Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

HotNews : เปิดกลยุทธ์พิชิตหุ้น ก.ย. สะสม-ถือลงทุนข้ามปี รับเลือกตั้งปีหน้า (Pre-election Rally)

5,188

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (3  กันยายน  2561)

 

2 เซียนหุ้น เปิดกลยุทธ์พิชิตหุ้น ก.ย.  เวียนหุ้นทิสโก้  แนะสะสม-ถือลงทุนข้ามปี  รับเลือกตั้งปีหน้า (Pre-election Rally)  ชู  BJC, CK, COM7, HANA, IRPC, MINT, PRM และ TCAP   ด้านเทพหุ้นเคจีไอ  เปิดไผ่หุ้นแนะนำ ก.ย. - หุ้นเชื่อมโยงการเลือกตั้งของไทย น่าจะเป็นพระเอก แนะ GLOBAL- KTC

 

 

บล.ทิสโก้ ออกบทวิเคราะห์ การประชุมธนาคารกลางของหลายประเทศซึ่งรวมถึงไทยในช่วงเดือน ก.ย. นี้ เราคาดว่าจะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามเดิม ยกเว้นของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่คาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็น 2.00-2.25% อย่างไรก็ดี เรามองไม่น่ามีผลกระทบเชิงลบต่อตลาด เนื่องจากตลาดซึมซับแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED เดือนนี้ไปแล้ว สังเกตได้จาก FED Funds Futures ที่ประเมินความเป็นไปได้ในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเดือนนี้แตะระดับ 95% และเราไม่คาดว่าเส้นทางการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ในอนาคต (Dot Plot) จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในเดือน มิ.ย. ที่คาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ยังคงไว้ที่ 4 ครั้ง

 

สำหรับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนยังเป็นปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่ต้องติดตามใกล้ชิด เนื่องจากสินค้าจีนมูลค่าอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ ที่อยู่ในกระบวนการรับฟังความเห็นจากสาธารณะจะเสร็จสิ้นลงในวันที่ 5 ก.ย. นี้ และหลังจากนั้นจะสามารถบังคับใช้ได้ทันทีขึ้นอยู่กับคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ นอกจากนี้ สถานการณ์กีดกันทางการค้ายังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศใช้มาตรการกีดกันทางการค้ากับกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์และชิ้นส่วน เพราะจะมีมูลค่าสูงถึงเกือบ 3 แสนล้านดอลลาร์ฯ หรือคิดเป็น 12% ของมูลค่านำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ ในปี 2017 ซึ่งมีมูลค่าสูงที่สุดนับตั้งแต่สหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการกีดทางการค้ามาในปีนี้ และที่สำคัญจะใช้กับทุกประเทศทั่วโลก แต่มาตรการหลังนี้ เรายังให้น้ำหนักเกิดขึ้นน้อย เพราะการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในกลุ่มนี้จะกระทบกับเศรษฐกิจที่ค่อนข้างมาก และสมาชิกพรรครีพับลิกันหลายท่านมีท่าทีที่ไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ เนื่องจากจะกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง เพราะฉะนั้น เรายังคงมุมมองเดิมในกรณีฐาน คือ การกีดกันการค้าแม้ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อ แต่ไม่น่ามีผลบังคับใช้ทั้งหมด เพราะหลัก ๆ ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มอำนาจการต่อรองและทำให้คะแนนความนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์เพิ่มขึ้นก่อนที่จะถึงการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ในวันที่ 6 พ.ย. นี้ และเมื่อผ่านพ้นช่วงการเลือกตั้งไปแล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์น่าจะลดท่าทีที่แข็งกร้าวลง

 


แม้ในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน แต่แนวโน้มแผ่วลงเรื่อยๆ และเรามองแนวโน้มน่าจะกลับมาเป็นบวกได้ในเดือนนี้ จาก (1) ผลกระทบจากการขายปรับพอร์ตตามที่ MSCI นำหุ้น A-Shares ของจีนเข้าคำนวณในเฟสที่ 2 ผ่านพ้นไปแล้วในสิ้นเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา (2) อิงจากสถิติในอดีต ภายหลังการจัดงาน Thailand Focus (ปี 2018 เพิ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 29-31 ส.ค.) Foreign Fund Flows มักมีทิศทางเป็นบวก (โอกาส = 73%) โดยนักลงทุนต่างชาติมักเป็นผู้ซื้อสุทธิเฉลี่ยประมาณ 5-6 พันล้านบาทในช่วง 2-4 สัปดาห์ข้างหน้า และ (3) คาดหวังกลางเดือน ก.ย. นี้ การเมืองไทยจะมีความชัดเจนมากขึ้นในเรื่องของการเลือกตั้งจากการประกาศใช้ พ.ร.ป.ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งครบทั้ง 4 ฉบับ ผสานกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เตรียมคลายล็อกพรรคการเมืองให้เริ่มสามารถทำกิจกรรมได้ น่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและเป็นผลดีต่อ Foreign Fund Flows ตามสถิติในอดีต ต่างชาติมักเป็นผู้ซื้อสุทธิในปีที่มีการเลือกตั้ง โดยมีโอกาสสูงถึง 70% และตลาดหุ้นไทยมักปรับขึ้นและให้ผลตอบแทนดีที่สุดในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 3-6 เดือนล่วงหน้า (Pre-election Rally)

 

 


โดยสรุป ถึงแม้ปัจจัยเสี่ยงภายนอกอาจยังสร้างความผันผวนให้แก่ตลาดหุ้นไทยต่อไป แต่เรามองปัจจัยภายในประเทศที่แข็งแกร่ง ทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวดี, ความคืบหน้าโครงการลงทุนภาครัฐ และการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดความชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เดือน ก.ย. เป็นต้นไป จะทำให้ตลาดหุ้นไทยเริ่มเคลื่อนไหวดีกว่า (Outperform) ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) โดยคาดว่าจะเข้าสู่แนวโน้มการแกว่งซิกแซกขึ้นได้อีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ดังนั้น เรามองทุกการอ่อนตัวเป็นจังหวะทยอยสะสมรอบสุดท้ายของปีนี้เพื่อหวังผลระยะ 5-6 เดือนข้างหน้า เรายังคงเป้า SET Index ปลายปีนี้ขึ้นทดสอบระดับ 1800 จุดขึ้นไป สำหรับหุ้นเด่นในเดือน ก.ย. จะเน้นหุ้นขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จาก Foreign Fund Flows ไหลเข้า และส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่แนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก แนะนำ BJC, CK, COM7, HANA, IRPC, MINT, PRM และ TCAP ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1700-1710, 1685 และ 1730, 1750 จุด ตามลำดับ

 

 

คาด FED ขึ้นดอกเบี้ยปลายเดือนนี้ไม่น่ากระทบตลาด หลังซึมซับปัจจัยดังกล่าวไปมากแล้ว...
การประชุมธนาคารกลางของหลายประเทศซึ่งรวมถึงไทยในช่วงเดือน ก.ย. นี้ เราคาดว่าจะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามเดิม ยกเว้นของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่คาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็น 2.00-2.25% อย่างไรก็ดี เรามองไม่น่ามีผลกระทบเชิงลบต่อตลาด เนื่องจากตลาดซึมซับแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED เดือนนี้ไปแล้ว สังเกตได้จาก FED Funds Futures ที่ประเมินความเป็นไปได้ในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเดือนนี้แตะระดับ 95% และเราไม่คาดว่าเส้นทางการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ในอนาคต (Dot Plot) จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในเดือน มิ.ย. ที่คาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ยังคงไว้ที่ 4 ครั้ง ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10Y US Bond Yield) แม้มีแนวโน้มขยับขึ้นตามการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ FED แต่เรามองภายในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ไม่น่าปรับตัวขึ้นจนเกินจุดสูงสุดเดิมของปีนี้ที่แตะระดับ 3.12% โดย 10Y US Bond Yield ที่ประมาณ 3% จะขึ้นมาเทียบเท่ากับอัตราดอกเบี้ยระยะยาว (LT Fed Funds Rate) ของ FED ที่ประเมินไว้แล้ว

 

อนึ่ง สำหรับการประชุมธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) ถึงแม้เราคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.00% แต่คาดว่าจะประกาศเดินหน้าการลดวงเงินการซื้อพันธบัตร (QE) ลงจากเดิมเดือนละ 3 หมื่นล้านยูโรเป็นเดือนละ 1.5 หมื่นล้านยูโรในช่วงเดือน ต.ค. - ธ.ค. และจะยุติ QE ในสิ้นปีนี้...สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนยังเป็นปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่ต้องติดตามใกล้ชิดความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเพิ่มสูงขึ้น หลังทั้ง 2 ประเทศต่างขึ้นภาษีระหว่างกันในอัตรา 25% กับสินค้านำเข้ามูลค่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ในวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นล็อตที่ 2 หลังจากการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าล็อตแรกมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 6 ก.ค. ขณะที่สินค้าจีนมูลค่าอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ ที่อยู่ในกระบวนการรับฟังความเห็นจากสาธารณะจะเสร็จสิ้นลงในวันที่ 5 ก.ย. นี้ และหลังจากนั้นจะสามารถบังคับใช้ได้ทันทีขึ้นอยู่กับคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งอาจรวมถึงการพิจารณาปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าดังกล่าวเป็น 25% จากเดิมที่ 10% โดยเราคาดการณ์ผลกระทบแบ่งออกเป็น 2 กรณีดังนี้

 


+ กรณีเก็บภาษีสินค้านำเข้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในอัตรา 10% ซึ่งเมื่อรวมกับมาตรการภาษีอื่นๆ ที่ได้ประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้จะกระทบกับการบริโภคประมาณ 0.31% และกระทบต่อ GDP ประมาณ 0.22%


+ กรณีเก็บภาษีสินค้านำเข้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในอัตรา 25% ซึ่งเมื่อรวมกับมาตรการภาษีอื่นๆที่ได้ประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้จะกระทบกับการบริโภคประมาณ 0.52% และกระทบต่อ GDP ประมาณ 0.37%

 


จากการประเมินการเก็บภาษีสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ ทั้ง 2 กรณีของเราพบว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่น่าได้รับผลกระทบมากนัก อย่างไรก็ดี ด้วยความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของประธานาธิบดีทรัมป์ สถานการณ์กีดกันทางการค้ายังมีความไม่แน่นอนสูงและต้องติดตามใกล้ชิดต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศใช้มาตรการกีดกันทางการค้ากับกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์และชิ้นส่วน เพราะจะมีมูลค่าสูงถึงเกือบ 3 แสนล้านดอลลาร์ฯ หรือคิดเป็น 12% ของมูลค่านำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ ในปี 2017 ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่สหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการกีดทางการค้ามาในปีนี้ และที่สำคัญจะใช้กับทุกประเทศทั่วโลก แต่มาตรการหลังนี้ เรายังให้น้ำหนักเกิดขึ้นน้อย เพราะการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในกลุ่มนี้จะกระทบกับเศรษฐกิจที่ค่อนข้างมาก และสมาชิกพรรครีพับลิกันหลายท่านมีท่าทีที่ไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ เนื่องจากจะกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง และมีสมาชิกสภาบางท่านได้เรียกร้องให้มีการออกเสียงเพื่อจำกัดอำนาจของประธานาธิบดีในการออกมาตรการกีดกันการค้า เพราะฉะนั้น เรายังคงมุมมองเดิมในกรณีฐาน คือ การกีดกันการค้าแม้ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อ แต่หลัก ๆ ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มอำนาจการต่อรองและทำให้คะแนนความนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์เพิ่มขึ้นก่อนที่จะถึงการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ในวันที่ 6 พ.ย. นี้ และเมื่อผ่านพ้นช่วงการเลือกตั้งไปแล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์น่าจะลดท่าทีที่แข็งกร้าวลงมอง Foreign Fund Flows มีแนวโน้มกลับมาเป็นบวกได้ในเดือนนี้

 


แม้ในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน แต่แนวโน้มแผ่วลงเรื่อยๆ และเรามองแนวโน้มน่าจะกลับมาเป็นบวกได้ในเดือนนี้ จาก (1) ผลกระทบจากการขายปรับพอร์ตตามที่ MSCI นำหุ้น A-Shares ของจีนเข้าคำนวณในเฟสที่ 2 ผ่านพ้นไปแล้วในสิ้นเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา (2) อิงจากสถิติในอดีต ภายหลังการจัดงาน Thailand Focus (ปี 2018 เพิ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 29-31 ส.ค.) Foreign Fund Flows มักมีทิศทางเป็นบวก (โอกาส = 73%) โดยนักลงทุนต่างชาติมักเป็นผู้ซื้อสุทธิเฉลี่ยประมาณ 5-6 พันล้านบาทในช่วง 2-4 สัปดาห์ข้างหน้า ขณะเดียวกัน SET Index มักปรับตัวขึ้นเฉลี่ยเกือบ 2% ในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังจัดงาน (3) คาดหวังกลางเดือน ก.ย. นี้ การเมืองไทยจะมีความชัดเจนมากขึ้นในเรื่องของการเลือกตั้งจากการประกาศใช้ พ.ร.ป.ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งครบทั้ง 4 ฉบับ ผสานกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เตรียมคลายล็อกพรรคการเมืองให้เริ่มสามารถทำกิจกรรมได้ น่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและเป็นผลดีต่อ Foreign Fund Flowsแนวโน้มการเลือกตั้งปีหน้าคาดจะเป็นผลดีทั้งต่อทิศทาง Foreign Fund Flows และ SET Indexทิศทาง Foreign Fund Flows - นอกจากเรามอง Foreign Fund Flows น่าจะเริ่มกลับมาเป็นบวกได้ในระยะสั้นแล้ว (ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า) แนวโน้มในปีหน้า

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีแรกคาดว่า Foreign Fund Flows จะเป็นบวกด้วย หลัก ๆ มาจากการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในเดือน พ.ค. อิงจากการศึกษาข้อมูลในอดีตของเราพบว่า ในปีที่มีการเลือกตั้ง (จากรูป "ต่างชาติมักเป็นผู้ซื้อสุทธิในปีที่มีการเลือกตั้ง" คือ แทบสีเทา) Foreign Fund Flows มักเป็นบวก โดยมีโอกาสสูงถึง 70% ซึ่งเราเชื่อมั่นอย่างมากว่า หากเกิดการเลือกตั้งจริงในปีหน้า Foreign Fund Flows จะกลับมาเป็นบวก เนื่องจาก (1) จะช่วยปลดล็อกการลงทุนของบางกองทุนที่ไม่สามารถลงทุนในประเทศที่อยู่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหารได้ และ (2) ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยมามากแล้ว (ม.ค. - ส.ค. 2018 YTD ต่างชาติขายสุทธิไปแล้วรวม 1.9 แสนล้านบาท) ซึ่งถือครองหุ้นไทยต่ำสุดในรอบมากกว่า 10 ปี ดังนั้นจึงแสดงถึงโอกาสซื้อมีมากกว่าโอกาสในการขาย ทิศทาง SET Index - ในช่วงก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง มักเป็นช่วงที่รัฐบาลเร่งการจับจ่ายใช้สอย, พรรคการเมืองมีการใช้จ่ายเงินเพื่อการหาเสียง และมีการนำเสนอนโยบายต่าง ๆ ในทางบวกที่สร้างความหวังให้แก่ประชาชนและความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยรวม ทำให้ตลาดหุ้นมักตอบรับด้วยการปรับตัวขึ้นจนเกิดผลกระทบที่เรียกว่า "Pre-election Rally" จากการศึกษาข้อมูลการเลือกตั้งของไทยในอดีต ตลาดหุ้นไทยมักปรับขึ้น (โอกาสราว 70%) และให้ผลตอบแทนดีที่สุดในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 3-6 เดือนล่วงหน้า (ปรับขึ้นเฉลี่ยราว 4-6%) ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกบ่อยครั้ง คือ กลุ่ม FOOD (โอกาสสูงถึง 92%), ENERG (85%) และ FIN (77%) ตามลำดับ ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่มักให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด (Outperform) คือ กลุ่ม FOOD, FIN และ CONMAT (โอกาส Outperform ตลาดอยู่ที่ 60% เท่ากันทั้ง 3 อุตสาหกรรม)เน้นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก รับ Foreign Fund Flows กลับมาไหลเข้า

 


ถึงแม้ปัจจัยเสี่ยงภายนอกอาจยังสร้างความผันผวนให้แก่ตลาดหุ้นไทยต่อไป แต่เรามองปัจจัยภายในประเทศที่แข็งแกร่ง ทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวดี, ความคืบหน้าโครงการลงทุนภาครัฐ และการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดความชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เดือน ก.ย. เป็นต้นไป จะทำให้ตลาดหุ้นไทยเริ่มเคลื่อนไหวดีกว่า (Outperform) ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) โดยคาดว่าจะเข้าสู่แนวโน้มการแกว่งซิกแซกขึ้นได้อีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ดังนั้น เรามองทุกการอ่อนตัวเป็นจังหวะทยอยสะสมรอบสุดท้ายของปีนี้เพื่อหวังผลระยะ 5-6 เดือนข้างหน้า เรายังคงเป้า SET Index ปลายปีนี้ขึ้นทดสอบระดับ 1800 จุดขึ้นไป สำหรับหุ้นเด่นในเดือน ก.ย. จะเน้นหุ้นขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จาก Foreign Fund Flows ไหลเข้า และส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่แนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก แนะนำ BJC, CK, COM7, HANA, IRPC, MINT, PRM และ TCAP ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1700-1710, 1685 และ 1730, 1750 จุด ตามลำดับ

 

 


บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ว่า ในเดือน ก.ย. มองว่า 'ความกังวลต่อปัจจัยภายนอกจะมาก่อน แล้วความคาดหวังด้านบวกต่อปัจจัยในประเทศค่อยตามมา' กล่าวคือ SET Index ในช่วงต้นเดือนอาจปรับตัวตามกระแสข่าวลบเกี่ยวกับการเจรจาการค้าโลก ซึ่งน่าจะส่งผลให้กระแสทุนต่างชาติยังอ่อนแออยู่ ขณะที่แนวโน้มที่ ธ.กลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ อาจหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้นอีกรอบหนึ่ง ซึ่งน่าจะจำกัดทางขึ้นของตลาดหุ้นเกิดใหม่ในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม เรามองว่าความคาดหวังด้านบวกต่อปัจจัยในประเทศจะกลับเข้ามา และช่วยหนุน SET Index ในช่วงหลังของเดือน โดยนักลงทุนกำลังรอการโปรดเกล้า พรป. การเลือกตั้งสองฉบับ ในขณะที่รัฐบาล คสช. ก็เริ่มผ่อนคลายข้อห้ามของการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้ว หุ้นแนะนำ: CK*, SEAFCO, AMATA*, GLOBAL*, KTC*, BGRIM* และ PLANB ในเดือน ส.ค. SET Index ซื้อขายกรอบจำกัด หลังจากที่วิ่งขึ้นมาแรงในเดือน ก.ค. โดยในช่วงกลางเดือนส.ค. นั้น SET Index

 

และหุ้นในตลาดเกิดใหม่อื่นๆ ต่างก็ปรับลดลงซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากวิกฤติค่าเงินในตุรกี แต่สถานการณ์ก็กลับเข้าสู่เสถียรภาพได้อย่างรวดเร็ว และตลาดในประเทศยังสามารถฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของเดือนเนื่องจาก i) มีกระแสข่าวบวกในประเด็นการค้าโลกมากขึ้น (ความหวังว่าจีนและสหรัฐจะทำความตกลงกันได้ ซึ่งในช่วงปลายเดือนกลับเป็นว่าสองฝั่งไม่สามารถหาข้อสรุปกันได้) และ ii) ความคาดหวังด้านบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป หลัง GDP ของไทยใน 2Q61 โตสูงกว่าที่ consensus คาดและกรอบเวลาของการเลือกตั้งในปี 2562 มีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ SET Index ขยับขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 1.2% ในขณะที่พอร์ตหุ้นแนะนำของเราเพิ่มขึ้น 1.0% ทั้งนี้ตั้งแต่ต้น 3Q61 จนถึงปัจจุบัน พอร์ตหุ้นแนะนำของเราให้ผลตอบแทนสะสม 9.5% สูงกว่า SET Index ที่ขึ้นมา 7.9% อยู่เล็กน้อยมุมมองตลาดเดือน ก.ย. - ความกังวลต่อปัจจัยภายนอกอาจจะมาก่อน ส่วนมุมมองเชิงบวกต่อปัจจัยในประเทศน่าจะตามมาในครึ่งเดือนหลัง ในเดือน ก.ย. เรามองว่า 'ความกังวลต่อปัจจัยภายนอกจะมาก่อน แล้วความคาดหวังด้านบวกต่อปัจจัยในประเทศค่อยตามมา' กล่าวคือ SET Index ในช่วงต้นเดือนอาจปรับตัวตามกระแสข่าวลบเกี่ยวกับการเจรจาการค้าโลก ซึ่งน่าจะส่งผลให้กระแสทุนต่างชาติยังอ่อนแออยู่ ขณะที่แนวโน้มที่ ธ.กลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ อาจหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้นอีกรอบหนึ่ง ซึ่งน่าจะจำกัดทางขึ้นของตลาดหุ้นเกิดใหม่ในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม เรามองว่าความคาดหวังด้านบวกต่อปัจจัยในประเทศจะกลับเข้ามา และช่วยหนุน SET Index ในช่วงหลังของเดือน โดยนักลงทุนกำลังรอการโปรดเกล้า พรป. การเลือกตั้งสองฉบับ ในขณะที่รัฐบาล คสช. ก็เริ่มผ่อนคลายข้อห้ามของการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้ว

 

หุ้นแนะนำ ก.ย. - หุ้นเชื่อมโยงการเลือกตั้งของไทย น่าจะเป็นพระเอก
จากมุมมองของเราว่าปัจจัยต่างประเทศยังมีความไม่แน่นอน และกระแสเงินทุนในหุ้นภูมิภาคและหุ้นไทยยังผันผวน ดังนั้น เราจึงแนะนำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงหุ้นตัวหลักโดยทั่วไปซึ่งน่าจะได้รับผลกระทบจากฟันด์โฟลว์ที่ยังอ่อนแอ และแนะนำให้เน้นหุ้นที่เชื่อมโยงโดยตรงกับปัจจัยบวกภายในประเทศ เนื่องจากการเมืองที่ชัดเจนมากขึ้นน่าจะทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งกลายมาเป็นจุดสนใจ เช่นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากภาวะการลงทุนที่แข็งแกร่งขึ้นจากโครงการโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย EEC โดยเราเลือก CK*, SEAFCO และ AMATA* นอกจากนี้เราแนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการจับจ่ายใช้สอยในต่างจังหวัดที่เร่งตัวขึ้นตามการบริโภคในประเทศ และรายได้ภาคเกษตรที่แข็งแกร่งขึ้น บวกกับการที่มีกิจกรรมทางการเมืองเพิ่มขึ้นใน 4Q61 เช่น GLOBAL* และ KTC* และท้ายที่สุด เรายังมองว่าในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูงเช่นนี้ นักลงทุนน่าจะมองหาการลงทุนที่กำไรมีคุณภาพดี ต่อเนื่อง และมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งในธีมนี้ เราแนะนำซื้อหุ้น BGRIM* และ PLANB

 

 

 

ขณะที่บล.เอเซีย พลัส ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า คาด Fund Flow เดือน ก.ย. ยังเป็นลักษณะสลับซื้อ-ขาย แนวโน้ม Fund Flow ในเดือน ก.ย. 61 แม้สถิติเดือน ก.ย. ย้อนหลัง 10 ปี บ่งชี้ว่าต่างชาติมักซื้อหุ้นไทยเฉลี่ยเล็กน้อย 5.20 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิ 7 ใน 10 ปี) แต่ปีนี้เชื่อว่าแรงซื้อน่าจะเป็นไปในลักษณะซื้อสลับขาย เพราะตลาดฯต้องเผชิญสงครามการค้าที่ยังยืดเยื้อ รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ตามแผน กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงไทย และยังสอดคล้องกับสถิติย้อนหลัง 10 ปี ที่ SET Index มักจะผันผวนมาก ให้ผลตอบแทนอยู่ในช่วง -14.4% ถึง +9.77% และมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.5% สรุป Fund Flow เดือน ส.ค. 61 พบว่า ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเป็นเดือนแรก 2.24 พันล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 6 เดือน) แต่เป็นการซื้อสุทธิเฉพาะตลาดหุ้นแถบเอเชียเหนือเท่านั้น และตลาดหุ้นกลุ่ม TIP ยังขายสุทธิ โดยเฉพาะไทยที่ขายสุทธิมากสุดในภูมิภาค 319 ล้านเหรียญ หรือ 1.04 หมื่นล้านบาท

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

DELTA พาSETเด้ง By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เช้าวันนี้ ใครกัน ลาก กระชาก หุ้นDELTA พาSET เด้ง งานนี้ บริษัท DELTA ไม่รู้ แต่ ฝ่าย...

MMM ต้อนรับคณะนักลงทุน IAT อัปเดตแผนเสนอขายหุ้น PO 64.20 ล้านหุ้น ก่อนเทรดตลาด mai

MMM ต้อนรับคณะนักลงทุน IAT อัปเดตแผนเสนอขายหุ้น PO 64.20 ล้านหุ้น ก่อนเทรดตลาด mai

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้