Today’s NEWS FEED

สัมภาษณ์/รายงานพิเศษ

หุ้นตก 40 จุด แดงเถือกทั้งเอเชีย

4,323

หุ้นตก 40 จุด แดงเถือกทั้งเอเชีย

By :  เทวัญ จงกลรอด บรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจ นสพ.สยามรัฐรายวัน

"สหรัฐ" เข้าเขต Recession ระวังสงครามค่าเงินป่วนตลาดโลก

เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ ของสหรัฐ ออกอาการป้อแป้ ขึ้นมาอีก โดยติดลบไป 240.60 จุด (-2.16%) ปิดที่ระดับ 10,913.38 จุด   สาเหตุที่ทำให้ดัชนีสหรัฐ "หัวทิ่มบ่อ" ลงมาอีกรอบ เนื่องจาก รายงานจาก ECRI (the Economic Cycle Research Institute) เพิ่งออกมาบอกว่า สหรัฐกำลังเข้าแตะเส้น Recession (เศรษฐกิจถดถอย) แล้ว

นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบลจ. อธิบายปลอบใจนักลงทุน ใน Facebook ว่า สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่า Recession ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจจะเลวร้ายอะไร เพราะเราก็เจอกับมันมาตลอดในหลายปีมานี้     หมายถึงเศรษฐกิจที่จะแย่ลงไปเรื่อยๆ เพราะถูกล็อคไว้กับวงจรอุบาทว์ ซึ่งหมายถึงอัตราว่างงานที่เกิน 9% จะสูงขึ้นไปอีกมาก และการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐ ในหลักล้านล้านดอลลาร์นี่ ก็จะพุ่งสูงขึ้น

เรื่อง ECRI เป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่าอาจทำให้ผู้ลงทุนตื่นตระหนก นักวิเคราะห์ก็จะเริ่มเอาสภาพ Recession หรือเศรษฐกิจถดถอย ใส่เข้าไปในโมเดลของตัวเอง เมื่อ ECRI ประกาศออกมาอย่างนี้แล้ว เป็นไปได้ว่าจะมีผู้ลงทุนที่ไวพอ และฉลาดพอ เริ่มวิ่งไปที่ "บันไดหนีไฟ" ก่อน

ในโลกของการลงทุนนั้น ไม่มีภาวะตลาดที่ย่ำแย่จนลงทุนไม่ได้ เพราะเวลาตลาดตก ถือเป็นตลาดที่ดีสำหรับคนซื้อ แต่ไม่ดีสำหรับคนขาย ปัญหาก็คือเรามักปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล มักปล่อยให้ความตื่นเต้นในช่วงสั้นๆ มาบดบังความคิดเรื่องเป้าหมายระยะยาวของการลงทุน

วันนี้การลงทุนในหุ้นจะดูไม่สดใสเหมือนปีก่อน แต่หุ้นก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายนั้น...

แม้ "วรวรรณ ธาราภูมิ" จะพูดไม่ให้นักลงทุนตื่นตระหนก แต่ในเนื้อหาค่อนข้างชัดเจนว่า ให้นักลงทุนที่ไวต่อสถานการณ์ ไต่บันไดหนีไปหนีไปก่อน แล้ว "รอช้อนซื้อ" ในตอนที่หุ้นราคาถูก

แสดงว่า...ทิศทางของหุ้นไทยน่าจะเป็น “ขาลง”

ข้อสำคัญที่น่าวิตกจริงๆ ก็คือ “เสถียรภาพ” ของ ค่าเงินดอลลาร์ ที่น่าจะอ่อนตัวตามทิศทางเศรษฐกิจของประเทศเช่นเดียวกัน ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษก็คือ อาจจะเกิด “สงครามค่าเงิน” มาป่วนตลาดโลกกันอีกรอบ

สหรัฐ มีปัญหาประเทศเดียว ก็ย่ำแย่พออยู่แล้ว ในซีก "ยูโรโซน" เอง ก็ยังแก้ปัญหากันแบบ "ลิงแก้แห" หาจุดลงตัวไม่เจอ แม้ว่า    "เยอรมัน" โดยรัฐสภา จะประกาศเพิ่มเงินให้กับ กองทุนเพื่อเสถียรภาพทางการเงินยุโรป หรือ EFSF ไปแล้ว แต่ "นักวิคราะห์" ทั่วโลก กลับมองไกลไปกว่านั้น

โดยมองว่าปริมาณเงินในกองทุน 4.4 แสนล้านยูโร อาจจะไม่พอรับมือกับวิกฤติหนี้ ถ้าหากปัญหาได้ลุกลามจาก กรีซ ไปยังอิตาลี และสเปน ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่า กรีซ มาก ซึ่งกองทุนดังกล่าวอาจต้องมีเงินมากถึง 3 ล้านล้านยูโรเลยทีเดียว...

สถานการณ์เศรษฐกิจโลก จึงไม่มีอะไรน่าไว้ใจได้ในขณะนี้ ปัญหาต่างๆ เปรียบเหมือน "ภูเขาไฟ" ที่กำลังรอวันปะทุ...ช้าหรือเร็วเท่านั้น

ผลที่ตามมาก็คือ "จีน" ที่กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง อาจจะไม่แรงอย่างที่คิดซะแล้ว เพราะที่ผ่านมา จีน ร่ำรวยอู้ฟู่ เนื่องจากการขายสินค้าให้กับ โลกตะวันตก เป็นส่วนใหญ่

เมื่อ โลกตะวันตก มีปัญหา ก็จะส่งผลให้ "ยอดส่งออก" ของจีน ลดฮวบตามไปด้วยเหมือนกัน...

ปัญหาสหรัฐ-ยุโรป ยังไม่ยุติ และส่งผลกระทบไปยังจีน ซึ่งแน่นอนเมื่อยักษ์ใหญ่เหล่านี้ GDP หดตัว โลกทั้งใบก็ต้องซึมเซาตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น "นักลงทุน" ที่ยังมีหุ้นอยู่ในพอร์ต ช่วงนี้ควรไต่บันได้หนีไฟ หนีเอาตัวรอดไปก่อนชั่วคราว ไว้รอให้สถานการณ์นิ่ง ค่อยหันกลับเข้าตลาดหุ้นอีกครั้ง

ด้านการรับมือปัญหาของ รัฐบาลไทย ในยามที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหา วิธีที่ดีที่สุด และทุกๆ ประเทศทั่วโลกใช้ก็คือ "การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ"

ดูเหมือนรัฐบาลไทย จะตระหนักในเรื่องนี้ดี และมองว่าในอนาคต "การส่งออก" ของไทย จะไม่รุ่งเรืองอู้ฟู่เหมือนที่ผ่านมา และพยายามกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ด้วยหลายมาตรการที่ปล่อยออกมาเป็นระยะๆ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในรายการ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน" ถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ว่า วันนี้โลกเรามีการเปลี่ยนผ่าน จากมหาอำนาจสหรัฐ และความไม่แน่นอนในยุโรป ฐานเศรษฐกิจกำลังเคลื่อนมาที่ จีนและเอเชีย เป็นโอกาสสำหรับไทย

เมื่อสัปดาห์ผ่านมามีวิกฤติการคลังของทางยุโรป แต่เชื่อว่าจะคลี่คลาย ส่วนไทยรายได้ส่วนใหญ่เป็นรายได้จากการส่งออก แม้เราจะมีการกระจายรายได้ แต่ก็ยังไม่พอ เราอยากเห็นการสร้างเศรษฐกิจในประเทศ เพิ่มรายได้ในครัวเรือน

ไม่ต้องห่วงนะคะ รัฐบาลเดินหน้าในการดูแลพี่น้องประชาชน ทำย่างไรให้เศรษฐกิจดี และต้องรักษาวินัยการคลัง ต้องทำควบคู่กันไป เช่นนโยบายเกษตรกร หรือกลุ่มผู้ใช้แรงงาน เราจะมีการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ถ้าขายให้ที่อื่นในราคาสูงกกว่า ชาวนาก็สามารถเลือกได้

ส่วนผู้ใช้แรงงาน กระทรวงแรงงาน กำลังดำเนินการเรื่องค่าแรง 300 บาท คือทำอย่างไรให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋าวันละ 300 บาท

นอกเหนือจากนี้ เรื่องท้องถิ่น ก็ต้องพัฒนา กองทุนหมู่บ้านเพิ่มเงิน กองทนหมู่บ้านทั้งหมด 80,000 แห่ง เป็นอีกทางในการกู้ยืมหลังภัยน้ำลด เพื่อบรรเทาความลำบาก และจะมีการเพิ่มเงินโครงการ SML ด้วย

ในส่วนของมาตรการที่จะช่วยผู้เริ่มตั้งตัวได้ คือการเพิ่มเงินเดือน ปริญญาตรี 15,000 บาท ซึ่งครม.เห็นชอบแล้ว ก็จะเริ่มใช้มกราคม ปี55 แต่ยังรู้สึกเป็นห่วงส่วนอื่น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ให้ กระทรวงคลัง ไปหารือ กพ. เพื่อปรับเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบด้วย ซึ่งจะพิจารณาช่วงต่อไป

สำหรับมาตรการบ้านหลังแรกเพื่อช่วยผู้เริ่มตั้งตัว และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซื้อบ้าน 1 หลังจะเกิดการจ้างงานจ้างคน สิ่งที่ภาครัฐจะได้กลับมา คือการเก็บภาษีต่างๆ แต่ผลประชาชนที่ได้รับ คือประชาชนผู้ที่เข้าสู่โครงสร้างภาษี ก็จะได้รับการลดภาษีด้วย

สำหรับโครงการรถยนต์คันแรก เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นกัน การมีรถยนต์ คำนึงถึงการประหยัดแรงงาน ไม่เกิน1500cc พร้อมยืนยันไม่มีเจตนากีดกันทางการค้า แต่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเป็นสำคัญ

ส่วนเรื่องกองทุนน้ำมัน เป็นมาตรการชั่วคราว เพื่อประทังภาระค่าใช้จ่ายประชาชน ยืนยันยังให้การสนับสนุนพลงังงานทดแทนอยู่เช่นเดิม

แม้ว่า รัฐบาลไทย จะพยายามกระตุ้นวงจรเศรษฐกิจภายใน ด้วยการออกมาตรการต่างๆ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ "ความไม่แน่นอน" ของมาตรการ ที่ทำให้ ประชาชน เกิดความสับสนอลหม่าน

อย่างเช่น โครงการรถยนต์คันแรก กลับมีการเปลี่ยนแปลงสเป็ครถยนต์หลายครั้ง จนคนที่ต้องการซื้อรถคันแรก เกิดความสับสน ว่าจะครอบคลุมไปถึงรถยนต์ระดับใด เพราะบางช่วงมีข่าวให้รวมไปถึง "รถนำเข้า" ซึ่งเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย และไม่ได้กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ อย่างที่รัฐบาลต้องการ

หรืออย่าง โครงการบ้านหลังแรก ที่ขยายวงเงินไปสูงถึงหลังละ 5 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเป็น "บ้านเศรษฐี" ซะมากกว่า ที่จะเป็น "บ้านหลังแรก" ของคนเพิ่งสร้างเนื้อสร้างตัว ที่ไม่น่าจะมีรายได้ซื้อบ้านในราคาสูงระดับนั้น

ถึง "แนวทาง" ของรัฐบาลจะเดินถูกทาง แต่การออกนโยบายที่สับสน จะทำให้ประชาชน เกิดความไม่เชื่อมั่น ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว จะทำให้เรื่องดีๆ ที่รัฐบาลคิดขึ้นมาเอง กลายเป็นเรื่องที่เสียหาย และบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชน ที่มีต่อรัฐบาลโดยตรง

นโยบายรัฐบาลถ้าไม่ดี ก็สามารถปรับเปลี่ยนให้มันดีได้ แต่ที่ผ่านมา "ของเดิม" มันดีอยู่แล้ว แต่คนในรัฐบาลบางคน กลับ ไปเปลี่ยน  ให้มันเกิดความไม่ดีไม่งามขึ้นมา....

ใครที่คอย "ชักใบให้เรือเสีย" ต้องเอาตัวมาประหาร!

บทความล่าสุด

HotNews: RJH ทุ่ม 420 ลบ. ลุยโครงการซื้อหุ้นคืน

บอร์ด RJH เคาะ โครงการซื้อหุ้นคืน จำนวน 18 ล้านหุ้น วงเงิน 420 ลบ. เริ่ม 15 พ.ย.67 - 30 เม.ย.68

หนาแน่น By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ มองปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย เช้าวันนี้ ยังคงมีความคึกคัก .....

มัลติมีเดีย

รู้จัก เมดีซ กรุ๊ป ก่อนเทรด บนกระดาน SET - สายตรงอินไซด์

รู้จัก เมดีซ กรุ๊ป ก่อนเทรด บนกระดาน SET - สายตรงอินไซด์

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้