Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

HotNews: สรุปข่าว ที่สุดของปี68

175

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 30 ธันวาคม 2568 )-------ทีมข่าวหุ้นอินไซด์ สรุปข่าวในแวดวงตลาดทุน ที่สุดของปี 2568 มีหลากหลายเรื่องราวสีสัน ตลอดทั้งปี คุณผู้อ่านโปรดติดตาม....



+++“สารัชถ์ รัตนาวะดี” แห่งอาณาจักรกัลฟ์ แชมป์เศรษฐีหุ้นไทยปี 2568 +++


วารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับ อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยติดต่อกันปีนี้เป็นปีที่ 32 แล้ว โดยวัดจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประเภทบุคคลธรรมดาในประเทศที่ถือหุ้นในสัดส่วน 0.5% ขึ้นไป ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ mai ตามการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นล่าสุดภายในวันที่ 30 กันยายน 2568


สำหรับผลการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยปี 2568 ใน วารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนธันวาคม 2568 ปรากฏว่า แชมป์เศรษฐีหุ้นไทยปี 2568 ยังคงเป็นของ สารัชถ์ รัตนาวะดี กรรมการ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF ซึ่งเป็นการครองแชมป์ติดต่อกันเป็นปีที่ 7 แล้ว

โดยสารัชถ์ถือครองหุ้นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 189,992.47 ล้านบาท ลดลง 50,349.43 ล้านบาท หรือ 20.95% ประกอบด้วย หุ้น GULF ในสัดส่วน 29.19% สูงเป็นอันดับ 1 คิดเป็นมูลค่า 189,684.32 ล้านบาท และ บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) ผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่เป็นบริษัทลูกของไทยยูเนี่ยน 0.65% มูลค่า 308.15 ล้านบาท

ความมั่งคั่งของสารัชถ์ในปีนี้ลดลงไปถึง 50,349.43 ล้านบาท เนื่องจากราคาหุ้น GULF ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 ซึ่งเป็นวันคำนวณมูลค่าเศรษฐีหุ้นไทยปี 2568 อยู่ที่ 43.50 บาท จากราคา 57.00 บาท ในปี 2567 โดยลดลงไป 13.50 บาท หรือ 23.68% อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามูลค่าหุ้นที่สารัชถ์ถือครองจะลดลงไปในปีนี้ แต่ตลอด 7 ปีของการครองแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2562-2568 มูลค่าหุ้นที่สารัชถ์ถือครองยังคงอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาททุกปี


เศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ได้แก่ นิติ โอสถานุเคราะห์ นักลงทุนรายใหญ่ ทายาทอาณาจักรโอสถสภา ยังคงอันดับเดียวกันกับปีที่แล้ว โดยถือครองหุ้นมูลค่ารวม 47,313.08 ล้านบาท ลดลง 12,159.34 ล้านบาท หรือ 20.45%


เศรษฐีหุ้นอันดับ 3 ได้แก่ นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ หรือ หมอเสริฐ เจ้าของกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ และสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส โดยยังคงครองอันดับ 3 ไว้ได้อีกปี ถือครองหุ้นมูลค่ารวม 33,062.33 ล้านบาท ลดลง 17,602.89 ล้านบาท หรือ 34.74% ประกอบด้วย หุ้น บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) 9.18% และ บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) 11.38%


เศรษฐีหุ้นอันดับ 4 และ เศรษฐีหุ้นอันดับ 5 ได้แก่ สองเจ้าของ บมจ.เมืองไทยแคปปิตอล (MTC) ซึ่งปีนี้ยังคงอันดับเดิม โดย ดาวนภา เพ็ชรอำไพ อยู่ในอันดับ 4 ถือหุ้น MTC 33.96% มูลค่า 29,160 ล้านบาท ลดลง 6,480 ล้านบาท หรือ 18.18% ส่วน ชูชาติ เพ็ชรอำไพ อยู่ในอันดับ 5 รวมมูลค่าหุ้นที่ถือครอง 28,878.71 ล้านบาท ลดลง 6,561.89 ล้านบาท หรือ 18.52% โดยถือหุ้น MTC 33.49% และ บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPG) 2.32%


เศรษฐีหุ้นอันดับ 6 ได้แก่ ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ ทายาทหมอเสริฐ โดยยังคงอยู่ในอันดับเดิมเหมือนปีที่แล้ว ถือหุ้น บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) 5.81% และ บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) BA 6.49% รวมมูลค่าหุ้นที่ถือครองทั้งสิ้น 20,732.61 ล้านบาท ลดลง 10,210.61 ล้านบาท หรือ 33%


เศรษฐีหุ้นอันดับ 7 ได้แก่ ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานคณะกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บมจ.ศุภาลัย ปีนี้ขยับขึ้นมาติดทำเนียบ Top 10 เศรษฐีหุ้นไทยเป็นครั้งแรก โดยขยับขึ้นจากอันดับ 11 เมื่อปีที่แล้ว ถือครองหุ้นมูลค่ารวม 18,088.53 ล้านบาท ลดลง 134.67 ล้านบาท ถือเป็นเศรษฐีหุ้นที่มูลค่าความมั่งคั่งลดลงน้อยที่สุดเพียง 0.74% เมื่อเปรียบเทียบกับ Top 10 เศรษฐีหุ้นไทยด้วยกัน


เศรษฐีหุ้นอันดับ 8 ได้แก่ สุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.คอมเซเว่น (COM7) เจ้าของเครือธุรกิจค้าปลีกสินค้าไอที กลับเข้าสู่ทำเนียบ TOP 10 เศรษฐีหุ้นไทยอีกครั้ง หลังจากเข้ามาเป็นปีแรกเมื่อปี 2566 โดยขยับขึ้นจากอันดับ 13 เมื่อปีที่แล้ว ถือหุ้นรวมมูลค่า 17,208.38 ล้านบาท ลดลง 310.97 ล้านบาท หรือ 1.78%


เศรษฐีหุ้นอันดับ 9 ได้แก่ คีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) หล่นจากอันดับ 8 เมื่อปีที่แล้ว โดยถือครองหุ้นมูลค่ารวม 16,063.10 ล้านบาท ลดลง 3,395.31 ล้านบาท หรือ 17.45% ประกอบด้วย หุ้น BTS 31.73% กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) 2.14% และ บมจ.ซุปเปอร์ เทอร์เทิล (TURTLE) 1.64%


เศรษฐีหุ้นอันดับ 10 ได้แก่ นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี หรือ หมอพงศ์ศักดิ์ ผู้ก่อตั้งคลินิกเสริมความงาม “พงศ์ศักดิ์คลีนิค” นักลงทุนรายใหญ่ที่ปีนี้มีพอร์ตการลงทุนมูลค่ารวม 15,404.11 ล้านบาท ลดลง 1,796.82 ล้านบาท หรือ 10.45%

 


+++ปีนี้ บจ.แห่ซื้อหุ้นคืน+++

 

เปิดสถิติการซื้อหุ้นคืน ในปี 2568 บริษัทจดทะเบียนไทยมีการทำโครงการ ซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) รวมมูลค่ากว่า 3.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อประคองราคาหุ้นและสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ยกตัวอย่างเช่น บมจ.ปตท. (PTT) ประกาศใช้งบซื้อหุ้นคืน 16,000 ล้านบาท วางเป้าหมายซื้อหุ้นคืนทั้งหมด 470 ล้านหุ้น ตั้งแต่ 24 มี.ค. - 23 ก.ย.2568 ซึ่งหลังจบโครงการ PTT ซื้อหุ้นคืนได้เพียง 238.66 ล้านหุ้น (เป้าหมายซื้อคืน 470 ล้านหุ้น) มูลค่า 7,548.89 ล้านบาท


ด้าน ทีเอ็มบีธนชาต(TTB)เดินหน้าโครงการซื้อหุ้นคืนระยะ 3 ปี วงเงินรวม 21,000 ล้านบาท โดยกำหนดวงเงินครั้งที่ 2 เพิ่มขึ้นเป็น 8,900 ล้านบาท เริ่มซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2569 ถึง 4 กุมภาพันธ์ 2569 ด้วยวิธี General Offer ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องตามแผนการบริหารส่วนทุน


ก่อนหน้านี้ในเดือนมกราคม 2568 ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ได้ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนวงเงิน 21,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี (ปี 2568 - ปี 2570) ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนงานด้านการบริหารส่วนทุน (Capital Management) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นผ่านการปรับโครงสร้างและขนาดงบดุลให้มีความเหมาะสม โดยธนาคารได้ดำเนินการซื้อหุ้นคืนครั้งที่ 1 ไปแล้วในช่วงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 - 1 สิงหาคม 2568 เป็นจำนวน 2,688 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 2.76% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด รวมมูลค่าทั้งสิ้น 5,103 ล้านบาท



บมจ.สเตคอน กรุ๊ป (STECON) ที่วางงบ 900 ล้านบาท หวังซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 150 ล้านหุ้น โดยสิ้นสุดโครงการเมื่อ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา STECON ซื้อหุ้นคืนได้เพียง 16.99 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 107.07 ล้านบาท เท่านั้น หรือคิดเป็นอัตราการซื้อสำเร็จ/เป้าหมายเพียง 11.90%

 

บมจ.เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น (SSP) วางงบ 200 ล้านบาท หวังซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 35.10 ล้านหุ้น ซึ่งหลังสิ้นสุดโครงการเมื่อ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา SSP ก็สามารถซื้อหุ้นคืนได้ตามเป้า 35.10 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 188.15 ล้านบาท

 

ขณะที่ บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) วางงบ 135 ล้านบาท หวังซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 15 ล้านหุ้น โดยสิ้นสุดโครงการเมื่อ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา TKN ก็สามารถซื้อหุ้นคืนได้ตามเป้า 15 ล้านหุ้น ที่ช่วงราคา 8.15 - 8.90 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่า 127.29 ล้านบาท


ด้านบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) LPN ซื้อหุ้นคืน 2 รอบ ครั้งแรกอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน ภายในวงเงินจำนวนไม่เกิน 100,000,000 บาท คิดเป็นจำนวนหุ้นไม่เกิน 45,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 1 บาท หรือไม่เกินร้อยละ 3.09 ของจำนวน หุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท โดยเป็นการซื้อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2568 ถึงวันที่ 30 กรกฏาคม พ.ศ.2568 โดย ณ วันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2568 โครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อการบริหารทางการเงิน ได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยบริษัทได้ดำเนินการซื้อหุ้นคืนรวมทั้งสิ้น 44,996,600 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 3.09 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ บริษัท รวมเป็นมูลค่าหุ้นที่ซื้อคืนทั้งสิ้น 93,127,604.00 บาท


ส่วนรอบ 2 บอร์ด LPN เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ของบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืน ไม่เกิน 50,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 1 บาท คิดเป็น ร้อยละ 3.44 ของหุ้น ที่จำหน่ายได้ทั้งหมด วงเงินสูงสุดที่จะใช้ในการซื้อหุ้นคืน ไม่เกิน 50 ล้านบาท โดยกำหนดวันที่เริ่มต้นซื้อหุ้นคืนวันที่ 05 ม.ค. 2569 และวันที่สิ้นสุดซื้อหุ้นคืนวันที่ 03 ก.ค.2569เหตุผลในการซื้อหุ้นคืน เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท และเพื่อบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทให้เกิดประโยชน์สูงสุดรวมทั้ง พื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้ส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) รวมไปถึงเพิ่มกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)




+++ปิดฉาก JKN ในตลาดหุ้นไทย+++

บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) ปิดฉากในตลาดหุ้นไทย โดยซื้อขายวันที่ (26 ธ.ค.2568 ที่ผ่านมา ) เป็นวันสุดท้าย ก่อนจะถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 27 ธ.ค.68 เนื่องจากเปิดเผยข้อมูลอันเป็นเท็จในงบการเงินประจำปี 66 และแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1 One Report) ที่มีงบการเงินเท็จ ซึ่งเข้าข่ายเป็นกรณีอันอาจมีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้น หรือการตัดสินใจลงทุน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในราคาของหลักทรัพย์ อันเป็นเหตุเพิกถอนตามข้อ 7(3) ของข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่อง การเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียน พ.ศ. 2564


ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เปิดให้ซื้อขายหุ้น JKN รอบสุดท้าย 7 วันก่อนเพิกถอนระหว่างวันที่ 18-26 ธ.ค.68 ด้วยบัญชี Cash Balance โดยผู้ซื้อต้องชำระเงินทั้งจำนวนก่อนการซื้อหุ้น ขณะเดียวกันจะไม่กำหนดราคาซื้อขายสูงสุดและต่ำสุด (Ceiling & Floor)

 

IPO เข้าตลาดฯ มาเมื่อ 30 พ.ย.60 ที่ราคา 8 บาท (พาร์ 0.50 บาท) ขึ้นไปสูงสุด 16.27 บาท ใช้เวลาแค่ 8 ปี ก่อนถูกตลท. เพิกถอน

 

ล่าสุด คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขยายผลการตรวจสอบโดยกล่าวโทษ JKN, อดีตกรรมการและอดีตผู้บริหาร, ผู้บริหาร และบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวม 12 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีส่งหรือเปิดเผยงบการเงินและแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1 One Report) ที่แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงในสาระสำคัญที่ควรแจ้ง, กรณีร่วมกันทุจริตและตกแต่งงบการเงินของ JKN ในช่วงปี 65-66 และกรณีขายหุ้น JKN โดยอาศัยข้อมูลภายใน ในช่วงปี 66 รวมทั้งมีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดกรณีทุจริตและตกแต่งงบการเงิน รวม 4 ราย พร้อมกันนี้ได้ส่งเรื่องต่อไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

 

นอกจากนี้ภายหลัง "ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ" ยกคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของ JKN ก.ล.ต.จึงมีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สิน JKN ด้วย เป็นเวลา 180 วัน


ท่ามกลางกระแสข่าว ส่วนใหญ่ ระบุว่า "จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์" และ "พิมพ์อุมา จักราจุฑาธิบดิ์" หลบหนีไปแล้ว


แต่เหตุใด ก.ล.ต. เพิ่งเทคแอคชั่น โดย ก.ล.ต. ระบุว่า ครั้งที่กล่าวโทษเดือน มิ.ย.68 ไม่พบว่า บุคคลทั้ง 2 มีพฤติการณ์หลบหนี และไม่พบพฤติการณ์สงสัยว่าจะมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน เพราะก่อนหน้านี้บุคคลทั้ง 2 มีการเดินทางเข้าออกราชอาณาจักรหลายครั้งในช่วงที่ ก.ล.ต. ตรวจสอบการกระทำความผิดดังกล่าว และมาให้ถ้อยคำ รวมถึงมีหนังสือชี้แจงต่อ ก.ล.ต. ทุกครั้งก่อนที่ ก.ล.ต. จะกล่าวโทษในเดือน มิ.ย.68 ขณะเดียวกัน "จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์" ยังปรากฏตัวในสื่อต่าง ๆ ทำให้ไม่เข้าเหตุตามมาตรา 267** แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ในการมีคำสั่งห้ามออกนอกราชอาณาจักร และมีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สินในครั้งก่อนการกล่าวโทษเพิ่มเติมในครั้งนี้

 

 


+++KEX อำลาตลาดหุ้นไทย+++


KEX หรือ บริษัท เคอีเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้อำลาตลาดหุ้นไทย โดยมีการซื้อขายวันสุดท้ายในวันที่ 14 ตุลาคม 2568 และถูกเพิกถอนอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 ตุลาคม 2568 การตัดสินใจนี้มาจากผู้ถือหุ้นใหญ่ (SF Group) ที่ต้องการเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงและผลประกอบการที่ขาดทุนต่อเนื่อง แม้จะออกจากตลาดหุ้น แต่ KEX ยังคงดำเนินธุรกิจให้บริการขนส่งพัสดุตามปกติ โดยมุ่งเน้นการเติบโตในฐานะบริษัทลูกของ SF Group

KEX ขอเพิกถอนโดยสมัครใจ โดยบริษัทได้ยื่นขอเพิกถอนหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยตนเองเนื่องจาก ตลาดขนส่งด่วนมีการแข่งขันสูง ทำให้ผลประกอบการไม่เป็นไปตามคาด และราคาหุ้นตกต่ำอย่างมากจาก IPO 28 บาท เหลือต่ำกว่า 1 บาท

การออกจากตลาดช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการบริหารงาน และได้รับประโยชน์จากการบูรณาการเครือข่ายโลจิสติกส์ เทคโนโลยี และแหล่งเงินทุนจากกลุ่ม SF

KEX ระบุว่า การออกจากตลาดฯ ไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจ พร้อมยืนยันว่ายังคงให้บริการลูกค้าและคู่ค้าเหมือนเดิม และเดินหน้าพัฒนาบริการต่อไป


ขณะที่ KEX ยังคงเป็นบริษัทมหาชน และจะดำเนินธุรกิจภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง


เส้นทางของ KEX ในตลาดหุ้น KEX เข้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2563 และเคยเป็นหุ้นดาวเด่น มีราคา IPO ที่ 28 บาท

 


+++หุ้นIPO เสื่อมมนต์ขลัง+++

ภาพรวมตลาดหุ้น IPO ของไทยในปี 2568 อยู่ในสภาวะที่ ค่อนข้างซบเซาและมีความเสี่ยงสูง ในรอบหลายปี โดยในปี 2568 หุ้นใหม่เข้าจดทะเบียนน้อยที่สุดในรอบ 14 ปี โดยตลอดทั้งปีมีบริษัทเข้าจดทะเบียน (SET และ mai) รวมเพียงประมาณ 18 บริษัทเท่านั้น ด้านมูลค่าการระดมทุนรวมในปีนี้ถือว่าต่ำที่สุดในรอบกว่า 22 ปี สะท้อนถึงการขาดความเชื่อมั่นและสภาพคล่องในตลาดทุนไทยที่ลดลง

ทั้งนี้ หุ้น IPO หลายตัวในปี 2568 เปิดตัวด้วยราคาที่ต่ำกว่าราคาจอง (IPO Price) เนื่องจากภาวะตลาดที่ผันผวนและการประเมินมูลค่า (Valuation) ที่นักลงทุนมองว่าสูงเกินไป ขณะเดียวกันนักลงทุนระมัดระวังมากขึ้นทำให้ความต้องการจองหุ้น IPO ไม่คึกคักเหมือนในอดีต

 

หุ้น IPO ที่ "ปัง" (ผลงานดีวันแรก)
HANN ราคาเปิด +28.57% และปิดวันแรก +203%
PIS ราคาเปิด +30% และปิดวันแรก +20%
MOTHER ราคาเปิด +54.26%
BKA ราคาเปิด +33.33%


หุ้น IPO ที่ "แป๊ก" (ผลงานแย่วันแรก)

WASH ราคาปิดวันแรกต่ำกว่า IPO 28.67%
MRDIYT ราคาเปิดต่ำกว่า IPO 18.02%

"ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล" ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ให้ความเห็นว่า ราคาหุ้น IPO หลายบริษัท ที่เข้าซื้อขายต่ำกว่าราคาจองซื้อ สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน โดยส่วนหนึ่งมาจากการตั้งราคาขายที่สูงเกินไป ดังนั้นมองว่า ควรทบทวนแนวทางการกำหนดราคาใหม่ พร้อมขอให้ที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) จัดทำประมาณการมูลค่าหุ้นให้เหมาะสมกับศักยภาพของแต่ละบริษัท พร้อมควรดึงบริษัทเทคโนโลยีและธุรกิจแห่งอนาคตเข้ามาจดทะเบียนในตลาดทุนไทยมากขึ้นเพื่อเพิ่มความหลากหลายและศักยภาพการเติบโตของตลาด

 

YLG สรุปภาพรวมทองคำปี 2568 สร้างสถิติใหม่ New Highกว่า 50 ครั้ง พุ่งขึ้นกว่า 70%

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่าปี 2568 ที่ผ่านมาถือเป็นปีที่ดีที่สุดในการลงทุนทองคำ หากนักลงทุนที่ติดตามความเคลื่อนไหวของทองคำอย่างใกล้ชิดจะสามารถหาจังหวะทำกำไรได้อย่างมหาศาล แม้ว่าเทรนด์ทั้งปีที่ผ่านมาทองคำจะเป็นขาขึ้นแต่ก็มีจังหวะย่อต่อเพื่อให้ใช้เป็นจุดเข้าซื้ออยู่หลายครั้ง หากพิจารณาจากข้อมูลพบว่าต้นปี 2568 ที่ผ่านมาราคาทองคำแท่งในตลาดโลกเปิดที่ 2,632 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่งในประเทศเปิดตลาดเมื่อต้นปีที่ 42,650 บาทต่อบาททองคำ อย่างไรก็ดีหลังจากนั้นราคาทองคำสร้างปรากฏการณ์ทำลายสถิติสูงสุดใหม่ (All-Time High) อย่างต่อเนื่อง จนสร้างความกังวลให้นักลงทุนว่าราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นไปอยู่ระดับสูงเกินไปแล้ว แต่หลังจากนั้นราคาก็ยังเดินหน้าสร้างสถิติใหม่ต่อไปอีกหลายครั้ง

โดยมีการเปลี่ยนแปลงราคาที่สำคัญๆในช่วงปี 2568 ดังนี้
- ม.ค. 2568 ราคาทองคำแท่งในตลาดโลกเปิดที่ 2,632 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่งในประเทศเปิดตลาดเมื่อต้นปีที่ 42,650 บาทต่อบาททองคำ
- เม.ย. 2568 ราคาทองคำพุ่งทะลุ 3,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองคำในประเทศทะลุ 50,000 บาททำ บาทต่อบาททองคำ โดยราคาทองคำทำ New High ไปแล้ว 19 ครั้งในช่วง 4 เดือนแรก
- ต.ค. 2568 ราคาทะลุ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือไปอยู่ประมาณ 61,000 บาทต่อบาททองคำ ทำ New High สะสมรวมกว่า 40 ครั้งใน 10 เดือน
- ธ.ค. 2568 (ณ วันที่ 26 ธ.ค.) ราคาทองคำยังพุ่งแรงส่งท้ายปีไปแตะที่ 4,531 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือคิดเป็นประมาณ 66,200 บาทต่อบาททองคำ รวมทั้งปีทำ New High สะสมรวมกว่า 50 ครั้งในปีเดียว มากกว่าปี 2567 ที่ทั้งปีทำ New High เกือบ 40 ครั้ง


สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนให้ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปีแบบที่เรียกได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้ มาจากปัจจัยหลักสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่
1. ประเด็นดอกเบี้ยขาลงที่มีความชัดเจนจากภาวะเศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วง
2. การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อลดความเสี่ยงหลายด้านทั้งด้านความมั่นคงและรองรับ "De-dollarization" (การลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์)
3. การโยกเงินจากตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนต่ำมาสู่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง
4. การเก็บเงินไว้ในสินทรัพย์ปลอดภัย เนื่องจากทั่วโลกยังมีความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์

จากปัจจัยทั้งหมดที่เป็นตัวผลักดันให้ทองคำทยานสู่เป้าหมายใหม่อย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมานี้ จะยังขับเคลื่อนให้ทองคำในปี 2569 พุ่งสู่เป้าหมายใหม่ที่ต้องจับตามองอีกหนึ่งปี โดยในปี 2569 YLG ให้ราคาเป้าหมายทองคำไว้ที่ 4,721-4,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 69,500-72,150 บาทต่อบาททองคำ (คำนวณจากค่าเงินบาท 31.06 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ)

 

---จบ---

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

HotNews: สรุปข่าว ที่สุดของปี68

ทีมข่าวหุ้นอินไซด์ สรุปข่าวในแวดวงตลาดทุน ที่สุดของปี 2568 มีหลากหลายเรื่องราวสีสัน ตลอดทั้งปี คุณผู้อ่านโปรดติดตาม..

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : บุกขุมทรัพย์ PCE

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : บุกขุมทรัพย์ PCE

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้