่เราทำการค้ากับประเทศที่เสี่ยงในเรื่องการปกครอง  ซึ่งอาจทำให้มีปัญหาเรื่องการเก็บเงินไม่ได้ เช่นประเทศอัฟกานิสถาน หรือ พม่า  หรือประเทศซูดาน   บริษัทฯ แก้เกมตรงนี้อย่างไร 
คือเรามองว่าพวกนี้เป็น High Return  และประเทศที่ไม่มีคนไปอย่างอิหร่าน อิรัก  แต่เราสามารถมองลูกค้าได้ คือประเทศแม้จะมีความเสี่ยง  แต่ถ้ามองว่าลูกค้ากลุ่มนั้นไม่เสี่ยง แล้วค้าขายกับเขาก็พอแล้ว  คืออย่าไปดูที่ประเทศเพราะประเทศมันมีทั้งดีและไม่ดี   คุณไปทำประเทศดี ๆ ลูกค้าไม่ดีก็เสี่ยงอยู่ดี  ซึ่งเรามองว่าลูกค้าเป็นหัวใจ ถ้าลูกค้าที่ซื้ออยู่ถึงจะอยู่ประเทศเสี่ยง   เราจึงเลือกลูกค้าที่ดีในประเทศเสี่ยง ที่จ่ายเงินดี ทุกอย่างดูดี

***ส่วนใหญ่ประเทศที่เสี่ยงที่เกี่ยวกับเรื่องการปกครอง เช่น ลิเบีย ซูดาน  อัฟกานิสถาน มีประมาณกี่เปอร์เซนต์ ที่เราส่งสินค้าไปขาย 

แค่ประมาณ 5-6% ไม่เยอะ ถือว่าน้อยมาก แต่ว่าเราขายทั้งโลก 110 ประเทศทั่วโลก  ซึ่งมีอยู่ 7 ประเทศที่เป็นบล็อกคั่นทรี่ คือ ลิเบีย อิหร่าน  อิรัก ซูดาน  ไอเวอรี่โคส  พม่า  และซีเรีย  เป็นบล็อกคันทรี่ ของอเมริกาอยู่  แต่เราก็ขายอยู่ ที่ไม่ได้ขายมีแค่ซีเรีย เพราะมีภาวะสงครามอยู่ ที่ยอดขายตอนนี้ศูนย์เลย 

***ตรงนี้กระทบกับภาพบริษัทฯ ไหม 

อย่างที่บอกว่าเราขายอยู่ 110 ประเทศทั่วโลก  ก็ไม่ได้กระทบอะไรกับเรา เพราะว่าประเทศหนึ่งเต็มที่พอชั่น ใหญ่สุดอยู่ที่ซาอุฯ   ซึ่งปีหนึ่งพอร์ชั่นประมาณ 3 ล้านเหรียญ ก็สัก 6-7%  ซึ่งก็ไม่มีอะไรที่เป็นมากมาย อย่างปีที่แล้วลิเบียปิดประเทศผมก็ไม่ได้ขายลิเบีย  1 ปี ยอดขายผมแค่ไตรมาส1  หรือ 3 เดือนแรกขายเท่ากับลิเบีย 1 ปี เลย กลับดีด้วยซ้ำเพราะทำคนที่ลิเบีย เขาซื้อกันหมดเลยของที่รถมันชนกัน ของมันถูกเก็บกด กลายเป็นของขาดตลาด พอเปิดตลาดลูกค้าก็กลับมาซื้อ เหมือนกับบ้านเราน้ำท่วมปลายปีที่แล้ว พอปีนี้เปิดมา ในช่วงไตรมาส1-2/55  ก็เลยพ่วงมา 3-4 แสนคัน  เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจยานยนต์ปีนี้โตขึ้นเยอะ  และยังมีนโยบายรถคันแรก ขึ้นไปอีก 5 แสนคันอีโก้คาร์  ดันอุตสาหกรรมยานยนต์พุ่งทะลุทุกอย่าง 

***เราทำชิ้นส่วนรถยนต์ที่เป็นพลาสติก ดังนั้นหัวใจของต้นทุนเราก็คือเม็ดพลาสติก ราคาเป็นยังไง 

เม็ดพลาสติกของเราที่ใช้หลัก ๆ ก็มี PP ที่ใช้ทำพวกกันชน  และตัวกระจังหน้าจะเป็นตัว ABS  หากถามว่าความเสี่ยงของเราในPP เราไม่เสี่ยง เพราะอุตสากรรม PP  ในบ้านเราใหญ่มาก  และเราจะมีสูตร PP ของเราเฉพาะตัว  คือเราใช้ PP ของพวกโรงงาน และก็มารวมสตรของเราเอง ฉะนั้น PP ของเราราคาจะไม่ผันผวน ตามราคาตลาด ส่วน ABS  เรา จะผันผวนบ้างแต่ว่าที่ผ่านมา เราใช้นโยบายซื้อจากหลาย ๆ ที่  เช่นจากประเทศมาเลเซีย  เกาหลี และในไทย  ซึ่งถ้าที่ไหนแพงเราก็เปลี่ยนไปซื้อที่อื่น สลับกันไป  โดยราคาขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก ถ้าเราซื้อแพงคู่แข่งเราก็ซื้อแพงตาม  และราคาถูกบังคับตามราคาตลาดโลกอยู่แล้ว 
 

***ราคาABS ตอนนี้อยู่ที่กี่บาทต่อกิโล 

กิโลหนึ่งประมาณ 65 บาท  ตอนนี้ แต่ราคาก็จะขึ้นๆ ลง ๆ ตอนน้ำมันขึ้นสูงเคยขึ้นไปถึง 73 บาท  แต่พอน้ำมันลงก็เหลือ 65 บาท  ซึ่งเราก็จะดู เวลาขึ้นก็ซื้อเก็บไว้แต่ชั่วคราว แต่เวลาลงก็จะซื้อเก็บไว้เยอะหน่อย ให้ใช้ได้ 3-4 เดือน ช่วงขึ้นก็จะซื้อแค่พอใช้  ปีที่แล้วเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 70 บาท ราคาก็ขึ้นลงนะ ปีนี้ลงมา เพราะน้ำมัน ABS ปรับตัวไปตามน้ำมัน 

***แล้วราคา PP 

ตอนนี้เราซื้ออยู่ 30 กว่าบาท เทียบกับปีที่แล้วก็ไม่เปลี่ยน  และในโรงงานที่ผลิต PP  จะมีล็อทที่ตกสเปคส่วนหนึ่ง ซึ่งเราเอาตรงนั้นมาผสมสูตรของเราเอง 

*** หากราคาABS  ขึ้นมาแรง จะทำให้ มาร์จินส์เราบางด้วยไหม 

ใช่ ดูจากปี 2552 ที่มาร์จิ้นส์เราหายไป ตอนนั้นราคาน้ำมันขึ้นไป 150 เหรียญ/ บาร์เรล ในช่วงวิกฤติน้ำมัน  แต่ก็ยังโชคดีที่เก็บเม็ดพลาสติกไว้เกือบ 200 ตัน  ทำให้มีโอกาสที่จะดึงราคาเก่าได้ยาวขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้ามันขึ้นมาร์จินส์ก็จะหายไป 

***  FPI  ค้าขายเป็นเงินดอลลาร์ ที่ตอนนี้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนไหวมาก เราจะมีวิธีป้องกันความเสี่ยงตรงนี้อย่างไร 

เรามีฟอร์เวิร์ดคอนเท็คไว้ประมาณ 6 เดือน คือ เรามีวงเงินไว้ประมาณเกือบ 17-18 ล้าน เหรียญ ซึ่งมองว่าสามารถควบคุมความเสี่ยงได้ ถ้าราคาโค๊ทวันนนี้ แล้วราคาจะขึ้นจะลงแต่ถ้ามีกำไรก็โอเค แล้วอีก 6 เดือนค่อยว่ากันอีกที ทุก 6 เดือนเราจะมี ฟอร์เวิร์ดคอนเท็คไว้ตลอด ป้องกันไว้ แต่ถ้าเรทปรับลงมาเรื่อยๆ ทุกวันอันนี้ก็คือช่วยไม่ได้  ถ้าเป็นขาลงอย่างเดียว 6 เดือน จะล็อกยังไงเราก็เจอ  แต่ถ้าเรทขึ้นๆ ลงๆ เราสามารถป้องกันได้ 


***ปี 2558  จะเปิดเสรีอาเซียนหรือ AEC  เรามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน 

เราถือว่าเราพร้อมเพราะว่าเราทำส่งออก อย่างวันก่อนผมไปเป็นวิทยากร ให้กับทางกรมศุล ก็คุยกันถึงเรื่องนี้ ผมมองว่าบริษัทฯไหนที่มีส่งออกคุณไม่ต้องกลัว  แต่ถ้าทำในประเทศอย่างเดียว มองว่ามาร์เก็ตคุณจะหายไป  แต่ถ้าคุณส่งออกได้บริษัทคุณมีแบรนด์ สินค้ามีคุณภาพก็จะมีความได้เปรียบ  เราผลิตรถในปีที่แล้ว ประมาณ 3 ล้านคัน แล้ว 50 % มาจากไทย  อันดับ 2 มาจากอินโดนีเซีย ประมาณ 8-9 แสนคัน  ที่ 3 เป็นของประเทศมาเลย์เซีย ประมาณ 5 แสนคัน ของเราคือ 1.5 ล้านคัน  50% เป็นของคนไทยรวมอาเซียนทั้งหมด มองว่าไทยเหนือกว่าคู่แข่งนะเพราะ ไทยกินไป 50% ของอาเซียน
 ถ้าพูดถึงเรื่องคุณภาพ เราแพ้อินโดนีเซีย  เราจะเป็นเบอร์2  แต่ภาพรวมอุตสาหกรรมชินส่วนยานยนต์ไทยถือว่าได้เปรียบ เพราะSuply Chain  เรามาเบอร์ 1  เรามีฐานSuply Chain   ในไทยประมาณ 2,300 Suply Chain แบ่งเป็น  First-Tier  ประมาณ 650  เป็น Secon -Tier เทียร์ประมาณ 1200-1300  ถ้าเทียบกับ  First-Tier ในอินโดฯ ที่มีประมาณ 200 ราย  ฉะนั้นในเรื่อง Suply Chain เราเหนือคู่แข่ง เยอะ  และถ้าเปิด AEC  แล้วถ้าเทียบกันแล้วเราน่าจะเก่ง กว่าประเทศอาเซียนด้วยกัน  อย่างบริษัทฯ เราทำส่งออกกว่า 88% ถือว่าเป็นประโยชน์สำหรับเรา  ทำให้เราได้เปรียบเพราะสามารถซอสติ้ง กลุ่มอาเซียนทั้งหมด และเราทำ เทรดดิ้งด้วย นั่นคือจุดหนึ่งที่เทรดดิ้งเราโตขึ้นได้ ซึ่งทุกวันโตขึ้นมาเยอะ 

***ตอนนี้เรามีเครื่องฉีดพลาสติกกี่เครื่อง ที่ใช้ทำกันชนมีประมาณกี่เครื่อง 

เครื่องฉีดเรามีทั้งหมด 24 ตัว  และก็จะมีเพิ่มมาอีก 5 ตัว เป็น 29 ตัว 

***จะทำให้ตัวกำลังการผลิตเราเพิ่มขึ้นไหม 

ถ้าเครื่องจักรเราเพิ่มเข้ามาในไตรมาส3 อีก 5 ตัว กำลังเราจะเพิ่มขึ้นอีก 30%  จากปัจจุบันเรามีกำลังการผลิตอยู่ที่ 4,800 ตัน/ปี จากเครื่องจักรที่เรามีอยู่จำนวน 24 เครื่อง  ถ้าเพิ่มอีก 5 เครื่อง กำลังการผลิตเราก็น่าจะเพิ่มขึ้นอีก 30% จาก 4,800 แต่จริง ๆ ของเราจะนับยากนะเพราะเราทำกันชน และเราก็มีสินค้าหลายอย่าง ส่วนเครื่องพ่นสี เราสามารถทำสายการผลิตไปเรื่อย  เช่นสายการผลิตพ่นสี  อย่างที่ผ่านมาปี 2553-2554  เราเพิ่มปีละสายการผลิต  ยกตัวอย่าง เช่น ออเดอร์โตโยต้ามาเราก็เปิดสายการผลิตพ่นสี หรือ สายการผลิตของอิซูซุ เราก็เปิดสายการผลิตเพิ่ม โดยงานพ่นสีเป็นงานที่เราลงทุนไม่เยอะ สายการผลิตหนึ่งอาจจะลงทุน 5-10 ล้านบาท  เปิดสายการผลิตหนึ่งได้ออเดอร์มาเราก็ทำไปเรื่อย ๆ  ฉะนั้นสายการผลิตพ่นสีเป็นสายการผลิตที่สามารถเพิ่มได้ต่อเนื่อง ถ้ามีออเดอร์เข้ามาใหม่  ตอนนี้เรามี 4 สายการผลิตก็เต็ม ตอนนี้ก็ทำให้โตโยต้า ฮอนด้า อีซูซุ  ทาทามอเตอร์ ทำให้โตชิบา  โตชิบ้าเป็นอิเล็กโทรนิกส์ พวกเครื่องใช้ไฟฟ้า  คือเราทำพลาสติกแบบครบวงจร ผมมองว่าอะไรที่เป็นพลาสติก เราทำได้หมด  เราเป็น  OEM  ลูกค้าให้เราทำอะไรเราก็ทำหมด ที่ทำแล้วเรามีกำไร 

***ย้อนกลับไปคำถามเรื่องAEC   ตอนนี้คนไปให้ความสนใจประเทศอินโดนีเซีย ถ้าเรามีโรงงานอยู่ในอินโดนีเซียที่ตอนนี้ตลาดกำลังเติบโตมาก ตรงจุดนี้จะคุ้มค่ากว่าไหม 

ถ้าพูดถึงประเทศอินโดนีเซีย จะรู้ว่าอินโดฯ เกลียดคนจีน  แล้วถามผมว่าจะไปอินโดไหมผมคงไม่ไป   จำไม่ได้ว่าปีไหนที่มีการฆ่าคนจีนไปเยอะมาก ลูกค้าผมก็โดนกันเยอะ  การไปลงทุนในอินโดฯ  อาจะเป็นประเทศที่มีประชากรมาก มีคนประมาณ 220 ล้านคน  เพราะฉะนั้นตลาดถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน 
ถ้าเทียบในอาเซียน คุณภาพของเขาก็เป็นเบอร์หนึ่งอีก บ้านเราเป็นที่2  เรื่องคุณภาพเขาเหนือกว่า และตลาดเยอะกว่าแต่เรื่องของ ความเป็นอยู่คนมุสลิมจะแตกต่างกัน  คุณอาจจะโดนเก็บ  ถึงตลาดจะใหญ่แต่ผมว่ายังไงเมืองไทยน่าอยู่ที่สุดแล้ว รัฐบาลก็สนับสนุน คนไทยก็มีความเป็นมิตร  อาจจะมีเรื่องค่าแรง ตอนนี้ค่าแรงของเราแพงเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน อันดับที่ 1 คือ ประเทศสิงคโปร์ มีค่าแรงต่อวันอยู่ที่ 22 เหรียญ  เมืองไทย 300 บาท ต่อวัน ถ้าเป็นเงินเหรียญก็ตก 98 เหรียญต่อวัน  และในประเทศพม่าประมาณ 1.1 เหรียญ หรือ 30 กว่าบาทต่อวัน กัมพูชา ลาว ประมาณ 1-2 บาท  ของเราอยู่ประมาณ 9 บาท 9 เหรียญ ถ้ามองในเรื่องของคน มองว่าการเปิดเสรีอาเซียน จะทำให้คนไหลเข้าเมืองไทยเยอะ เพราะว่าค่าแรงดีที่สุด 

***เรามีปัญหาเรื่องทรัพยากรบุคคลบ้างไหม 

คนเป็นปัญหาหลักของอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนยายนยนต์ตอนนี้ขาดคน ประมาณ 6 แสนคน 

***แล้วบริษัทฯ แก้ปัญหาตรงนี้อย่างไรบ้าง 

ตอนนี้ในสมาคมชิ้นส่วน เราทำโครงการร่วมกับทางรัฐบาล ทำโครงการโรงงานโรงเรียน  ปีหนึ่งก็ตั้งขึ้นมาว่าจะทำกี่คน ซึ่งคนที่ไปเรียนก็จะสามารถไปทำงานในโรงงานได้เลย  ซึ่งเราก็เริ่มทำมาปีนี้ ก็มีคนสนใจ และเราพยายามจะพลักดันสร้างคนขึ้นมาในอุตสาหกรรมให้มากขึ้น  อีกจุดหนึ่งก็คือ เราใช้ หุ่นยนต์ ( Robort  )  ซึ่งมีความจำเป็นถ้าหากเราจะแข่งกันในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ต้องเร็วต้องไว จะพึ่งแรงงานคนอย่างเดียวคงไม่ได้  ของเราตอนนี้หลายชุดก็เปลี่ยนเป็นหุ่นยนต์หมดเลย  อย่างสมัยก่อนสายการผลิตชุดหนึ่งเราใช้คน 58 คน เท่ากับถ้า 2 สายการผลิตต้องใช้คน 116 คน  แต่ผมใช้หุ่นยนต์ เหลือแค่ 8 ตัว  หุ้นยนต์ 2 สายการผลิตก็ 8 ตัว  สามารถแทนคนได้ 56 คน  คือหุ่นยนต์ข้อดีคือไม่มีเหนื่อย คนมีล้ามีเหนื่อย  หุ่นยนต์ยกตามที่เราสั่ง  ถ้าพูดถึงเงินเดือนประมาณ 10,000 บาท ถ้าใช้คน 56 คน แต่ถ้าใช้หุ่นยนต์  6 เดือนก็คืนทุนแล้ว หุ่นยนต์ตัวหนึ่งราคาประมาณ 3-4 แสนบาท  ผมจึงบอกว่าจริงแล้วอุตสาหกรรมยานยนต์ ต้องพึ่งหุ่นยนต์เข้ามาช่วย  ถ้าคุณจะแข่งขันในระดับโลกคุณต้องพึ่งหุ่นยนต์ 

***ปีนี้FPI   ตั้งเป้ารายได้ประมาณเท่าไหร่ 

เราตั้งโตจากปีก่อน 20%  จากยอดขายปีที่แล้วอยู่ที่ 1,300 ล้านบาท  ครึ่งปีเราได้ 738 ล้านบาท จริง ๆ ปกติครึ่งปีหลังยอดขายจะอยู่ประมาณ 55% ครึ่งปีแรก 45% โดยทั่วๆ ไป เพราะไตรมาส3-4 ยอดขายจะโตกว่า 

***รายได้ FPI จะได้สักประมาณ 1,400-1,500 ได้ไหม 

น่าจะประมาณนั้นถ้าโต 20%  ของปีที่แล้ว 

***แล้วปีหน้าจะโตเยอะกว่านี้ไหม 

เราเพิ่มกำลังการผลิตของเครื่องฉีดพาลสติกไปประมาณ 38%  แค่เครื่องฉีดตัวเดียวแค่ส่วนหนึ่งของเครื่องฉีดทั้งหมด  เราน่าจะโตได้ 20%  เพราะมองว่าเครื่องฉีดตัวนี้เป็นตัวเริ่มต้นของเครื่องฉีดทั้งหมด  และก็ตัวแม่พิมพ์ด้วย การเพิ่มยอดขายของชิ้นส่วน ที่เป็น After Market (ตลาดหลังการขาย)   ต้องทำแม่พิมพ์ ถ้าอยากไปเจาะตลาดก็ต้องทำแม่พิมพ์ 

***ตอนนี้บริษัทฯ มีแม่พิมพ์อยู่เท่าไหร่

1,400 ตัวเมื่อปีที่แล้ว  ครึ่งปีนี้เราซื้อแม่พิมพ์ไป 100 กว่าล้านบาท อย่างที่บอกว่าเราจะโตเท่าไหร่ อยู่ที่แม่พิมพ์ อย่างล่าสุดเราจะไปเปิดตลาดอิตาลี คนอาจจะกังวลเพราะอิตาลีอยู่ในกลุ่มยูโร แต่เราคิดว่าไม่เป็นไรเราก็ไปเลือกลูกค้าที่ไม่มีปัญหา อย่างที่บอกว่าแม้ประเทศจะมีปัญหา นั่นคือจุดหนึ่งที่เรามองว่ามันเป็นโอกาสด้วย 


***อิตาลีเริ่มทำไปหรือยัง 

อิตาลี จริง ๆ เขาส่งตัวอย่างมาให้หมดแล้ว  เราก็จะลองทำเป็นโครงการลงทุนสัก 10 ล้านบาท ซึ่งก็ไม่เยอะเรามองว่าลงทุน 10 ล้านเราก็ได้ยอดขายขึ้นมา 10 ล้าน ก็ถือว่าโอเคแล้ว และก็มองว่าจะเป็นการเติบโตของเราเรื่อย ๆ ปีต่อไปก็เติบโตไปเรื่อย 

***นอกจากประเทศอิตาลีแล้วได้เล็งประเทศไหนอีกไหม 

มองว่าที่ไหนในโลกที่น่าไปเราก็ไปได้หมด จากที่ผ่านมาเราทำแค่ในประเทศไทยประเทศเดียว ปัจจุบันเราทำ 110 ประเทศ เราก็มองว่า โลกเรามีอยู่  196 ประเทศ แล้วเราขาย 110 ประเทศ ก็ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง ผมก็มองว่าเรายังไปได้เรื่อย ๆ อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้มองแค่ตลาดเดียว ทุกคนตอนนี้มอง AEC 6 ประเทศ 10 ประเทศ แต่ผมมองทั้งโลกเลย  อย่างAEC  ผมมองว่าเป็นสปริงบอร์ดไปทั่วโลกได้ ที่จะสามารถซอสติ้งจากตรงนี้ เพราะค่าแรงยังถูก

***แล้วปี 2556 การเติบโตของกำไรจะเป็นอย่างไร จะเท่ากับปี 54 ไหม 

คิดว่าอัตรากำไรขั้นต้น ของเราพยายามจะตั้งดีไซน์ อย่างที่บอกว่าหลังๆ นี่  Aftermarket (ตลาดหลังการขาย)  มีข้อเสียอย่างคือคู่แข่งมาเมื่อไหร่ ราคาจะลง ฉะนั้นจะทำยังไงให้กำไรมากขึ้นก็คือต้องทำอะไรที่เหนือกว่าคู่แข่ง คือใช้นวัตกรรม (Innovation)  คือเราต้องทำอะไรที่ไม่เหมือนชาวบ้าน ทำอะไรที่แปลก ๆ แต่ถ้าถามว่าเสี่ยงไหมก็ต้องยอมรับว่า ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนก็สูง(high risk high return)   แต่ผมมองคนยังนิยม ยังชอบแต่งรถอะไรแบบนี้ เราก็ทำรถให้มันแปลก ๆ เข้าไป  เราก็เพิ่งเริ่มทำปีที่แล้วเอง แต่ว่ากำไรมันดีมาก  ยกตัวอย่างเช่น หน้ากระจังธรรมดา เราขายตัวละ 400 บาท ถ้าเป็นรถแต่งผมขาย 1,200 บาท ขณะที่ต้นทุนเท่ากัน จุดนี้ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูง  แต่คนไม่ชอบแต่งรถเราก็ยังจับตลาดส่วนนี้ด้วย กลุ่มนี้วอลุ่มจะไม่เยอะ  เราจับตัววอลุ่มไม่เยอะกำไรเยอะ อีกอันหนึ่งคือวอลุ่มเยอะกำไรน้อย  เราทำทั้งวอลุ่มเยอะ  ทำทั้งกำไรเยอะ  เราเลือกทั้งสองอย่าง จุดนี้จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นมันขยับไปได้เรื่อย ๆ  เราจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้น ให้กระโดขึ้นเรื่อยๆ  นั่นคือสิ่งที่บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายไว้ 


*** (ROE) ผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น ของ FPI  โดยเฉลี่ยที่ผ่านมาอยู่ที่เท่าไหร่ 

ถ้าพูดถึงคืนทุนส่วนใหญ่จะไปคิดที่แม่พิมพ์ เพราะการลงทุนแม่พิมพ์ปกติอาจจะคิดว่า 3 ปีคืนทุน ถ้าเรามอง 3 ปี คืนทุน ก็ตีว่า  return ของแม่พิมพ์ จะอยู่ที่ประมาณ 33% โดยโครงการอะไรก็ตามที่ 3 ปี คืนทุนเราทำหมด  แต่ถ้า 5 ปี คืนทุนต้องมาดูว่าจะทำดีหรือไม่ทำดี ต้องดูตลาดถ้าเป็นไปได้ก็ค่อยไปว่ากัน แต่ส่วนใหญ่ผมจะมองที่ 3 ปีคืนทุนก่อน  อย่างแม่พิมพ์บางตัว 3 เดือนผมก็คืนทุนแล้ว แล้วแต่โครงการด้วย 

***คิดว่าจะได้เงินจากการระดมทุนขายหุ้น IPO  รอบนี้เท่าไหร่ 

เรายังไม่ได้ตัวเลขที่แน่นอน คือเรากระจายหุ้น 63 ล้านหุ้น เงินที่เข้ามาก็ขึ้นอยู่กับ บล.ฟินันเซียไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และแกนนำอันเดอร์ไรท์  ที่กำหนดว่าว่า IPO  เท่าไหร่ ผมคิดว่าน่าจะอาทิตย์หน้าจะรู้เรื่อง หลังจากไปโรดโชว์ที่เชียงใหม่และหาดใหญ่ก็น่าจะมีตัวเลขออกมา  ตอนนี้ยังไม่ฟันธงแล้วกัน 

***บริษัทฯ ได้ประมาณการไหมว่าถ้าได้เงินก้อนนี้มาจะพอใช้ได้อีกกี่ปี 

ปกติแล้วเราลงทุนแม่พิพม์ เป็นหัวใจอันแรก  เมื่อแม่พิมพ์มีจำนวนเยอะขึ้นสิ่งที่ตามมาคือเครื่องฉีด  แต่การลงทุนเพิ่มก็ขึ้นอยู่ กับยอดขายที่มันจะโตขึ้น โดยเราจะไม่ลงทุนก่อน เราจะรับออเดอร์มาแล้วก็ไป ลงแล้วก็ไปคือเราจะทำอะไรแบบ  Conservative   นิดหนึ่ง ผมคิดว่าอย่าทำอะไรที่ aggressive เกินไป คือตอนนี้เราออนไลน์แล้ว เราก็ไปได้หลายตลาด 

***จะมีการลงทุนแบบใหญ่ ๆ ไหมสำหรับธุรกิจที่อยู่ในสายการผลิต 

ถ้าสมมุติผมจะจับตลาดอเมริกา ผมต้องควักปีหนึ่ง 200 ล้านบาท ถ้าหากผลจะไปอเมริกาเมื่อไหร่ อเมริกาผลิตรถปีหนึ่ง 6 ล้านคัน เป็นเบอร์2 ของโลก จีนเป็นเบอร์หนึ่งผลิตรถ 17 ล้านคันต่อปี และถ้าเราจะไปเจาะตลาดในอเมริกาที่เป็นตลาดใหญ่  แต่จะเป็นคนละสายการผลิตกัน ที่ผ่านมาเรามีญี่ปุ่น เกาหลี และเราต้องต่อสู้กับคนที่อยู่ในตลาดเก่า  และถ้าเราจะไปเราต้องหาพันธมิตรให้ได้ก่อนถึงจะไปลงทุน  และถ้ามีโอกาสดี ๆ หรือมีพันธมิตรดีๆ  ก็เป็นไปได้ที่เราจะไปลงทุนในอเมริกา  แต่ก่อนหน้านี้เราพยายามจะไม่ทำ เพราะว่าอย่างที่บอกว่าปีหนึ่งลงทุน 200 ล้านบาท กับตลาดใหม่  แต่กับปีหนึ่งลงทุน 100 กว่าล้านสำหรับ 110 ประเทศ จะเห็นว่าลงทุนสูงกว่ามากในการลงทุนแค่ประเทศเดียว ถามว่าอีกกี่ปีจะไปอเมริกาก็ต้องดูจังหวะถ้าเมื่อไหร่ที่เราได้พันธมิตรดี ๆ  เพราะการทำตลาดลูกค้าจะเป็นหัวใจ ถ้าลูกค้าคนนั้นบอกว่าจะทำกับเรา ก็โอเค แต่ของอเมริกามันเสียอย่าง คือคนทำงานคือ CEO  ที่จะเปลียนทุก 2 ปี  ผมว่ายังไม่ใช่จังหวะที่จะไปตอนนี้  ต้องใช้เวลา สู้เราทำตลาดที่เราแข็งดีกว่า 

อนึ่งผลประกอบการของ FPI มีรายได้รวมจำนวน 955.14 ล้านบาทในปี 2552 ก่อนเพิ่มขึ้นเป็น 1,197.44 ล้านบาทในปี 2553 และ 1,300.37 ล้านบาทในปี 2554  และงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ FPI  มีรายได้รวม 735.38 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิของบริษัทฯ อยู่ที่ 35.11 ล้านบาทในปี 2552 และ 26.61 ล้านบาทในปี 2553 ก่อนจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดมาอยู่ที่ 63.43 ล้านบาทในปี 2554 และงวด 6เดือนแรกของปีนี้ FPI มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 62.93 ล้านบาท

BY:ทีมข่าวHoonInside.com 
 

บทความล่าสุด

ลุ้น หวยออก By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ บ่ายวันนี้ ลุ้น หวยออก ระหว่างรอ ครม. ระหว่างรอผลประชุม เฟด เงินบาทแข็งค่า.....

ATLAS ผนึก PTG เปิดสถานี 'PT Max Rest นครชัยศรี 11' ใหญ่ที่สุดในไทย รองรับไลฟ์สไตล์นักเดินทางยุคใหม่

ATLAS ผนึก PTG เปิดสถานี 'PT Max Rest นครชัยศรี 11' ใหญ่ที่สุดในไทย รองรับไลฟ์สไตล์นักเดินทางยุคใหม่

มัลติมีเดีย

PTG × ATLAS ร่วมกันเปิดปั๊มแลนด์มาร์กใหม่ “PT Max Rest นครชัยศรี 11”

PTG × ATLAS ร่วมกันเปิดปั๊มแลนด์มาร์กใหม่ “PT Max Rest นครชัยศรี 11”

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้