Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

HotNews : 5 เทพหุ้น เปิดกลยุทธ์พิชิตหุ้น เดือนแห่งความรัก

2,947


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(4 กุมภาพันธ์ 2562)----กูรูทรีนีตี้ ประเมิน SET ก.พ.62 แกว่งตัว Sidewaysต้านสำคัญ 1,670 จุด-หุ้นเด่น AOT, AAV, ERW, SPA, BEAUTY, DDD, TKN ด้านAECS มองตลาดหุ้นไทย PE ต่ำน่าลงทุนเทียบกับตลาดหุนในกลุ่ม TIPs แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นท่องเที่ยว-จำนำทะเบียนรถ-กลุ่มนิคมและสาธารณูปโภค-กำไรปี62โต กูรูเอเอสแอล แจกหุ้นเด่น รับเดือนแห่งความรัก THANI PTTGC IVL BDMS QH ชี้ SET ยังผันผวนสูง   ด้านเทพหุ้นกรุงศรี คาด SET index เดือน ก.พ.ปรับขึ้นทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1,680-1,700 จุด ขณะที่เทพหุ้นเคจีไอ ทำนายหุ้นไทย ก.พ. วิ่งต่อ จุดนัดพบ1,690 จุด-หุ้นเด่นCOM7-CPALL-PLANB-RS-ERW-LH-BEM-BGRIM


ทรีนีตี้ ประเมิน SET Index เดือนก.พ. 62 แกว่งตัว Sideways ในกรอบแนวรับแรกที่ 1,600 จุด และแนวรับสำคัญที่ 1,570 จุด ส่วนแนวต้านสำคัญประเมินที่ 1,670 จุดแนะนำนักลงทุนระยะสั้นที่ขายทำกำไรไปแล้วรอการเข้าซื้อตามกรอบแนวรับ ส่วนนักลงทุนระยะยาวสามารถแบ่งถือหุ้นขนาดใหญ่ปันผลสูงได้ เลือกกลุ่มธนาคาร โรงกลั่นและท่องเที่ยวเป็นกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน


นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประเมิน SET Index เดือนกุมภาพันธ์ 2562 แกว่งตัว Sideways โดยมองกรอบแนวรับแรกที่ 1,600 จุด และแนวรับสำคัญที่ 1,570 จุด ส่วนแนวต้านสำคัญประเมินที่ 1,670 จุดปัจจัยบวก ประกอบด้วย 1. กระแสเงินทุนต่างชาติที่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น ส่งผลให้เงินบาทปรับตัวแข็งค่ามากที่สุดในเอเชียนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และ 2.นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาฟื้นตัวแล้ว นำโดยชาติที่เป็นฐานนักท่องเที่ยวหลักทั้งหมด ส่วนปัจจัยลบ ประกอบด้วย 1.ประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงถูกปรับลดลง จนส่งผลให้ Valuation ปรับตัวสูงขึ้นในมิติของ PE และ 2.ประเด็น Brexit ที่อาจมีความวุ่นวายเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ


ทั้งนี้ยังมีปัจจัยที่เป็นได้ทั้งบวกและลบ ประกอบด้วย 1.การเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งทางปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ และปธน.สี จิ้นผิงของจีนมีโอกาสเปิดโต๊ะเจรจากันในเดือนนี้ และ 2. ทิศทางตัวเลข PMI ภาคการผลิตของประเทศสำคัญ เช่น จีน ยูโรโซน และสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นตัวแปรกำหนดทิศทางตลาดหุ้นเกิดใหม่ในช่วง 3 เดือนข้างหน้าได้


สำหรับกลุ่มหุ้นแนะนำประจำเดือนนี้ ได้แก่ 1.กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ปันผลสูง ที่ราคายังคงปรับตัว Laggard ตลาดอยู่ และมี Valuation ถูก ได้แก่ กลุ่มธนาคาร เช่น BBL,KTB, TCAP และกลุ่มโรงกลั่น เช่น TOP, SPRC, PTTGC และ 2.กลุ่มที่มีพัฒนาการเชิงบวกทางตัวเลขเศรษฐกิจ ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งล่าสุดเดือนธันวาคมที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเติบโตสูงสุดในรอบ 6 เดือน มองตัวหุ้นที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ AOT, AAV, ERW, SPA, BEAUTY, DDD, TKN

บล.เออีซี ระบุตลาดหุ้นไทยหลังการเมืองมีการกำหนดกรอบการเลือกตั้ง ที่ชัดเจนหนุนความเชื่อมั้นต่างชาติกลับมาลงทุนได้อีกครั้ง เพราะหากเทียบระดับ PE ในกลุ่มตลาด TIPs(ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์) ตลาดหุ้นไทยถือว่าถูกสุดมีระดับ PE เพียง 14.1 เท่า ส่วน ฟิลิปปินส์ มีระดับ PE ปีนี้ที่ 17.3 เท่า, อินโดนีเซียมีระดับ PE ปีนี้ที่ 14.8 เท่า ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์ลงทุนหุ้นหุ้นเด่น 4 กลุ่มหลักท่องเที่ยว-จำนำทะเบียนรถ-กลุ่มนิคมและสาธารณูปโภค-หุ้นเล็กปี62กำไรโต


บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS ระบุว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยเริ่มมีสัญญาญเชิงบวกด้านการลงทุนมากขึ้น หลังจากการเลือกตั้งมีความชัดเจนต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะเป็นตัวช่วยในการกระตุ้นให้มีแรงซื้อกลับจากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นตาม เพราะดัชนีหุ้นไทยน่าสนใจลงทุนที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหุันในกลุ่ม TIPs (ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์) โดย ฟิลิปปินส์ มีระดับ PE ปีนี้ที่ 17.3 เท่า, อินโดนีเซียมีระดับ PE ปีนี้ที่ 14.8 เท่า และไทย มีระดับ PE ปีนี้ที่ 14.1 เท่า


ทั้งนี้ภาพรวมตลาดหุ้นต่างประเทศในช่วงสั้นยังคงได้รับปัจจัยบวกจากการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรสหรัฐฯเดือน ม.ค. ออกมาดีกว่าตลาดคาด ที่ Actual 304,000 ตำแหน่ง vs Forecast 165,000 ตำแหน่ง และ Markit PMI ภาคการผลิตสหรัฐฯเดือน ม.ค. ออกมาดีกว่าครั้งก่อน ที่ Actual 54.9 vs Previous 53.8 และราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นจากจำนวนแทนขุดเจาะสหรัฐฯ ลดลง และตัวเลขภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ดีขึ้น


อีกทั้ง ตลาดมีมุมมองเชิงบวกกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนหลังมีความคืบหน้ามากขึ้นแต่ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนโดยช่วงสัปดาห์นี้จะเป็นวันหยุดยาวของหลายๆประเทศเช่นวันที่ 4-6 ก.พ. เทศกาลซอลนาลของเกาหลีใต้, วันที่ 4-10 ก.พ. วันตรุษจีนของประเทศจีน, วันที่ 4-7 ก.พ. วันตรุษจีนของฮ่องกง, วันที่ 4-6 ก.พ. วันตรุษจีนของประเทศสิงคโปร์และวันที่ 6 ก.พ. วันไวทังกิของประเทศนิวซีแลนด์ทำให้เราคาดว่าการซื้อขายในช่วงสัปดาห์นี้จะเบาบางและเคลื่อนไหวเพียงในกรอบ


ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์การลงทุน 4 กลุ่มหุ้นเด่น อาทิ

1. กลุ่มท่องเที่ยว แนะนำ CENTEL, ERW และ AOT ได้อานิสงส์การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในประเทศตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 41.1 ล้านคน โต 7.5% จากปีก่อน


2. กลุ่มจำนำทะเบียนรถ แนะนำ SAWAD, MTC และ AMANAH รับผลบวกจากกฎระเบียบมีความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยสรุปเบื้องต้นของธปท.ระบุถึงการควบคุมผู้ให้บริการในระดับประเทศได้แก่1) ผู้ประกอบการต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท 2) ไม่กำหนดวงเงินสินเชื่อขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระหนี้และ3) อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน28% 3. กลุ่มนิคมและสาธารณูปโภค แนะนำ AMATA, WHA และ EASTW อานิสงส์บวกทั้งราคาขายและยอดขายพื้นที่ในเขต EEC โตเด่น และ 4. หุ้นขนาดเล็กที่คาดกำไรปี 62 โตเด่น บวกกับ Cheap Valuation แนะนำ JMT และ HARN

 

 บล.กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า SET Index เดือน ม.ค.ฟื้นตัวแรงตอบรับปัจจัยบวกจากในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาทการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่เป็นไปอย่างราบรื่น รวมไปถึงการประชุมของคณะกรรมการโยบายการเงินของสหรัฐที่มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2.5% และส่งสัญญาณชะลอขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้หลังจากที่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 4 ครั้งในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ Fund Flow ไหลกลับเข้าตลาดเกิดใหม่รวมถึงตลาดหุ้นไทย

 

ด้านปัจจัยในประเทศนักลงทุนตอบรับข่าว กกต.ประกาศวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ โดยกำหนดให้วันที่ 24 มี.ค.2019 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป ช่วยสร้างความชัดเจนให้กับตลาดและเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับคืน โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนต่างชาติซึ่งเดือน ม.ค.นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี ส่งผลให้ SET Index เดือน ม.ค. เพิ่มขึ้น 78 จุด (+5%) ปิดที่ระดับ 1,642 จุด เพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 47,897 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.6%mom นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 6,722 ล้านบาท

ประเด็นที่มีผลกระทบตลาดในเดือน ม.ค. 2019
- ครม.อนุมัติให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa On Arrival) ออกไปจนถึงวันที่ 30 เม.ย.19 จากเดิมจะสิ้นสุดโครงการในวันที่ 13 ม.ค.19
- EU ประกาศปลดธงเหลืองต่อสินค้าประมงนำเข้าของไทย หลังจากที่ขึ้นสถานะดังกล่าวมาตั้งแต่เดือน เม.ย.2015
- กกต. ประกาศให้วันที่ 24 มี.ค.19 เป็นวันเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไปของไทย 4-8 ก.พ.ประกาศรับสมัคร ส.ส. คาดประกาศรับรองผลการเลือกตั้งภายใน 9 พ.ค.19
- โดนัลด์ ทรัมป์ และ สภาคองเกรส บรรลุข้อตกลงร่วมกันเพื่ออนุมัติงบประมาณชั่วคราวให้หน่วยงานราชการบางส่วนที่ปิดดำเนินการสามารถกลับมาเปิดทำการได้ตามปกติไปจนถึง 15 ก.พ. 19 ยุติ US shutdown ครั้งนี้ไว้ที่ 35 วัน
- เฟดมีมติเป็นเอกฉันฑ์ 10:0 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.5% ตามที่ตลาดคาด และส่งสัญญาณชะลอขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้จากที่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งในปีที่ผ่านมา
- เจรจาแก้ปัญหาข้อพิพาททางการค้าระหว่าง จีนและสหรัฐ ในระดับ
- เจ้าหน้าที่ และ รัฐมนตรี เป็นไปอย่างราบรื่น โดยจะจัดประชุมระหว่างผู้นำประเทศอีกครั้งในช่วงปลายเดือน ก.พ. เพื่อบรรลุข้อตกลงร่วมกันก่อนกำหนดเส้นตาย 1 มี.ค.19

พอร์ตการลงทุนเดือน ม.ค. ให้ผลตอบแทน 7.6% ชนะตลาดที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5% : หุ้นในพอร์ตการลงทุนทั้งหมด 5 หลักทรัพย์ของเดือน ม.ค.ให้ผลตอบแทน 7.6% ดีกว่าเมื่อเทียบกับตลาดที่ให้ผลตอบแทน 5% โดย CPALL ให้ผลตอบแทนมากที่สุด +13.1% ตามด้วย BGRIM, BEM และ CENTEL ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 12.3%, 8.2% และ 7.5% ตามลำดับ ส่วน MTC น่าผิดหวัง ให้ผลตอบแทนติดลบ 3.1%


คาด SET index เดือน ก.พ.ปรับขึ้นทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1,680-1,700 จุด
คาดหวัง Fund Flow ต่างชาติไหลเข้า ตอบรับเฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย และ การเมืองที่กำลังกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยเป็นปัจจัยหนุน
อย่างไรก็ตามมองการปรับขึ้นจะเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจาก SET Index ปรับขึ้นมาแล้วกว่า 5% ในเดือน ม.ค. จึงมีความเสี่ยงจากแรงขายทำกำไรและลดความเสี่ยงก่อนที่ ทัมป์ และ สีจิ้น ผิง จะประชุมร่วมกันในช่วงปลายเดือน
กลยุทธ์ Selective Buy เน้น Big cap รับ Fund Flow ไหลเข้า ส่วน Mid small Cap เน้นหุ้นพื้นฐานดีแต่ราคายัง Laggard และมี Story จากการเลือกตั้งและท่องเที่ยว
TOP Pick เดือน ก.พ. : BBL, EA, ERW, ROBINS, และ SAWAD

ปัจจัยที่ต้องติดตาม
6 ก.พ. สหรัฐรายงานตัวเลข ส่งออก/นำเข้า เดือน ธ.ค.
6 ก.พ. ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.)
7 ก.พ. ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินอังกฤษ (BoE)
11 ก.พ. สหรัฐประกาศ GDP ไตรมาส 4/18 (ครั้งที่ 1)
18 ก.พ. ไทยประกาศ GDP ไตรมาส 4/18
21 ก.พ. ไทยประกาศตัวเลขส่งออก/นำเข้า เดือน ม.ค.

คาด Fund Flow ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่รวมถึงตลาดหุ้นไทย หลัง Fed ส่งสัญญาณชะลอขึ้นดอกเบี้ย และ ชะลอการลดขนาดงบดุล
ผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐเป็นไปตามที่เราและตลาดคาดไว้ คือ เฟดมีมติเป็นเอกฉันฑ์ 10:0 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.5% และส่งสัญญาณชะลอขึ้นอัตราดอกเบี้ย สะท้อนผ่านการตัดข้อความ "เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป" เป็น "เฟดจะใช้ความอดทนและระมัดระวังในการขึ้นดอกเบี้ย" โดยจะใช้ตัวเลขและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจประกอบการตัดสินใจมากขึ้น ทั้งนี้หากอิงจากประมาณการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Fed dot plot) ในการประชุมเมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีนี้ลดลงจาก 4 ครั้งในปีที่ผ่านมา ขณะที่การคาดการณ์ของตลาด โดยCME Group ซึ่งใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าของอัตราดอกเบี้ย พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในปีนี้หรือไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเลย
นอกจากเฟดจะส่งสัญาณชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว อีกด้านเฟดยังส่งสัญญาณถึงการชะลอการลดขนาดงบดุล (Balance sheet) ด้วย โดยปัจจุบันเฟดทยอยลดขนาดงบดุลหรือดูดสภาพคล่องออกจากตลาดด้วยการขายหรือปล่อยให้พันธบัตรรัฐบาลที่ธนาคารกลางถือไว้หมดอายุประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน โดยตั้งเป้าจะลดขนาดงบดุลจาก 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2014 ให้เหลือ 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 อย่างไรก็ตามการดำเนินการดังกล่าวของเฟดกลายเป็นอุปสรรคในเรื่องสภาพคล่องและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทำให้เป็นไปได้สูงที่เฟดอาจจะชะลอการลดขนาดงบดุลดังกล่าวหรือยุติการลดขนาดงบดุลเร็วกว่าที่เคยประกาศไว้ ซึ่งน่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในการประชุมเฟดในครั้งถัดๆไป เบื้องต้นคาดว่าเฟดอาจจะลดจำนวนหรือเพดานของการปรับลดขนาดงบดุลที่ระดับ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนลงเป็น 3-3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน
เรามองว่าการส่งสัญญาณชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดและการชะลอการปรับลดขนาดงบดุลดังกล่าวจะช่วยผลักดันให้กระแสเงินทุนจากต่างชาติ (Fund Flow) ที่เคยไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ในช่วง 2 -3 ปีที่ผ่านมา มีโอกาสที่จะชะลอการไหลออกและเมื่อพิจารณาถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงการเติบโตของผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนของตลาดเกิดใหม่ที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่ปีนี้แรงส่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว ขณะที่ EPS Growth ของบริษัทจดทะเบียนเริ่มลดลงจากฐานกำไรที่สูงขึ้นจากผลบวกของนโยบายปรับลดภาษีเงินได้นิติบุลคคลของโดนัลทรัมป์ในปีที่ผ่านมา จะยิ่งทำให้ Fund Flow มีโอกาสพลิกกลับเป็นไหลเข้าลงทุนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่รวมถึงตลาดหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น

 

ทำไม ? Fund Flow ถึงต้องเข้าตลาดหุ้นไทย :


หาก Fund Flow ต่างชาติไหลเข้าตลาดเกิดใหม่เรายังเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นไทยจะยังเป็นเป้าหมายและทางเลือกอันดับต้นๆของต่างชาติ จาก 1) Fund Flow ต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทยมากเกินไป (2.8 แสนล้านดอลลาร์) มากที่สุดหากเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาคในปีที่ผ่านมา ทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจบ้านเรายังแข็งแกร่ง โดยปีนี้เราคาด GDP จะขยายตัว 4- 4.1% ลดลงเล็กน้อยจากที่คาดว่าจะขยายตัว 4.3% ในปี 2018 แม้จะโตน้อยกว่าหากเทียบกับ ฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซีย ที่คาดว่า GDP จะขยายตัว 6.4% และ 5.1% ตามลำดับ แต่ก็ยังโตมากกว่าหากเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว อาทิ สหรัฐคาด GDP ปี 2019 โต 2.5%, Euro zone โต 1.9%, ญี่ปุ่น โต 1.1% และ สิงคโปร์คาด GDP ปีนี้โต 2.6% ดุลบัญชีเดินสะพัดของเรายังเกินดุลคิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP สูงถึง 10% เทียบกับอินโดฯ และ ฟิลิปปินส์ ยังติดลบ ส่งผลให้ไทยดูปลอดภัยกว่า 2) ภาพรวมการเมืองชัดเจนขึ้น การเมืองบ้านเรากำลังกลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย โดย กกต.กำหนดให้วันที่ 24 มี.ค.เป็นวันเลือกตั้งทั่วไปของไทย นับเป็นแรงจูงใจสำคัญที่จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ รวมไปถึงความหวังที่จะเห็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit rating) ของโลก อาทิ S&P, Moody's และ Fitch rating ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของไทยขึ้น หลังจากที่ทั้ง 3 หน่วยงานลดอันดับเครดิตและคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยไว้ที่ระดับ BBB + มาตั้งแต่เกิดวิกฤติการเมืองในประเทศซึ่งจะเป็นผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติรวมถึงต้นทุนกู้ยืมของประเทศและบริษัทจดทะเบียนที่ลดลงในอนาคต3) ตลาดหุ้นไทยมีขนาดใหญ่อันดับ 2 ของภูมิภาคมีมูลค่าตลาด (Market Cap) ประมาณ 5.2 แสนล้านเหรียญ เป็นรองแค่สิงคโปร์ที่มี Market cap ประมาณ 7 แสนล้านเหรียญ, ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องหรือมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันมากที่สุดในภูมิภาคประมาณ 1.7 พันล้านเหรียญต่อวัน จึงเป็นตลาดที่เหมาะสมสำหรับรองรับเงินลงทุนจำนวนมากจากต่างชาติ ในด้านความยั่งยืนตลาดหุ้นไทยมีบริษัทที่เข้าคำนวณในดัชนี DJSI ทั้งหมด 19 หลักทรัพย์ มากที่สุดในอาเซียน และที่สำคัญไทยมีบริษัทจดทะเบียนที่เป็นที่รู้จักและมีมูลค่าใหญ่เป็นอันดับต้นๆของโลกในหลายอุตสาหกรรม อาทิ AOT มีมูลค่าตลาดใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลกในธุรกิจท่าอากาศยานหรือสนามบิน และ BDMS มีมูลค่าใหญ่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกในธุรกิจโรงพยาบาล และ 4) Valuation ของ SET Index ยังไม่แพงหากวัดจากค่าด Forward PE และค่าความผันผวน (Standard deviation : SD) โดย SET Index ปัจจุบันมี PE ซื้อขายอยู่ที่ระดับค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปี ย้อนหลัง หรือ 0SD ถูกกว่าหากเทียบกับตลาดหุ้นมาเลเซีย, อินโดนีเซีย, และ เวียดนาม ซึ่งซื้อขายที่ระดับ 0.7SD และ 0.4SD, 0.4 SD ตามลำดับ ขณะที่ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์มี Valuation ถูกที่สุดโดยซื้อขายที่ระดับ -1SD
ปลายเดือนระวังแรงขาย Sell on fact เนื่องจากราคาหุ้นปรับขึ้นสะท้อนงบ 4Q18 และ ปี 2018 ไปแล้ว : SET Index ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 5% ในช่วงเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาขณะที่ราคาหุ้นของหลายหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง เรามองว่าการปรับขึ้นดังกล่าวได้สะท้อนภาพรวมของตลาดที่ดีขึ้น และได้สะท้อนคาดการณ์ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่จะทยอยประกาศงบสำหรับงวด 4Q18 และปี 2018 ไปบ้างแล้ว(ประกาศงบวันสุดท้าย 1 มี.ค.) ดังนั้นนักลงทุนจะต้องเพิ่มความระมัดระวังการลงทุนมากขึ้นเนื่องจากอาจจะมีแรงขายทำกำไรหรือ Sell on Fact หลังการประกาศผลการดำเนินงาน หรือ อาจจะมีแรงขายปรับพอร์ตและตัดขาดทุนในหุ้นของบริษัทที่ผลการดำเนินงานออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Mid small Cap ที่ปรับขึ้นโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ


ประชุม ทรัมป์ - สี จิ้นผิง ปลายเดือนนี้ เป็นได้ทั้งความหวังและความเสี่ยง : ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นค่อนข้างดีในช่วงเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาเนื่องจากนักลงทุนตอบรับเชิงบวกต่อการประชุมเจรจายุติข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐครั้งที่ 1 ในช่วงต้นเดือนม.ค. ซึ่งจบลงอย่างราบรื่น เช่นเดียวกับการเจรจารอบที่ 2 ที่มีขึ้นในช่วงวันที่ 30-31 ม.ค.ก็เป็นไปอย่างราบรื่นเช่นกัน ซึ่งปัจจัยนี้จะยังสร้างความหวังให้กับนักลงทุนและช่วยหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงดัชนีตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวขึ้นได้ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของเดือน ก.พ. อย่างไรก็ตามเราอาจจะเห็นดัชนีเคลื่อนไหวผันผวนมากขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือนเนื่องจากนักลงทุนบางส่วนอาจจะเทขายทำกำไรและลดความเสี่ยงเพื่อรอดูความชัดเจนของการเจรจาระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ กับ สี จิ้นผิง เพื่อบรรลุข้อตกลงในการแก้ไขข้อพิพาททางการค้าร่วมกัน ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนว่าจะตกลงกันได้หรือไม่ โดยเฉพาะในกรณีเลวร้ายที่สุดที่ทั้ง 2 ประเทศไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ทันก่อนถึงเส้นตายในวันที่ 1 มี.ค.19 จะทำให้สหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 25% คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นปัจจัยลบกดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงหรือตลาดหุ้นโดยทันที


สรุปพอร์ตการลงทุนเดือน ม.ค. ให้ผลตอบแทน 7.6% ชนะตลาดที่ให้ผลตอบแทน 5% : หุ้นในพอร์ตการลงทุน (KSS Port_) ทั้งหมด 5 หลักทรัพย์ของเดือน ม.ค.ให้ผลตอบแทน 7.6% ดีกว่าเมื่อเทียบกับตลาดที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5% โดย CPALL ให้ผลตอบแทนมากที่สุด +13.1% ตามด้วย BGRIM, BEM และ CENTEL ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 12.3%, 8.2% และ 7.5% ตามลำดับ ส่วน MTC น่าผิดหวัง ให้ผลตอบแทนติดลบ 3.1% ส่วนพอร์ตการลงทุนที่เน้นผลตอบแทนจากเงินปันผล (D.Stock) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.2%, พอร์ตลงทุนที่เน้นหุ้น Growth Stock (G.Stock) ให้ผลตอบแทน 4.8% และ พอร์ตลงทุน DCA (DCA Stock) ให้ผลตอบแทน 4.5%


กลยุทธ์การลงทุนเดือน ก.พ. Selective buy เน้น Big Cap ส่วน Mid small cap เน้นหุ้นพื้นฐานดีและราคายัง laggard : จากการที่เฟดส่งสัญญาณชะลอขึ้นอัตราดอกเบี้ย และอาจชะลอลดขนาดงบดุล ขณะที่การเมืองไทยกำลังกลับเข้าสู่ระบอบประชาธิไตย ค่าเงินบาทเริ่มแข็งค่านับปัจจัยบวกสำคัญที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับปัจจัยบวกดังกล่าวกลยุทธ์การลงทุนเดือน ก.พ. จึงเน้นธีมการลงทุนเป็น Big cap รองรับ fund flow ไหลเข้า แต่ยังอิงกลุ่ม Domestic play คล้ายกับเดือน ม.ค. อาทิ กลุ่มค้าปลีก และ ธนาคาร ส่วนกลุ่มน้ำมันและปิโตรฯแม้จะมีปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่กลับมาฟื้นตัวอีกครั้งแต่ยังมีแรงกดดันจากผลการดำเนินงานที่อ่อนแอของ 4Q18 รออยู่ กลยุทธ์การลงทุนกลุ่มนี้จึงเน้น trading buy เหมือนเดิม โดยจะพิจารณาเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มน้ำมันและปิโตรฯอีกครั้งเมื่อผ่านการประกาศงบ 4Q18 ไปแล้ว ด้านหุ้น Mid small Cap ราคาหุ้นหลายหลักทรัพย์ปรับขึ้นร้อนแรงจึงมีความเสี่ยงที่จะถูกขายทำกำไร เราจึงเน้นหุ้นพื้นฐานดีโดยเฉพาะหุ้นที่งบ 4Q18 จะออกมาดีแต่ราคายังปรับขึ้นน้อยกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่ม (laggard play)เป็นหลัก


TOP Pick เดือน ก.พ. : BBL, EA, ERW, ROBINS และ SAWAD :

พอร์ตการลงทุนเดือน ก.พ. เราปรับหุ้นที่เคยแนะนำใน เดือน ม.ค. คือ CPALL, BEM, และ CENTEL ออกเนื่องจากราคาใกล้เต็มมูลค่าจากราคาเป้าหมาย และ BGRIM คาดงบ 4Q18 ไม่ดีจากต้นทุน Gas ที่เพิ่มขึ้น โดยแทนด้วย BBL, EA, ERW ROBINS และ SAWAD โดย BBL เป็นหุ้น Big Cap และเป็น top pick ในกลุ่มธนาคารรองรับ Fund Flow ไหลเข้า EA, ROBINS เป็นหุ้นพื้นฐานดีราคายัง Laggard หากเทียบกับกลุ่ม, ERW ได้ผลบวกจากนักท่องเที่ยวจีนกับมาฟื้นตัวได้ผลบวกโดยตรงเพราะมีสัดส่วนรายได้กว่า 90% มาจากธุรกิจโรงแรมในประเทศ ส่วน SAWAD คลายกังวลเกณฑ์ใหม่ของแบงก์ชาติเพื่อคุมสินเชื่อที่มีทะเบียนรถยนต์เป็นหลักประกันไม่กระทบผลการดำเนินงานของ SAWAD

 

BBL (ซื้อ/เป้า 245): Top Pick กลุ่มแบงก์ในปีนี้
- เศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง คาด GDP ปีนี้ขยายตัว 4% มอง BBL ยังเด่นสุดรับการขยายตัวของเศรษฐกิจเพราะมีพอร์ตสินเชื่อรายใหญ่มากที่สุดเมื่อเทียบกับแบงก์อื่นๆ
- ปีนี้ BBL มีแรงกดดันจากการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพนักงานจากกฎหมายแรงงานฉบับใหม่น้อยสุด เนื่องจากบริษัททยอยบันทึกค่าใช้จ่ายมาแล้วในช่วง 4Q18 ที่ผ่านมา
- ด้านคุณภาพสินทรัพย์(assets quality) ดีสุดของกลุ่ม ส่วนผลประกอบการ คาดมีกำไรสุทธิปีนี้ประมาณ 40,202 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 13.8%yoy

EA (ซื้อ/เป้า 63 บาท): เข้าสู่ช่วง new s-curve จากธุรกิจใหม่
- งบไตรมาส 1 เติบโตอย่างโดดเด่นจากโครงการลมหนุมาน 260MW ซึ่งทยอย COD ในช่วง ม.ค.-ก.พ. คิดเป็น 39% ของกำลังการผลิตทั้งหมด
- EA ไม่ได้รับผลกระทบจากแผน PDP ใหม่ที่ได้รับการอนุมัติในเดือนมกราคม ซึ่งการรับซื้อไฟ จากพลังงานงานทางเลือกค่อนข้างต่ำในช่วง 5 ปีแรก
- มีการเติบโตจากธุรกิจใหม่ในปีนี้ จาก 1. โครงการพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์บวกแบตเตอรี่ใน ต่างประเทศ 2. โรง green biodiesel ใหม่ 3. โรงผลิตแบตเตอรี่ขนาด 1GW ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ คาดกำไรสุทธิปี 2019 ประมาณ 6.5 พันล้านบาทเติบโต 22% yoy

ROBINS (ซื้อ/เป้า 76 บาท) : Top pick กลุ่มค้าปลีก
- เราเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของราคาข้าว นโยบายทางการคลังในการกระจายรายได้ และ กิจกรรมทางการเมืองต่างๆ จะส่งผลทางบวกกับการอุปโภคบริโภคโดยเฉพาะในต่างจังหวัด ซึ่งจะช่วยผลักดันยอดขายต่อสาขาของบริษัทฯเพิ่มขึ้น (สัดส่วนรายได้ 70%มาจากต่างจังหวัด)
- แผนการเปิดสาขา (3 สาขาในปี 19) และการเพิ่มอัตราก้าไรโดยการเพิ่มยอดขายส่วนสินค้า house brands น่าจะท้าได้ตามแผนที่วางไว้เนื่องจากฐานปัจจุบันยังต่ฎา เราเชื่อว่ารายได้จากค่าเช่าจะช่วยหนุนก้าไรไม่ให้ผันผวน
- ROBINS ราคาหุ้นยังไม่แพง ขณะที่งบดุลค่อนข้างแข็งแกร่ง เราเชื่อว่าราคาหุ้นจะสามารถ outperform ตลาด และ sector ได้ในช่วงที่ตลาดผันผวน

SAWAD (ซื้อ/เป้า 55 บาท): ผ่านจุดต่าสุดมาแล้วและจะเริ่มเห็นการเติบโตตั้งแต่ปีนี้
- ตั้งเป้าขยายสาขาเป็น 3,500 แห่ง ในปี 2020 เพิ่มขึ้น 200-300 สาขาต่อปี คาดหนุน Loan growth โตต่อเนื่อง 20-30% ต่อปี
- ปัญหา NPLs มีแนวโน้มลดลงหลังจากที่ลูกหนี้ที่เคยผิดนัดชำระหนี้สามารถกลับมาชำระได้ตามปกติ นอกจากนี้ SAWAD ยังปรับโครงสร้างใหม่เน้นพอร์ตที่เป็น High yield มากขึ้นส่งผลให้ NIM กลับมาฟื้นตัว
- SAWAD ได้รับผลกระทบน้อยสุดจากดอกเบี้ยขาขึ้นเพราะมีเงินทุนส่วนหนึ่งมาจากบัญชีเงินฝากของ BFIT ต้นทุนต่ำกว่าเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นที่มาจากการกู้ยืมหรือออกหุ้นกู้
- คาดกำไรสุทธิปี 2018 ประมาณ 2,711 ล้านบาททรงตัว yoy แต่คาดว่าจะเติบโต 30%yoy ในปีนี้เป็น 3,522 ล้านบาท

SET Technical

ภาพระยะกลาง - ยาว : รีบาวด์ในกรอบขาลง
แม้ว่าภาพใหญ่ของ SET จะยังคงเคลื่อนตัวในกรอบขาลง Downtrend แต่ล่าสุดดัชนีเดือนม.ค.ที่ผ่านมาสามารถรีบาวด์ขึ้นจากโซนขายมาก (Oversold) ก่อนจะไต่ระดับขึ้นทะลุผ่านเส้น EMA 10 days รวมถึงแนว Fibo 1,630 จุดได้สำเร็จซึ่งแสดงให้เห็นถึงโมเมนตั้มการดีดตัวที่ค่อนข้างแข็งแรง สอดรับกับเครื่องมือ RSI + MACD พลิกตัวชี้ขึ้นสนับสนุนทิศทางเชิงบวกด้วยเช่นกัน ดังนั้นประเมินว่า SET จะรีบาวด์ขึ้นเพื่อทดสอบแนวต้าน Fibo 1,655 - 1,680 จุด อย่างไรก็ตามแนวดังกล่าวมองว่าเป็นจังหวะในการขายเล่นรอบทำกำไรเพื่อรอจังหวะเข้าซื้อรอบใหม่ในช่วงดัชนีอ่อนตัวลง เนื่องจาก RSI จะวิ่งเข้าใกล้เขต Overbought รวมถึง SET จะเข้าใกล้แนว Downtrend line ที่กดดันทิศทางตลาดด้วยเช่นกัน
กลยุทธ์ ซื้อเก็งกำไร โดยมีแนวต้านบริเวณ Fibo 1,655 - 1,680 จุด
จุด Cut loss หาก SET ลงต่ำกว่า 1,610 จุด

***Dividend stock ****

หุ้น/เหตุผล

KKP ราคาเป้าหมาย : 77.0
- คาดยอดสินเชื่อปีนี้โต 10%yoy จากการขยายตัวของยอดสินเชื่อธุรกิจ และสินเชื่อที่มีหลักประกัน
- คุณภาพสินทรัพย์ยังดี NPLs ratio ลดลงต่อเนื่องจากการเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำมากขึ้น
- จ่ายปันผลสม่ำเสมอประมาณ 5 บาทต่อปี ให้ Dividend yield ประมาณ 6-7%

QH ราคาเป้าหมาย : 3.5
- 2H18 จะได้ Sentiment บวกจากการเปิดขายโครงการใหม่มากขึ้นหนุนยอดขาย Presale กลับมาโต Valuation ไม่แพง มี PE ratio ต่ำเพียง 8 เท่า และ PBV ratio ที่ 1.3 เท่า
- จ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาดปันผลปีนี้ประมาณ 0.22 บาทต่อหุ้น ให้ Dividend yield ประมาณ 6-7%

LH ราคาเป้าหมาย : 10.0
- วางแผนเปิดขายโครงการเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง (ประมาณ 23,000 ล้านบาท) คาดหวังรองรับการเติบโตของรายได้ในปีถัดไป
- จ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาดเงินปันผลปีนี้ประมาณ 0.61 บาท ให้ Dividend yield ประมาณ 5.2% (ยังไม่รวมส่วนเพิ่มจากกำไรที่คาดว่าจะได้จากการขาย Asset

SCC ราคาเป้าหมาย : 480.0
- หุ้นใหญ่ผลกำไรเติบโตไม่มาก แต่มั่นคง ปีนี้คาดกำไรปกติประมาณ 53,800 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3%yoy ราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรงในช่วงที่ผ่านมาจน Valuation เริ่มน่าสนใจโดยมี PE ปีนี้ต่ำเพียง 10 เท่า
- เป็นหุ้น Big Cap ที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ และให้ Dividend yield ประมาณ 4.5-5%

SNC ราคาเป้าหมาย : 20.0
- SNC ผ่านช่วงเลวร้ายที่สุดของธุรกิจไป มองการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ การขาย และ ลดขนาดกิจการที่ไม่ทำกำไรจะทำให้ภาพรวมของบริษัทกลับมาฟื้นตัว
- ภาพรวมทั้งปีคาดมีกำไรสุทธิประมาณ 480 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 20%yoy นับเป็นผลการดำเนินงานที่พลิกกลับมาขยายตัวได้เป็นปีแรกในรอบกว่า 4 ปี
- ราคาหุ้นยังถูกคิดเป็น P/E ปี 18 เพียง 10 เท่าขณะที่ EPS growth สูงถึง 20% และให้ Dividend yield ประมาณ 7-8% ต่อปี

***Growth stock ***

หุ้น /เหตุผล

BEM ราคาเป้าหมาย : 11.8
- ธุรกิจรถไฟฟ้าไต้ดินเข้าสู่ช่วงเติบโต จากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น เพราะ BEM จะเพิ่มจำนวนตู้โดยสารรองรับ รถไฟฟ้าใต้ดินอีก 2 เส้นทาง ที่จะเริ่มเปิดดำเนินการในเดือน ก.ย. 2019 และ เม.ย. 2020
- คาดกำไรปกติของ BEM จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4,000 ล้านบาทในปีนี้และ 5,000 ล้านบาท ในปี2019 เติบโต 34%yoy และ 33% ตามลำดับ

BGRIM ราคาเป้าหมาย : 35.0
- คาดผลกำไรเติบโตโดดเด่นสู่ระดับ 3,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 66%yoy จาก 2 แรงหนุน คือ ต้นทุนก๊าซลดลง และ มีเมกะวัตต์เพิ่มขึ้น
- มี Growth story จาก 1) ภาครัฐออกข้อสรุปให้ต่อสัญญาสัมปทานต่อโรงไฟฟ้าที่จะหมดอายุสัมปทาน และ 2) ลุยโรงไฟฟ้าต่างประเทศโดยเฉพาะเวียดนาม

MTC ราคาเป้าหมาย : 58.0
- MTC เป็นบริษัทเดียวในตลาดหลักทรัพย์ที่มีกำไรสุทธิทำ New high ได้ทุกไตรมาส ประสิทธิภาพการดำเนินงานดีกว่าคู่แข่ง ทั้งยอดสินเชื่อต่อสาขาที่สูง และ NPL ratio ต่ำกว่า คาดกำไรสุทธิจะยังเติบโตเฉลี่ย 30-40% ต่อปี ในอีก 2 ปีข้างหน้าจากยอดสินเชื่อที่เติบโตตามแผนการขยายสาขาปีละ 600 สาขา

SPA ราคาเป้าหมาย : 12.3
- คาดอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิในช่วงปี 2018-2019 จะเติบโตเฉลี่ย 30% จากการเติบโตภายใน และการเปิดสาขาใหม่ในประเทศไทยอีกปีละ 10 สาขา นอกจากนี้ เรายังมี upside จากการเร่งขยายกิจการในประเทศจีนผ่านโมเดลธุรกิจแบบ franchise ด้วย branding ที่แข็งแกร่ง และคุณภาพของบริการที่สูงจึงเป็นการยากที่คู่แข่งจะเข้ามาตีตลาดและลอกเลียนแบบ

 

บทวิเคราะห์ บมจ.หลักทรัพย์ เคจีไอ(ประเทศไทย)เปิดเผยว่า จากที่ตลาดฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในเดือนมกราคม เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับขึ้นต่อได้ในเดือนกุมภาพันธ์เนื่องจาก i) ค่าเงินบาทแข็งขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะช่วยหนุนให้กระแสเงินทุนไหลเข้ามาในหุ้นไทยเพิ่มขึ้น ii) ความชัดเจนทางการเมืองน่าจะช่วยขับเคลื่อนแรงซื้อในประเทศก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2562 เราคาดว่าปัจจัยเหล่านี้มากเกินพอในช่วงนี้ที่จะชดเชยผลจากการปรับลดประมาณ EPS  ปี 2562 เนื่องจากการ re-rate มูลค่าหุ้นน่าจะเป็นประเด็นสำคัญในช่วงนี้ เรามองเป้าดัชนี SET เดือนกุมภาพันธ์ไว้ที่ 1,690 อิงจาก P/E เป้าหมายที่ 15.4x และประมาณการ EPS กลางปี 2562 ของทีมนักวิเคราะห์ของเราที่ 109.9

 

เนื่องจากเรามองว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะขึ้นต่อได้บ้างในเดือนกุมภาพันธ์ จากกระแสเงินทุนไหลเข้า และความคาดหวังด้านบวกต่อสถานการณ์การเมืองในประเทศ ดังนั้น เราจึงคาดว่าหุ้นที่ได้อานิสงส์ก่อนการเลือกตั้งจะเป็นประเด็นการลงทุนหลักของเราในเดือนนี้ เรายังคงเน้นหุ้นกลุ่มการพาณิชย์ และสื่อ ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลในอดีตพบว่ามักจะ outperform ตลาดในช่วงก่อนเลือกตั้ง เราเลือก COM7*,CPALL*, PLANB* และ RS* เป็นหุ้นเด่นในประเด็นนี้ ซึ่งเราคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4/2561 ของทั้งสี่บริษัทน่าจะออกมาแข็งแกร่งด้วย

 


นอกจากนี้เรามองว่าตัวเลขการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดือนธันวาคม 2561 กลับมาเพิ่มขึ้น YoY เป็นครั้งแรกในรอบหกเดือน น่าจะหนุนราคาหุ้นของ ERW* ได้ขณะที่หุ้นปันผลสูงน่าจะเป็นที่สนใจของนักลงทุนในช่วงที่มีการจ่ายปันผล เราเลือก LH* เป็นหุ้นเด่น และท้ายที่สุดเรายังคงเก็บหุ้น defensive สองตัวจากพอร์ตหุ้นเดือน ม.ค. เอาไว้ได้แก่ BEM*และ BGRIM*

 

 

 

 

 

 

บริษัทหลักทรัพย์เอเอสแอล ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า Maket Outlook บทวิเคราะห์รายเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ฉบับต้อนรับปีใหม่จีนหรือตรุษจีน ฝ่ายวิเคราะห์ASL มีเนื้อหาเข้มข้นต่อเนื่องในเรื่องของภาพรวมกลุ่มธนาคารด้านพื้นฐาน ซึ่งผลประกอบการ 2561 ส่วนใหญ่เป็นตามที่ฝ่ายได้คาดไว้ ในส่วนของหุ้นเด่นที่แนะนำรายหลักทรัพย์ Top Pick ยังโดดเด่นในด้านการเคลื่อนไหวที่เคลื่อนไหวขึ้นตามการวิเคราะห์ เดือนนี้เป็นเดือนที่ตลาดมีความผันผวนสูงตามผลประกอบการที่ทยอยประกาศออกมา

Techical analysis


วิเคราะห์เทคนิครายเดือน แนวโน้มมีโอกาสกลับตัวขึ้นตามสัญญาณบวกแท่งเทียนคู่ที่ส่งผลให้แนวโน้มกลับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ โดยแนวต้านจุดทดสอบ 1,678 และ 1,700 การปรับตัวไม่สร้างจุดต่ำกว่า1/2 ของแท่งเทียนเดือน ม.ค. ที่ระดับ 1,600 จะมีโอกาสเกิดรูปแบบ V-Shape ในขณะที่แนวรับระหว่างทาง 1,629 สำหรับการเล่นรอบ
คำแนะนำของ ASL: ซื้อถือหรือซื้อเล่นรอบเมื่อยืนแนวรับ 1,629/ 1,602-1,600

Historical data February


SET มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีในเดือนกุมภาพันธ์ (ปี2009-2018) เท่ากับ +2.1% MoM โดยมีความผันผวนอยู่ที่ 2.7% (สูงสุด 7.2%, ต่ำสุด -1.3%) ส่วนในดัชนีต่างประเทศที่สำคัญอย่าง Dow Jones, S&P500 และ NASDAQ นั้น มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 0.8% , 1.0% และ 1.8% MMตามลำดับ

Investment strategy

หุ้นเด่นที่เราแนะนำในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 นี้ได้แก่ THANI PTTGC IVL BDMS QH
Upside risk:1.การเมืองที่มั่นคงหลังจากมีการประกาศเลือกตั้งในเดือนมี.ค.2.การท่องเที่ยวที่เติบโตในช่วงตรุษจีน3.การบริโภคภาคเอกชนในประเทศที่ยังคงเติบโต


Downside risk:1.สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศต่างๆที่ยังไม่แน่ชัดว่าจะจบลง2.ภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มถดถอยทั้งต่างประเทศและในประเทศ3.อากาศฝุ่นพิษที่อาจกระทบภาคการท่องเที่ยวและการชะลอการก่อสร้าง

 

***SET In Febuary***


การเคลื่อนไหวเดือน ม.ค.กล่าวได้ว่าเป็นการแกว่งตัวขาขึ้นตลาดทั้งเดือน ซึ่งเป็นการกลับตัวขึ้นหลังจากแรงขายช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยนักลงทุนต่างชาติหันกลับมาเป็นผู้ซื้อสุทธิอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าและปีที่ผ่านมา การกลับตัวขึ้นของดัชนีมีสัญญาณซื้อทางเทคนิคโดดเด่นขึ้นเมื่อผ่านยืน SMA ขึ้นมา ในขณะที่ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารปรับลงมากตอบรับกับความกังวลด้านผลประกอบการเกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน และเมื่อประกาศออกมาส่วนใหญ่เป็นไปตามประมาณการจึงเกิดแรงซื้อกลับนาดัชนีขึ้นมา ประกอบกับเรื่องการเลือกตั้งที่เป็นปัจจัยหลักในการกาหนดแนวโน้มระยะกลางของตลาด มีความชัดเจนถึงวันเลือกตั้ง 2561 มี.ค.ทำให้ Sentiment ตลาดและ Fund Flow กลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยในลักษณะของการซื้อถือระยะกลางโดยสถิติช่วงที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ดัชนีจะเป็นขาขึ้นและมีโอกาสที่จะสร้างจุดสูงใหม่ ถึงแม้ผลประกอบการหุ้นในภาคผลิต2561จะกประมาณการทรงตัวหรือปรับลงกว่าปีก่อนก็ตาม


วิเคราะห์ Monthly Chart ลักษณะแท่งเทียนคู่เดือนธ.ค.และเดือนม.ค.ไม่สร้างจุดต่ำใหม่กว่าอย่งมีนัยสำคัญ(1,546.62/1,550.22)และการกลับตัวขึ้นของแท่งเทีนสีขาวยาวที่ปกคลุมแท่งเทียนก่อนหน้าแสดงถึงแรงซื้อกลับคืนและเป็น Key Revesal (วิเคราะห์ถึง4ก.พ.2562)ระดับดัชนีทดสอบผ่านแนวต้าน SMA5Mths 1,654-1,655 ขึ้นมาจะเป็นสัญญาณซื้อโดยรูปแบบ V-Shape ที่มีแนวต้านเป้าหมายจุดสูงเดิมของเดือนต.ค.การปรับเหนือ SMA5Mths ที่ทำหน้าที่เส้นแนวต้านขาลงขึ้นมายืนมันคงควรมีปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยน 4.8-5.0หมื่นล้านต่อวันการปรับตัวลงของดัชนีจะมีจุดแนวรับสำคัญฺที่ระดับ1,602-1,600ไม่ต่ำกว่าลงมายังคงมีโอกาสของรูปแบบดังกล่าว
คำแนะนำของASL: ซื้อถือหรือซื้อเล่นรอบเมื่อยืนแนวรับ1,629/1,602-1,600

***Investor type***
จากปริมาณการซื้อขายในช่วงเดือนแรกของปีจะเห็นได้ว่า สถาบันยังคงเป็นแรงซื้อหลักของตลาดตราสารทุนในประเทศ อาจเนื่องด้วยเมื่อราคาหุ้นต่ำลง คนมักหันไปนิยมซื้อกองทุน ทำให้สถาบันมีกำลังซื้อมากขึ้น และแรงซื้อที่น่าสนใจคือแรงซื้อจากต่างชาติที่เริ่มกลับเข้ามา ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยในประเทศมีการขายทำกำไรกันเป็นส่วนมาก

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน
จากดัชนีความเชื่อมั่นในเดือนมกราคม จะเห็นได้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นของรายบุคคลเปลี่ยนจากทรงตัว เป็นซบเซา จากเดือนก่อนหน้า สอดคล้องกับปริมาณการซื้อขายสุทธิด้านบน แต่นักลงทุนสถาบันที่เป็นร้อนแรง นั้นมีค่าดัชนีความเชื่อมั่นที่สูงขึ้น แสดงถึงความเชื่อมั่นในการลงทุน

Thailand Economics wrap up
ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีโมเมนตัมการขยายตัวที่แผ่วลง จากปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆที่เข้ามากระทบ ทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่ยังไม่จบสมบูรณ์ เงินบาทที่แข็งค่าค่อนข้างมาก อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก ภาวะอากาศพิษที่อาจกระทบถึงการท่องเที่ยว และอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่มีโอกาสปรับขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีปัจจัยหนุนจากกาหนดการเลือกตั้งในเดือน มี.ค. ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ภาคอุตสาหกรรมจุงมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ดีอยู่


What happened in last month?
เศรษฐกิจไทยในไตรมาส4ปี2561 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง มาจากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวต่อเนื่อง ทำให้เกิดการเติบโตในภาคอุตสาหกรรม ภาคการส่งออกมีการหดตัวอันเนื่องมาจากผลกระทบของสงครามการค้า รัฐบาลมีการใช้จ่ายลดลง อาจเนื่องมากจากอยู่ในช่วงใกล้เปลี่ยนถ่ายรัฐบาลจึงทำให้มีการชะลอตัวไปหลายโปรเจค ทางด้านการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวได้ถึงแม้นักท่องเที่ยวจีนจะเบาบางลง เป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวจากภาครัฐบาล อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอตัวลงจาก 0.94% สู่ระดับ 0.36% จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงเป็นสำคัญ โดยภาพรวมแล้วในปลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจถึงแม้จะยังมีการขยายตัวต่อเนื่อง แต่ก็มีอัตราการเติบโตที่ช้าลง

What's New in February?
แนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้ยังคงเติบโตได้ แต่อาจมีโมเมนตัมการขยายตัวที่แผ่วลง จากความไม่แน่นอนของปัจจัยต่างๆที่อาจเข้ามากระทบ ทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ที่ยังไม่มีข้อยุติกันอย่างแน่ชัดถึงแม้จะเริ่มมีแนวโน้มคลี่คลายไปบ้างแล้วก็ตาม รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาท จึงทำให้ภาคการส่งออกมีแนวโน้มหดตัวลง ส่วนภาคการท่องเที่ยวในเดือนก.พ. นี้ เรามองว่ามีโอกาสขยายตัวอย่างมากเนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีนที่มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกันนั้นฝุ่นพิษในประเทศที่รับบาลยังไม่สามารถจัดการได้นั้น เป็นปัจจัยกดดันภาคท่องเที่ยว อาจทำให้นักท่องเที่ยวมีการชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามยังมีความแน่นอนจากกำหนดการเลือกตั้ง ซึ่งจะเข้าประชุมกับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่มีแผนงานขยายธุรกิจต่างๆ แต่ยังชะลอเนื่องจากยังรอดูแนวทางนโยบายเศรษฐกิจและทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ เพื่อนำมาพิจารณาให้สอดคล้องกับแผนงานที่มีอยู่เดิม

In the future
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี62 ไว้ที่ 4% จากปี 61ที่เติบโต 4.1% ซึ่งเรามองว่าการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้จะสามารถคาดการณืได้แน่ชัด ต้องรอความคลี่คลายในปมต่างๆก่อน

Economics
Foreign Economics wrap up
เศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่ตลาดทุนทั่วโลกปรับตัวขึ้นอย่างมากในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ขานรับปัจจัยบวกต่างๆ ทั้งสงครามการค้าสหรับฐกับจีนที่ผ่อนคลายลง การที่เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ย พร้อมระบุว่า เฟดจะใช้ความอดทนต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งต่อไป โดยมีเป้าหมายที่จะสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมทั้งผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ในอเมริกาที่มีผลประกอบการแข็งแกร่ง

International
What happened in last month?
สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนเริ่มมีท่าทีคลี่คลาย หลังทั้ง 2 ประเทศได้พยายามเจรจาการค้าเพื่อหาข้อยุติ และสถานการณ์ชัตดาวน์ในสหรัฐที่มีมาอย่างยาวนาน ก็ได้มีการพัก แต่ทั้งสองประเด็นนี้ก็ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่ จากการที่ไม่ได้มีข้อสรุปการยุติที่ชัดเจน อีกทั้งในประเด็น Brexit เอง ก็ยังคงยืดเยื้อ จึงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกค่อนข้างผันผวน แต่ในขณะเดียวกันการที่เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ย พร้อมระบุว่า เฟดจะใช้ความอดทนต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งต่อไป โดยมีเป้าหมายที่จะสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้น ก็เป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญในตลาด ส่วนทางด้านตลาดน้ำมันในเดือนแรกของปีนั้นปรับตัวขึ้นมาราว 19% จากข่าวที่ว่าสหรัฐประกาศคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันของรัฐบาลเวเนซุเอลา โดยการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลให้เวเนซุเอลาเผชิญอุปสรรคในการส่งออกน้ำมันไปต่างประเทศ ถือเป็นต้นปีที่มีปัจจัยต่างๆมากระทบตลาดหุ้นทั่วโลกค่อนข้างเยอะ

What's New in Frebruary?
ถึงแม้ภาวะขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายเฟดจะส่งสัญญาณชะลอตัวลง รวมทั้งประเด็นข้อขัดแย้งต่างๆจะเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังคงต้องรอความแน่ใช้ในอีกหลายประเด็น ทั้งประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่ยังไม่มีข้อยุติออกมาแน่ชัด รวมทั้งสถานการณ์ชัตดาวน์ในสหรัฐที่ถึงแม้จะยุติลง แต่ทรัมป์ก็ยังมีการยกแระเด็นนี่ขึ้นมาข่มขู่อยู่ ข้อตกลง Brexit ที่ยังคงต้องติดตามข้อสรุป รวมทั้งข้อขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสหรัฐกับเวเนซุเอลาที่ส่งผลกระทบต่อสัญญาณน้ำมันดิบ WTI โดยตรง

In the future
เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย สังเกตได้จากดัชนี BDI ที่ลดลงอย่างชัดเจน แต่ในขณะเดียวกันสัญญาณน้ำมันดิบ WTI ก็ได้มีการปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกัน ความผันผวนในตลาดตราสารทุนทั่วโลกถูกกระทบได้จากหลายประเด็น ดังนั้นจึงควรติดตามประเด็นสำคัญต่างๆอย่างใกล้ชิด

สถานการณ์ Brexit กับแนวทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตารัฐสภาอังกฤษซึ่งจะทำการลงมติต่อร่างข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ตั้งแต่เริ่มปี 2562 เป็นต้นมา แม้ว่าร่างข้อตกลง Brexit ของนางเมย์ได้รับการยอมรับจากผู้นำสหภาพยุโรป (EU) แต่ก็ได้สร้างความคลางแคลงใจต่อสมาชิกรัฐสภาอังกฤษ แม้แต่ในพรรคอนุรักษ์นิยมของนางเมย์เอง โดยมีประเด็นที่อ่อนไหวคือ การควบคุมชายแดนระหว่างสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ซึ่งรวมตัวอยู่กับ EU ในขณะนี้ และไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร และจะต้องแยกตัวออกจาก EU ตามอังกฤษ อย่างไรก็ตามในวันที่ 15 ม.ค. 2562 รัฐสภาอังกฤษได้ลงมติด้วยคะแนนเสียง 432 ต่อ 202 เสียง ปฏิเสธร่างข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้สถานการณ์การเมืองของอังกฤษเผชิญกับความผันผวนอย่างหนัก และในวันที่ 21 ม.ค. นี้ นางเมย์จะต้องนำเสนอแผนการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ฉบับใหม่ต่อรัฐสภา และถ้าหากรัฐสภาอังกฤษยังคงไม่ให้การอนุมัติต่อแผน Brexit ฉบับใหม่ของนางเมย์ ก็มีแนวโน้มที่อังกฤษจะแยกตัวออกจาก EU ในวันที่ 29มี.ค.โดยไร้ข้อตกลง หรือยกเลิกขั้นตอนที่ผ่านมาทั้งหมด แล้วกลับไปทำประชามติใหม่อีกครั้งt
เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของดัชนี FTSE100, DJIA และ SET พบว่ามีความสัมพันธ์ตั้งแต่ปี 2552 ที่ค่อนข้างสูงมากกว่าร้อยละ 90 แสดงให้เห็นถึงผลกระทบจาก Bexit ที่จะมากระทบดัชนีตลาดหุ้นบ้านเราจะมีค่อนข้างมาก แต่เมื่อกลับไปดูถึงผลตอบแทนของทั้ง 3 ดัชนีพบว่ามีความสัมพันธ์กันไม่เกินร้อยละ 5 สะท้อนให้เห็นถึงไม่กระทบต่อปัจจัยพื้นฐานในประเทศมากนัก แต่จะกระทบในเชิง sentiment มากกว่า ทั้งในส่วนของ fund flow และค่าเงินบาทไทยที่แข็งค่าโดยเปรียบเทียบกับดอลลาร์ สรอ.


สำหรับกลยุทธ์การลงทุนจากทางฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนของ ASL เราเลือกกลุ่ม Domestic play โดยเราชอบกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่อย่าง BBL ที่แนวโน้มผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2562, กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้ออย่าง MTC และ THANI ที่ปัจจุบันราคาปรับตัวลงจนมีความน่าสนใจในด้าน valuation ประกอบการรับอานิสงค์ด้านการใช้จ่ายของผู้บริโภคและเอกชนที่มีแนวโน้มขยายตัวในปีนี้ต่อเนื่อง, ขณะที่กลุ่ม EEC ก็ยังน่าสนใจเราชอบ WHA ที่เตรียมประกาศแผนร่วมทุนกับ Alibaba ในโครงการ E-Commerce Park จ. ฉะเชิงเทรา, ด้านกลุ่มโรงไฟฟ้าก็น่าสนใจ เราชอบ GULF ซึ่งเราเลือกเป็นหุ้นเด่นประจำเดือน ม.ค. 2562 และกลุ่มวัสดุก่อสร้างเราชอบ SCCC ซึ่งเราเลือกเป็นหุ้นเด่นประจำเดือน ม.ค. 2562 เช่นกันและมีอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นหนุนราคาขาย ส่งผลต่อกำไรที่จะเติบโตขึ้น

***Sector summary BANK 2018 ***

กำไรสุทธิ 4Q61 ของ ธ.พ. ที่เราศึกษา 7 แห่ง อยู่ที่ 3.32 หมื่นล้านบาท หดตัว 22.1%QoQแต่ขยายตัว 6.6%YoY ขณะที่กำไรสุทธิทั้งปี 2561 อยู่ที่ 1.67 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15.1%YoY น้อยกว่าที่ทางฝ่ายคาดการณ์ไว้ โดยหดตัว QoQเป็นผลจากค่าใช้จ่ายผลประโยชน์ของพนักงาน โดยมีการประมาณการหนี้สินที่เพิ่มขึ้น จากการปรับค่าชดเชยกรณีพนักงานเกษียณและเลิกจ้างพบใน BBL และ KTB รวมถึงรายได้จากการขายเงินลงทุนโดยเฉพาะจาก TMB ที่ฉุดให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับตัวลงทั้งกลุ่ม
ส่วนด้านขยายตัว YoYเป็นผลจากการตั้งค่าใช้จ่ายสำรองฯ ที่ลดลง แต่ถูกหักล้างด้วยการหดตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมยังคงกดดันผลการดำเนินการกลุ่มธนาคารต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่ 2จนสิ้นปีและมีแนวโน้มที่จะเป็นปัจจัยกดดันต่อเนื่องในปี 2562

สินเชื่อเติบโตดี หนุนด้วยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และรายย่อย พร้อม NIM ที่ขยับขึ้น
ภาพรวมทั้งกลุ่มมีสินเชื่อขยายตัวกว่า 5.6%YoY จากปีก่อนที่ขยายตัว 4.9% โดดเด่นด้วย KKP ที่ขยายตัวกว่า 18.8%YoY จากการขยายตัวทุกกลุ่มลูกค้า สวนทางกับที่ส่วนใหญ่ชะลอตัวในกลุ่ม SME โดยเฉพาะ KBANK และ TMB ขณะที่ TISCO สินเชื่อหดตัวจากการชำระหนี้คืนของลูกค้าใหญ่ โดยปีนี้ขยายตัวจากสินเชื่อขนาดใหญ่และสินเชื่อรายย่อยที่เพิ่มขึ้น สำหรับแนวโน้มในปี 2562 เราคาดการณ์เห็นการขยายตัวของสินเชื่อ 5.9% มองว่าธนาคารจะมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อที่มากขึ้นเพื่อรองรับความผันผวน ของภาวะเศรษฐกิจทั้วโลกแต่อย่างไรก็ตามทั้งการลงทุนของภาครัฐและเอกชนที่เริ่มเร่งลงทุนจะช่วยผลักดันให้สินเชื่อฟื้นตัวได้ โดยเฉพาะ BBL และ KTB ที่มีสัดส่วนสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่และภาครัฐสูงที่สุด ส่วน KKP เรามองว่าจะมีการเติบโตของสินเชื่อสูงที่สุดในกลุ่มที่ 10% ส่วน NIM ขยับขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนพอร์ท high yield และสินเชื่อที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันมากขึ้น

รายได้ค่าธรรมเนียมหด กดดันกำไรกลุ่มต่อไปอีกปี


รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยหดตัวลงกว่า 12%YoY จากการหดตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมที่เริ่มมีการ migrate จากช่องทางแบบเก่าที่ยังเสียค่าธรรมเนียมมาเป็นช่องทางดิจิทัลที่ฟรีค่าธรรมเนียม เห็นได้ชัดใน KBANK ขณะที่ ธุรกิจประกันยังคงชะลอตัวจากกฎระเบียบด้าน market conduct และ speed ในการขายที่ลดลง

แนวโน้มการตั้งค่าใช้จ่าย Provision ลดลง


แม้ว่าหนี้เสียของกลุ่มธนาคารจะยังทรงตัวแต่ยังมีบางธนาคารที่ยังมีปัญหาอยู่และเรายังมีความกังวลอยู่เช่น TMB ที่มี NPL relapse ของลูกหนี้ปรับโครงสร้าง โดยเราตั้งสมมติฐานการตั้ง Credit cost ของ KPP อยู่ที่ 65 bps ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในกลุ่ม และมีค่าเฉลี่ยที่ 110 bps ส่วน Coverage ratio ยังอยู่ในระดับสูงกว่าเกณฑ์

คงคาแนะนากลุ่มเป็น "Overweight " เลือก BBL KBANK KTB และ KKP เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม
เราคงคำแนะนำกลุ่มเป็น "Overweight " โดยเราคาดว่าในปี 2562 จะมีกำไรสุทธิ 1.73 แสนล้านบาท ขยายตัวกว่า 3.8%YY ซึ่งชะลอตัวลงจากปีก่อนที่ 8.6% ภายใต้สนมมติฐานที่ conservative ของเราต่อประมาณการในแต่ละธนาคาร โดยเราเลือก BBL KBANK KTB โดดเด่นในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ซึ่งได้รับประโยชน์จากวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงแนวโน้มการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีโครงการก่อสร้างเป็นจำนวนมากในปีนี้ และเลือก KKP เป็นหุ้นเด่นด้านการจ่ายเงินปันผล คาดการณ์ Div. Yield ที่ 8.1%

#ด้านกลยุทธ์การลงทุน
เราแนะนำการลงทุนของกลุ่มเป็น "Neutral" เนื่องจากเราคาดว่าผลประกอบการทั้ง CPF TU และ MINT ใน 4Q61 จะออกมาได้ดี โดย TU มีปริมาณการขายทูน่ากระป๋องเพิ่มขึ้นประกอบกับต้นทุนปลาทูน่าที่ลดลง ด้าน CPF หนุนด้วยราคาหมูที่ยังดีต่อเนื่องจากตรุษจีน และธุรกิจสุกรในเวียดนามที่ที่ผู้ประกอบการายย่อยออกจากตลาดไป ส่งผลบวกต่อธุรกิจเพราะมีอุปทานที่หายไป ขณะที่ MINT ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของธุรกิจโรงแรมในประเทศไม่มาก เพราะมีธุรกิจในต่างประเทศเป็นสัดส่วนที่สูง ขณะเดียวกัน ธุรกิจโรงแรมในประเทศก็ค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น ประกอบกับปี 2562 จะรับรู้รายได้ NH Hotel (MINT ถือหุ้น 94.1%) เต็มปี

#ประเด็นที่ต้องติดตาม
- สถานการณ์ราคาไก่ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นราคาหมูที่ฟื้นตัว และราคาปลาทูน่าที่ยังทรงตัว
- ค่าเงินบาทที่ทรงตัว (ไปทางแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ.)
- ผลการดำเนินงาน 4Q61 ที่มีแนวโน้มเป็นบวก


Top pick : APCO SABINA(Previous: APCO SABINA)
คำแนะนำ : Neutral (Previous: Neutral)


#ด้านกลยุทธ์การลงทุน
คงคำแนะนำสำหรับกลุ่มเป็น "Neutral" เนื่องจากเข้าสู่ช่วง High season ของกลุ่มอย่างไรก็ตามเรายังคงเลือก SABINA เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มนี้หลังจากสภาพคล่องในตลาดสูงขึ้นรวมถึงการเติบโตแบบ Organic growth มีอัตราการทำกำไรสุทธิสูงที่สุดของตลาดชุดชั้นในที่ 12% รวมถึงตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2562 ขยายตัว 10-12% ขณะที่ 4Q61 จะโตต่อเนื่องจาก 3Q61 เพราะเป็นช่วงเทศกาลที่ประชาชนจะมีการจับจ่ายใช้สอยกันมากนอกจากนี้เราเพิ่ม APCO เข้ามาหลังปล่อยสินค้าใหม่ VVIN และ ASL revitalizing Serum & Cream ช่วยขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรายได้ใน 4Q61 ให้เพิ่มสูงขึ้นและยังได้มีการปรับแพลตฟอร์มการสื่อสารการตลาดเข้าสู่ Social Mediaลดต้นทุนลง ขณะที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ LIV ขยายตัวกว่า 50% ใน 4Q61

#ประเด็นที่ต้องติดตาม
- แผนการดำเนินงาน 2562รายได้เติบโตต่อเนื่อง
- กำลังซื้อในประเทศที่อาจลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ

***Services***
Top pick : RS CPALL HMPRO BDMS AOT (Previous: RS CPALL HMPRO ROBINS BDMS AOT ERW)
คำแนะนำ : Overweight (Previous: Overweight)

#ด้านกลยุทธ์การลงทุน
เราคงคำแนะนำสำหรับกลุ่มเป็น "Overweight" โดยโดดเด่นในกลุ่มพาณิชย์ กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มโรงแรม ซึ่งในกลุ่มค้าปลีกนั้นเข้าสู่ช่วง high season และยังได้รับอานิสงค์จากการที่รัฐบาลเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายภายในประเทศและคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากคลังออกมาตรการช็อปช่วยชาติ เราแนะนำ CPALL HMPRO ส่วนกลุ่มโรงพยาบาลเราเน้นไปที่กลุ่มโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เราชอบBDMS ที่มีเครือข่ายทั่วประเทศ รวมถึงมีกลยุทธ์เจาะกลุ่มลูกค้าจีนผ่าน Ping An Good Doctor และมีผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติเติบโตและมีการขยายฐานลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มประกันสุขภาพส่วนกลุ่มสื่อเราชอบ RS จากธุรกิจ MPCที่เติบโตได้ต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวเราชอบ ERWและ AOT หลังมีการประกาศตัวเลขนักท่องเที่ยวเดือน ธ.ค. ขยายตัวกว่า 8.0%YoY ทั้งปี2561 ขยายตัวกว่า 7.7%YoY

#ประเด็นที่ต้องติดตาม
- กำลังซื้อในประเทศที่อาจลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ สำหรับกลุ่มพาณิชย์
- จำนวนนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
- นักท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้ามามากขึ้น ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นด้วย
- ผลประกอบการ 2561ที่มีแนวโน้มขยายตัว

***Technology***
Top pick : ADVANC HUMAN (Previous: HANA KCE)
คำแนะนำ : Neutral (Previous: Neutral)

#ด้านกลยุทธ์การลงทุน
เราคงคำแนะนำเป็น "Neutral" โดยในกลุ่มสื่อสารที่เริ่มเห็นการแข่งขันที่ลดลงหลังมูลค่าการตลาดเข้าสู่จุดอิ่มตัว โดยเราชอบ ADVANC และความกังวลในประเด็นที่อาจจะเกิดขึ้นจากค่าใช้จ่ายสำหรับการยุติข้อพิพาทกับกสท. ถือว่ามากเกินไปแล้ว มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดที่ 47.3% แต่ด้านค่าใช้จ่ายยังคงเป็นขาขึ้นเนื่องจากการลงทุนใน 5G ขณะที่กลุ่มเทคโนโลยสารสนเทศเราชอบ HUMAN จากผลประกอบการที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมกับแผนการขยายธุรกิจสินเชื่อ

#ประเด็นที่ต้องติดตาม
- การเข้าสู่ภาวะอิ่มตัวของธุรกิจสื่อสารและภาวะค่ามช้จ่ายการลงทุนในขาขึ้น
- การปรับลดพนักงานลงต่อเนื่องของลูกค้าหลัก HUMAN อาจทำให้ธุรกิจการให้บริการด้านทรัพยากรบุคคลชะลอตัวลง แต่ผลประกอบการมีแนวโน้มขยายตัว YoY

***Financial***
Top pick : BBL KBANK KTB KKP THANI (Previous: BBL KBANK KTB KKP THANI)
คำแนะนำ : Overweight (Previous: Overweight)

#ด้านกลยุทธ์การลงทุน
ภาพรวมกำไร 4Q61ออกมาต่ำกว่าคาดจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่หดตัวและค่าใช้จ่ายด้านพนักงานที่เพิ่มขึ้น ด้านสินเชื่อยังหดตัวใน SME หลายธนาคาร แต่โดยรวมยังขยายตัวและ NIM ขยายตัวขึ้นต่อเนื่อง แนวโน้ม 1Q62 ยังคงเห็นรายได้ค่าธรรมเนียมหด กดดันกำไร และค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองที่อาจปรับตัวเพิ่มขึ้น เราเลือก BBL KBANK และ KTB เป็น Top pick ของกลุ่มเนื่องจากได้ประโยชน์จากวัฏจักรการลงทุนและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และคงคำแนะนำกลุ่มเป็น Overweight

#ประเด็นที่ต้องติดตาม
- การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มในภาวะวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และจับตาการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ขณะที่ธุรกิจประกันที่ยังคงแข็งขันกันรุนแรงส่งผลกระทบต่อรายได้ค่าธรรมเนียม
- การควบรวมกันของธนาคารขนากลาง-เล็ก

***Industrials***
Top pick : SAT IVL (Previous: SAT IVL)
คำแนะนำ :Neutral (Previous: Outperform)

#ด้านกลยุทธ์การลงทุน
เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็น "Overweigh" จาก "Neutral" ด้านภาคอุตสาหกรรมของไทยยังคงขยายตัวได้ในปี 2562 โดยปัจจัยสนับสนุนอย่าง 1. การเลือกตั้งที่ยังคงวันเลือกตั้งเดิม ส่งผลให้ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมดีขึ้น 2. แรงขับเคลื่อนจากการลทุนภาครัฐ และ 3. การดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงต้องติดตามคือความไม่แน่นอนการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงความผันผวนของราคาน้ำมัน ด้านกลยุทธ์การลงทุนเราชอบกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง และมี Upside ที่น่าสนใจ โดย SAT แม้ว่า 4Q61 จะอ่อนตัว แต่ YoY จะทำนิวไฮ แนวโน้มผลประกอบการปี 62จะยังเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 61 ภายใต้สมมติฐานยอดผลิตรถยนต์รวมของอุตสาหกรรมยานยนต์คาดว่าจะเพิ่มเป็น 2.2 ล้านคัน ประกอบกับ จะรับรู้ยอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากลูกค้าใหม่ที่เข้ามา ส่วนประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนนั้น ปัจจุบันยังไม่ได้รับผลกระทบ โดยคำสั่งซื้อของลูกค้าในปัจจุบันยังไม่ได้ปรับลดลง ส่วน AH คาดกำไร 4Q61 จะเติบโตทั้ง QoQและ YoY โดยมาร์จิ้นจะปรับตัวดีขึ้น ตามยอดขายที่เติบโต และ STANLY ยอดขายของรถยนต์โมเดลใหม่จะหนุนผลประกอบการ

#ประเด็นที่ต้องติดตาม
- การเติบโตชะลอตัวลงของอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งตลาดส่งออกและในประเทศ
- แผนการปิดปรับปรุงโรงกลั่น รวมถึงการเกิดผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันที่กระทบผลการดำเนินงาน 4Q61

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนจากทางฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนของ ASL เราเลือกกลุ่ม Domestic play โดยเราชอบกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่อย่าง BBL ที่แนวโน้มผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2562, กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้ออย่าง MTC และ THANI ที่ปัจจุบันราคาปรับตัวลงจนมีความน่าสนใจในด้าน valuation ประกอบการรับอานิสงค์ด้านการใช้จ่ายของผู้บริโภคและเอกชนที่มีแนวโน้มขยายตัวในปีนี้ต่อเนื่อง, ขณะที่กลุ่ม EEC ก็ยังน่าสนใจเราชอบ WHA ที่เตรียมประกาศแผนร่วมทุนกับ Alibaba ในโครงการ E-Commerce Park จ. ฉะเชิงเทรา, ด้านกลุ่มโรงไฟฟ้าก็น่าสนใจ เราชอบ GULF ซึ่งเราเลือกเป็นหุ้นเด่นประจำเดือน ม.ค. 2562 และกลุ่มวัสดุก่อสร้างเราชอบ SCCC ซึ่งเราเลือกเป็นหุ้นเด่นประจำเดือน ม.ค. 2562 เช่นกันและมีอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นหนุนราคาขาย ส่งผลต่อกำไรที่จะเติบโตขึ้น

***Sector summary BANK 2018 ***

กำไรสุทธิ 4Q61 ของ ธ.พ. ที่เราศึกษา 7 แห่ง อยู่ที่ 3.32 หมื่นล้านบาท หดตัว 22.1%QoQแต่ขยายตัว 6.6%YoY ขณะที่กำไรสุทธิทั้งปี 2561 อยู่ที่ 1.67 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15.1%YoY น้อยกว่าที่ทางฝ่ายคาดการณ์ไว้ โดยหดตัว QoQเป็นผลจากค่าใช้จ่ายผลประโยชน์ของพนักงาน โดยมีการประมาณการหนี้สินที่เพิ่มขึ้น จากการปรับค่าชดเชยกรณีพนักงานเกษียณและเลิกจ้างพบใน BBL และ KTB รวมถึงรายได้จากการขายเงินลงทุนโดยเฉพาะจาก TMB ที่ฉุดให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับตัวลงทั้งกลุ่ม
ส่วนด้านขยายตัว YoYเป็นผลจากการตั้งค่าใช้จ่ายสำรองฯ ที่ลดลง แต่ถูกหักล้างด้วยการหดตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมยังคงกดดันผลการดำเนินการกลุ่มธนาคารต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่ 2จนสิ้นปีและมีแนวโน้มที่จะเป็นปัจจัยกดดันต่อเนื่องในปี 2562

สินเชื่อเติบโตดี หนุนด้วยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และรายย่อย พร้อม NIM ที่ขยับขึ้น


ภาพรวมทั้งกลุ่มมีสินเชื่อขยายตัวกว่า 5.6%YoY จากปีก่อนที่ขยายตัว 4.9% โดดเด่นด้วย KKP ที่ขยายตัวกว่า 18.8%YoY จากการขยายตัวทุกกลุ่มลูกค้า สวนทางกับที่ส่วนใหญ่ชะลอตัวในกลุ่ม SME โดยเฉพาะ KBANK และ TMB ขณะที่ TISCO สินเชื่อหดตัวจากการชำระหนี้คืนของลูกค้าใหญ่ โดยปีนี้ขยายตัวจากสินเชื่อขนาดใหญ่และสินเชื่อรายย่อยที่เพิ่มขึ้น สำหรับแนวโน้มในปี 2562 เราคาดการณ์เห็นการขยายตัวของสินเชื่อ 5.9% มองว่าธนาคารจะมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อที่มากขึ้นเพื่อรองรับความผันผวน ของภาวะเศรษฐกิจทั้วโลกแต่อย่างไรก็ตามทั้งการลงทุนของภาครัฐและเอกชนที่เริ่มเร่งลงทุนจะช่วยผลักดันให้สินเชื่อฟื้นตัวได้ โดยเฉพาะ BBL และ KTB ที่มีสัดส่วนสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่และภาครัฐสูงที่สุด ส่วน KKP เรามองว่าจะมีการเติบโตของสินเชื่อสูงที่สุดในกลุ่มที่ 10% ส่วน NIM ขยับขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนพอร์ท high yield และสินเชื่อที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันมากขึ้น

รายได้ค่าธรรมเนียมหด กดดันกำไรกลุ่มต่อไปอีกปี


รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยหดตัวลงกว่า 12%YoY จากการหดตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมที่เริ่มมีการ migrate จากช่องทางแบบเก่าที่ยังเสียค่าธรรมเนียมมาเป็นช่องทางดิจิทัลที่ฟรีค่าธรรมเนียม เห็นได้ชัดใน KBANK ขณะที่ ธุรกิจประกันยังคงชะลอตัวจากกฎระเบียบด้าน market conduct และ speed ในการขายที่ลดลง

แนวโน้มการตั้งค่าใช้จ่าย Provision ลดลง


แม้ว่าหนี้เสียของกลุ่มธนาคารจะยังทรงตัวแต่ยังมีบางธนาคารที่ยังมีปัญหาอยู่และเรายังมีความกังวลอยู่เช่น TMB ที่มี NPL relapse ของลูกหนี้ปรับโครงสร้าง โดยเราตั้งสมมติฐานการตั้ง Credit cost ของ KPP อยู่ที่ 65 bps ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในกลุ่ม และมีค่าเฉลี่ยที่ 110 bps ส่วน Coverage ratio ยังอยู่ในระดับสูงกว่าเกณฑ์

คงคาแนะนากลุ่มเป็น "Overweight " เลือก BBL KBANK KTB และ KKP เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม
เราคงคำแนะนำกลุ่มเป็น "Overweight " โดยเราคาดว่าในปี 2562 จะมีกำไรสุทธิ 1.73 แสนล้านบาท ขยายตัวกว่า 3.8%YY ซึ่งชะลอตัวลงจากปีก่อนที่ 8.6% ภายใต้สนมมติฐานที่ conservative ของเราต่อประมาณการในแต่ละธนาคาร โดยเราเลือก BBL KBANK KTB โดดเด่นในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ซึ่งได้รับประโยชน์จากวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงแนวโน้มการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีโครงการก่อสร้างเป็นจำนวนมากในปีนี้ และเลือก KKP เป็นหุ้นเด่นด้านการจ่ายเงินปันผล คาดการณ์ Div. Yield ที่ 8.1%

***Sector Agriculture-Food***
Top pick : CPF MINT TU (Previous: CPF MINT TU)
คำแนะนำ : Neutral (Previous: Overweight)

#ด้านกลยุทธ์การลงทุน
เราแนะนำการลงทุนของกลุ่มเป็น "Neutral" เนื่องจากเราคาดว่าผลประกอบการทั้ง CPF TU และ MINT ใน 4Q61 จะออกมาได้ดี โดย TU มีปริมาณการขายทูน่ากระป๋องเพิ่มขึ้นประกอบกับต้นทุนปลาทูน่าที่ลดลง ด้าน CPF หนุนด้วยราคาหมูที่ยังดีต่อเนื่องจากตรุษจีน และธุรกิจสุกรในเวียดนามที่ที่ผู้ประกอบการายย่อยออกจากตลาดไป ส่งผลบวกต่อธุรกิจเพราะมีอุปทานที่หายไป ขณะที่ MINT ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของธุรกิจโรงแรมในประเทศไม่มาก เพราะมีธุรกิจในต่างประเทศเป็นสัดส่วนที่สูง ขณะเดียวกัน ธุรกิจโรงแรมในประเทศก็ค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น ประกอบกับปี 2562 จะรับรู้รายได้ NH Hotel (MINT ถือหุ้น 94.1%) เต็มปี

#ประเด็นที่ต้องติดตาม
- สถานการณ์ราคาไก่ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นราคาหมูที่ฟื้นตัว และราคาปลาทูน่าที่ยังทรงตัว
- ค่าเงินบาทที่ทรงตัว (ไปทางแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ.)
- ผลการดำเนินงาน 4Q61 ที่มีแนวโน้มเป็นบวก

***Consumer Product***
Top pick : APCO SABINA(Previous: APCO SABINA)
คำแนะนำ : Neutral (Previous: Neutral)


#ด้านกลยุทธ์การลงทุน
เราคงคำแนะนำสำหรับกลุ่มเป็น "Neutral" เนื่องจากเข้าสู่ช่วง High season ของกลุ่มอย่างไรก็ตามเรายังคงเลือก SABINA เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มนี้หลังจากสภาพคล่องในตลาดสูงขึ้นรวมถึงการเติบโตแบบ Organic growth มีอัตราการทำกำไรสุทธิสูงที่สุดของตลาดชุดชั้นในที่ 12% รวมถึงตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2562 ขยายตัว 10-12% ขณะที่ 4Q61 จะโตต่อเนื่องจาก 3Q61 เพราะเป็นช่วงเทศกาลที่ประชาชนจะมีการจับจ่ายใช้สอยกันมากนอกจากนี้เราเพิ่ม APCO เข้ามาหลังปล่อยสินค้าใหม่ VVIN และ ASL revitalizing Serum & Cream ช่วยขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรายได้ใน 4Q61 ให้เพิ่มสูงขึ้นและยังได้มีการปรับแพลตฟอร์มการสื่อสารการตลาดเข้าสู่ Social Mediaลดต้นทุนลง ขณะที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ LIV ขยายตัวกว่า 50% ใน 4Q61

#ประเด็นที่ต้องติดตาม
- แผนการดำเนินงาน 2562รายได้เติบโตต่อเนื่อง
- กำลังซื้อในประเทศที่อาจลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ

Services
Top pick : RS CPALL HMPRO BDMS AOT (Previous: RS CPALL HMPRO ROBINS BDMS AOT ERW)
คำแนะนำ : Overweight (Previous: Overweight)

#ด้านกลยุทธ์การลงทุน
เราคงคำแนะนำสำหรับกลุ่มเป็น "Overweight" โดยโดดเด่นในกลุ่มพาณิชย์ กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มโรงแรม ซึ่งในกลุ่มค้าปลีกนั้นเข้าสู่ช่วง high season และยังได้รับอานิสงค์จากการที่รัฐบาลเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายภายในประเทศและคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากคลังออกมาตรการช็อปช่วยชาติ เราแนะนำ CPALL HMPRO ส่วนกลุ่มโรงพยาบาลเราเน้นไปที่กลุ่มโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เราชอบBDMS ที่มีเครือข่ายทั่วประเทศ รวมถึงมีกลยุทธ์เจาะกลุ่มลูกค้าจีนผ่าน Ping An Good Doctor และมีผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติเติบโตและมีการขยายฐานลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มประกันสุขภาพส่วนกลุ่มสื่อเราชอบ RS จากธุรกิจ MPCที่เติบโตได้ต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวเราชอบ ERWและ AOT หลังมีการประกาศตัวเลขนักท่องเที่ยวเดือน ธ.ค. ขยายตัวกว่า 8.0%YoY ทั้งปี2561 ขยายตัวกว่า 7.7%YoY

#ประเด็นที่ต้องติดตาม
- กำลังซื้อในประเทศที่อาจลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ สำหรับกลุ่มพาณิชย์
- จำนวนนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
- นักท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้ามามากขึ้น ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นด้วย
- ผลประกอบการ 2561ที่มีแนวโน้มขยายตัว

Technology
Top pick : ADVANC HUMAN (Previous: HANA KCE)
คำแนะนำ : Neutral (Previous: Neutral)

#ด้านกลยุทธ์การลงทุน
เราคงคำแนะนำเป็น "Neutral" โดยในกลุ่มสื่อสารที่เริ่มเห็นการแข่งขันที่ลดลงหลังมูลค่าการตลาดเข้าสู่จุดอิ่มตัว โดยเราชอบ ADVANC และความกังวลในประเด็นที่อาจจะเกิดขึ้นจากค่าใช้จ่ายสำหรับการยุติข้อพิพาทกับกสท. ถือว่ามากเกินไปแล้ว มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดที่ 47.3% แต่ด้านค่าใช้จ่ายยังคงเป็นขาขึ้นเนื่องจากการลงทุนใน 5G ขณะที่กลุ่มเทคโนโลยสารสนเทศเราชอบ HUMAN จากผลประกอบการที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมกับแผนการขยายธุรกิจสินเชื่อ

#ประเด็นที่ต้องติดตาม
- การเข้าสู่ภาวะอิ่มตัวของธุรกิจสื่อสารและภาวะค่ามช้จ่ายการลงทุนในขาขึ้น
- การปรับลดพนักงานลงต่อเนื่องของลูกค้าหลัก HUMAN อาจทำให้ธุรกิจการให้บริการด้านทรัพยากรบุคคลชะลอตัวลง แต่ผลประกอบการมีแนวโน้มขยายตัว YoY

Financial
Top pick : BBL KBANK KTB KKP THANI (Previous: BBL KBANK KTB KKP THANI)
คำแนะนำ : Overweight (Previous: Overweight)

#ด้านกลยุทธ์การลงทุน
ภาพรวมกำไร 4Q61ออกมาต่ำกว่าคาดจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่หดตัวและค่าใช้จ่ายด้านพนักงานที่เพิ่มขึ้น ด้านสินเชื่อยังหดตัวใน SME หลายธนาคาร แต่โดยรวมยังขยายตัวและ NIM ขยายตัวขึ้นต่อเนื่อง แนวโน้ม 1Q62 ยังคงเห็นรายได้ค่าธรรมเนียมหด กดดันกำไร และค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองที่อาจปรับตัวเพิ่มขึ้น เราเลือก BBL KBANK และ KTB เป็น Top pick ของกลุ่มเนื่องจากได้ประโยชน์จากวัฏจักรการลงทุนและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และคงคำแนะนำกลุ่มเป็น Overweight

#ประเด็นที่ต้องติดตาม
- การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มในภาวะวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และจับตาการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ขณะที่ธุรกิจประกันที่ยังคงแข็งขันกันรุนแรงส่งผลกระทบต่อรายได้ค่าธรรมเนียม
- การควบรวมกันของธนาคารขนากลาง-เล็ก

Industrials
Top pick : SAT IVL (Previous: SAT IVL)
คำแนะนำ :Neutral (Previous: Outperform)

#ด้านกลยุทธ์การลงทุน
เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็น "Overweigh" จาก "Neutral" ด้านภาคอุตสาหกรรมของไทยยังคงขยายตัวได้ในปี 2562 โดยปัจจัยสนับสนุนอย่าง 1. การเลือกตั้งที่ยังคงวันเลือกตั้งเดิม ส่งผลให้ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมดีขึ้น 2. แรงขับเคลื่อนจากการลทุนภาครัฐ และ 3. การดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงต้องติดตามคือความไม่แน่นอนการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงความผันผวนของราคาน้ำมัน ด้านกลยุทธ์การลงทุนเราชอบกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง และมี Upside ที่น่าสนใจ โดย SAT แม้ว่า 4Q61 จะอ่อนตัว แต่ YoY จะทำนิวไฮ แนวโน้มผลประกอบการปี 62จะยังเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 61 ภายใต้สมมติฐานยอดผลิตรถยนต์รวมของอุตสาหกรรมยานยนต์คาดว่าจะเพิ่มเป็น 2.2 ล้านคัน ประกอบกับ จะรับรู้ยอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากลูกค้าใหม่ที่เข้ามา ส่วนประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนนั้น ปัจจุบันยังไม่ได้รับผลกระทบ โดยคำสั่งซื้อของลูกค้าในปัจจุบันยังไม่ได้ปรับลดลง ส่วน AH คาดกำไร 4Q61 จะเติบโตทั้ง QoQและ YoY โดยมาร์จิ้นจะปรับตัวดีขึ้น ตามยอดขายที่เติบโต และ STANLY ยอดขายของรถยนต์โมเดลใหม่จะหนุนผลประกอบการ

#ประเด็นที่ต้องติดตาม
- การเติบโตชะลอตัวลงของอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งตลาดส่งออกและในประเทศ
- แผนการปิดปรับปรุงโรงกลั่น รวมถึงการเกิดผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันที่กระทบผลการดำเนินงาน 4Q61

 

---จบ---

 

 

 

 

 

บทความล่าสุด

FTI ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านระบบบำบัดน้ำ จัดสัมมนาใหญ่ "Future Water Solutions 2025"

FTI ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านระบบบำบัดน้ำ จัดสัมมนาใหญ่ "Future Water Solutions 2025"

ไฟการเมือง By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ นักลงทุน ยังคงชะลอลงทุนต่อไป ด้วยเห็นไฟการเมืองในประเทศแล้ว ก็ถอย พัก รอดูสถานการณ์ .....

มัลติมีเดีย

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้