สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(28 ธันวาคม 2568)---------KEY SUMMARY
-------------------------------
ในปี 2026 ภาคธุรกิจยังคงเผชิญกับความท้าทายรอบด้านจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในมิติต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางการเติบโตของภาคธุรกิจ
SCB EIC ได้วิเคราะห์ 5 ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองและคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตของภาคธุรกิจในปี 2026 และในระยะกลาง ประกอบด้วย 1) ความผันผวนในห่วงโซ่อุปทานการค้าโลก จากผลกระทบของปัญหาความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งจะกดดันการเติบโตของรายได้และ Margin ของภาคธุรกิจ 2) ปัญหาความเปราะบางของกำลังซื้อภาคครัวเรือน ซึ่งจะส่งผลให้บางธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องพึ่งพาสินเชื่อเพื่อการบริโภคและสินค้าฟุ่มเฟือยฟื้นตัวได้ยากขึ้น 3) ข้อจำกัดจากความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหรือขึ้นกับงบลงทุนของภาครัฐ จะมีความไม่แน่นอนของรายได้และอาจกระทบต่อแผนการลงทุนในอนาคต 4) ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ทั้งจากในประเทศด้วยกันเองและจากต่างประเทศ ที่ทำให้ต้องเร่งปรับตัวเพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และ 5) การเปลี่ยนแปลงของ Mega trends ที่เร็วและมีแรงกดดันมากขึ้น อาทิ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ผลกระทบจาก Technology disruption รวมถึงประเด็นด้าน ESG ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางการปรับตัวของธุรกิจในอนาคต
1) การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลกกระทบต่อธุรกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ท่ามกลางความผันผวนทางการค้าที่รุนแรงขึ้น กอปรกับความไม่แน่นอนของทิศทางการลงทุน
ความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์และมาตรการกีดกันทางการค้ากำลังกดดันความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากตลาดส่งออกในสัดส่วนที่สูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ถุงมือยาง และสิ่งทอ
ซึ่งมีตลาดสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าหลัก ธุรกิจเหล่านี้มีแนวโน้มได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีนำเข้า ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์ แม้สัดส่วนการส่งออกจะต่ำกว่า แต่ยังถูกท้าทายจากความได้เปรียบเชิงภาษีของคู่แข่ง
ในกลุ่มความตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ เม็กซิโก และแคนาดา (USMCA) นอกจากนี้ ธุรกิจเกี่ยวเนื่องและภาคบริการก็เสี่ยงจะเผชิญผลกระทบทางอ้อมจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เช่น กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม โลจิสติกส์ และโรงแรม ส่วนธุรกิจที่พึ่งพาตลาดในประเทศ แม้ผลกระทบทางตรงจะจำกัด แต่ก็ได้รับแรงสั่นสะเทือนจากห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ การจ้างงานที่อาจชะลอลง ตลอดจนปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจ เช่น เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย และความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อและต้นทุนทางการเงิน ขณะเดียวกัน ทิศทางการลงทุนจากต่างชาติเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตา เพราะถือเป็นทั้งโจทย์ความท้าทายและโอกาสสำหรับภาคธุรกิจไทยในการเชื่อมต่อและดึงดูดการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานโลกในอนาคต
2) ความเปราะบางของกำลังซื้อครัวเรือนที่ฟื้นช้า หนี้ครัวเรือนที่ทรงตัวในระดับสูง ซึ่งจะกดดันการฟื้นตัวของบางธุรกิจ โดยเฉพาะอสังหาฯ และยานยนต์
ความเปราะบางของภาคครัวเรือนจากกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวช้า ประกอบกับข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อที่ยังมีแนวโน้มคงอยู่ต่อเนื่องในปี 2026 ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของบางกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะอสังหาฯ ที่อยู่อาศัยและสินค้าคงทนอย่างรถยนต์ ที่จะยังคงฟื้นได้ช้าและยังต้องเผชิญแรงกดดันต่อเนื่องในระยะข้างหน้า สะท้อนได้จากผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่ยังคงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเปิดตัวโครงการใหม่ อย่างไรก็ดี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการจำเป็น เช่น ค้าส่งค้าปลีกในกลุ่ม Grocery อาหารและเครื่องดื่ม และคมนาคม ยังเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ สะท้อนจากรายได้ของกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยมีผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก
3) ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายภาครัฐจะกระทบธุรกิจกลุ่มที่พึ่งพานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ/งบลงทุนภาครัฐ
หลังจากการประกาศยุบสภาในเดือน ธ.ค. 2025 ส่งผลให้ในปี 2026 ยังมีความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งยังต้องจับตาผลการเลือกตั้ง และการจัดทำ พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2027 ซึ่งหากมีความล่าช้าไม่มาก ก็จะบรรเทาความเสี่ยงของการหยุดชะงักหรือความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณลงได้ อย่างไรก็ดี หากมีความล่าช้าออกไปมาก คาดว่าจะกระทบต่อการกระจายเม็ดเงินสู่เศรษฐกิจตั้งแต่ ต.ค. 2026 จะส่งผลต่อธุรกิจที่พึ่งพาการลงทุนภาครัฐ เช่น โครงสร้างพื้นฐานและก่อสร้าง นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังมีส่วนบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ กระทบแผนการลงทุน ขณะที่หนี้สาธารณะมีแนวโน้มแตะ 70% หากไม่ปรับแผนการคลัง จะจำกัดการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และการอุดหนุนในบางอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดี คาดว่ารัฐบาลชุดใหม่จะยังคงมุ่งเน้นยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจจาก New engine of growth ซึ่งจะเป็นโอกาสสำหรับบางกลุ่มธุรกิจ เช่น เกษตรสมัยใหม่และอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต เทคโนโลยีชีวภาพ รวมทั้งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative economy)
4) ธุรกิจไทยเผชิญการแข่งขันรุนแรงทั้งในประเทศและตลาดโลก แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายธุรกิจยังมีความแข็งแกร่ง ขณะที่ SME เปราะบางมากขึ้นและยังถูกซ้ำเติมจากผู้เล่นต่างชาติมากขึ้น แม้ภาพรวมการแข่งขันภายในประเทศของภาคธุรกิจจะรุนแรงมากขึ้น แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ในหลายธุรกิจยังคงมีความสามารถในการแข่งขันที่สูง และมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากกว่า SMEs จากฐานลูกค้ากว้าง ต้นทุนต่ำ และการเข้าถึงเงินทุนและเทคโนโลยี ขณะที่ SMEs สูญเสียส่วนแบ่งรายได้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น โรงแรม, ค้าปลีก, อาหารและเครื่องดื่ม และยานยนต์ นอกจากนี้ ปัญหาการทะลักเข้ามาของสินค้านำเข้าจากจีน เช่น กลุ่มเหล็ก, เครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนยานยนต์ ยังคงกดดันภาคการผลิตไทยให้อัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน การแข่งขันในตลาดโลกก็มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น ทั้งด้านราคา คุณภาพ และแบรนด์ สะท้อนได้จากอัตรากำไรที่ลดลง ทั้งนี้แม้ว่าผู้ประกอบการรายใหญ่จะมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงกว่า SMEs หลายด้าน แต่ในระยะ 1-3 ปีที่ผ่านมา จะเริ่มเห็นการปรับตัวลดลงของอัตรากำไรของผู้ประกอบการรายใหญ่ในหลายอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, ค้าส่งค้าปลีก, อิเล็กทรอนิกส์, คมนาคมขนส่ง, อาหารและเครื่องดื่ม และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหากไทยไม่เร่งลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่า จะมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียความสามารถแข่งขันและเสี่ยงปิดกิจการเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะ SME
5) ธุรกิจไทยเผชิญการเปลี่ยนแปลงของ Mega trends ที่เร็วและกดดันมากขึ้น ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร การพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงประเด็นด้านความยั่งยืน โครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัย สร้างโอกาสใหม่ในธุรกิจบริการสุขภาพ ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ และผลิตภัณฑ์การเงินเฉพาะกลุ่ม ขณะเดียวกัน พฤติกรรมคนรุ่นใหม่ที่เน้นความยั่งยืนและสุขภาพ เปิดโอกาสให้ธุรกิจอาหารทางเลือก และบริการรองรับไลฟ์สไตล์อิสระยังเติบโตได้ดี ขณะที่การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีขั้นสูงทำให้เกิดโมเดลธุรกิจใหม่ อย่างเช่น Subscription หรือ AI solutions และส่งผลให้ธุรกิจดั้งเดิมต้องเร่งลงทุน ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนที่สูง นอกจากนี้ การเร่งเป้าหมาย Net zero ของไทยจากปี 2065 มาเป็นปี 2050 จะเพิ่มแรงกดดันต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ทั้งนี้ไม่เพียงแต่ความพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น (Climate mitigation) แต่ภาคธุรกิจยังมีแรงกดดันในการต้องเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วย (Climate adaptation) อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งของความท้าทาย ก็ยังเปิดโอกาสให้หลายธุรกิจ อาทิ ธุรกิจในห่วงโซ่พลังงานหมุนเวียน, ธุรกิจจัดการของเสีย และวัสดุฐานชีวภาพ ซึ่งหากภาคธุรกิจต่าง ๆ ไม่เร่งปรับตัวก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะสูญเสียความสามารถแข่งขันในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำแม้หลายธุรกิจที่เผชิญความเสี่ยงจะเป็นกลุ่มที่ต้องระมัดระวัง แต่บาง Subsegment สามารถเติบโตได้หากสามารถปรับตัวให้สอดรับ Mega trends
ธุรกิจที่ปรับตัวช้าหรือไม่พร้อมตอบโจทย์โลกยุคใหม่มีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและถูกตัดออกจากห่วงโซ่การผลิตโลก ตัวอย่างเช่น ธุรกิจที่ไม่สอดรับโครงสร้างประชากรใหม่ ไม่ปรับตัวตาม Mega trends หรือแนวทางความยั่งยืน ธุรกิจที่ไม่มีการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจเหล่านี้มีแนวโน้มกลายเป็น Sunset segment รายได้และมาร์จินลดลงต่อเนื่อง และเสี่ยงทยอยหายไปจากตลาด หากไม่เร่งปรับโมเดลธุรกิจเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและตอบโจทย์ความต้องการของโลกยุคใหม่ ขณะที่บาง Subsegment หากสามารถปรับตัวให้สอดรับ Mega trends ได้ จะสามารถคว้าโอกาสเติบโตต่อได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ตัวอย่างเช่น กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่แม้ว่าจะเผชิญการแข่งขันที่รุนแรง แต่หากสามารถผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์เทรนด์โลก อย่างเช่นด้าน AI ก็ยังมีโอกาสเติบโตได้ หรือกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร ที่ยังมีโอกาสหากสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง อย่างเช่น ผลิตสินค้าเกษตรที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน Smart agriculture หรือผลิตภัณฑ์อาหารที่เป็น Functional food และ Medical food เป็นต้น
ผู้ประกอบการสามารถใช้กลยุทธ์ READY เพื่อรับมือความท้าทายและคว้าโอกาสใหม่
SCB EIC เสนอกลยุทธ์การปรับตัวของธุรกิจท่ามกลางความเสี่ยงรอบด้านและคว้าโอกาสใหม่ที่รออยู่ข้างหน้า ดังนี้ R – Repositioning : การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยพัฒนาสินค้า/บริการให้มีมูลค่าเพิ่ม เช่น มีนวัตกรรมและมีคุณภาพสูงเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ตลอดจนตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ขณะเดียวกัน ต้องมีการกระจายตลาดและมองหาตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพเพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป และลดความเสี่ยงจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานสะดุด นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรประเมินศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจให้สอดคล้องกับ Mega trends และ Supply chain ที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนปรับกระบวนการทางธุรกิจ ได้แก่ รูปแบบการทำงานแบบ Agile management ให้ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง หรือการนำแนวคิด Lean operations ที่เน้นเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความสูญเสีย มาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ
E – ESG principle : การวาง ESG roadmap ให้ชัดเจนและผนวกเป้าหมายกับกลยุทธ์องค์กร รวมไปถึงการยกระดับสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับ Circular economy และ Low-carbon Lifestyle โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจและลดการปล่อยคาร์บอน ขณะเดียวกัน ยังต้องปรับตัวให้สอดรับกับกฎระเบียบใหม่ที่เกี่ยวกับ ESG ทั้งนี้นอกจากการวาง Roadmap ขององค์กรไปสู่ความยั่งยืนแล้ว หากผู้ประกอบการสามารถปรับตัวให้สอดรับกับเทรนด์ความยั่งยืนได้แล้ว ก็สามารถคว้าโอกาสหันไปเจาะตลาดที่ให้ความสำคัญกับประเด็นความยั่งยืนได้มากขึ้นด้วย อาทิ ตลาด EU ที่มีการบังคับใช้มาตรการกีดกันการค้าที่เข้มงวดสำหรับสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนสูง ๆ หรือลูกค้ากลุ่ม Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม
A – Alliance : การสร้างพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทานจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและลดต้นทุน โดยสามารถร่วมกันพัฒนาสินค้า จับกลุ่มเป็นคลัสเตอร์เพื่อขยายตลาดและเพิ่มอำนาจต่อรอง หรือสร้างแพลตฟอร์มใหม่เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ที่ยังมีข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจ การสร้างพันธมิตรจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังอาจหาพันธมิตรหรือมีการควบรวมกิจการเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ รวมถึงการร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ใหม่ ๆ การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจไม่เพียงช่วยเพิ่มยอดขายและพัฒนานวัตกรรม แต่ยังมีส่วนช่วยลดต้นทุนผ่านการใช้ทรัพยากรหรือระบบโลจิสติกส์ รวมถึงการทำการตลาดร่วมกัน ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลง และมีเงินทุนเหลือสำหรับการลงทุนเชิงกลยุทธ์ด้านอื่น ๆ ในอนาคต
D – Digitalization : ลงทุนนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ เช่น AI, ระบบ Automation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
โดยผู้ประกอบการควรเชื่อมโยงตัวชี้วัดด้านดิจิทัลเข้ากับเป้าหมายกลยุทธ์ขององค์กร อีกทั้ง อาจใช้ประโยชน์จาก Digital channel มากขึ้น เช่น ใช้ Omni-channel เพื่อเชื่อมโยงการบริการทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และเข้าใจลูกค้าให้ลึกและละเอียดขึ้นกว่าเดิม ซึ่งข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้จะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถนำไปวิเคราะห์ต่อยอด เพื่อออกแบบพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงทำโพรโมชันที่ตอบโจทย์และตรงใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น สอดรับกับเทรนด์การสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล (Personalization) และมีส่วนช่วยสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ (Brand loyalty)
Y – Youthfulness : สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีแนวคิดแบบคนรุ่นใหม่ มีความกระตือรือร้น คล่องตัวสูง และพร้อมปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ เปิดรับความคิดสร้างสรรค์ภายในองค์กรเพื่อนำไปสู่การพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงจัดทำแผน Reskill/Upskill พนักงาน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี อีกทั้ง อาจมีการ Diversify ไปยังธุรกิจอื่น ๆ เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากช่องทางเดียว โดยอาจสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อขยายไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ และใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีในการสร้างรายได้ประจำเพิ่มเติม
ในขณะที่ผู้ประกอบการกำลังเร่งปรับตัว ภาครัฐยังมีส่วนสำคัญที่จะช่วยผลักดันและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ในการผลักดันให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนภาคธุรกิจโดยดำเนินมาตรการเชิงรุก โดย ระยะสั้น ต้องสร้างความเชื่อมั่นผ่านนโยบายที่ชัดเจน รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ เสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน ผลักดันการเจรจาการค้าระหว่างประเทศและเปิดตลาดใหม่ สนับสนุนผู้ผลิตรายย่อย พร้อมเพิ่มสภาพคล่อง ลดต้นทุนทางการเงิน และปรับโครงสร้างหนี้ SMEs เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนง่ายขึ้น รวมถึงยกระดับมาตรการความปลอดภัยดิจิทัลและการท่องเที่ยวเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคและนักลงทุน สำหรับ ระยะกลาง-ยาว ควรมุ่งเน้นผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์และดิจิทัล ผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์เทรนด์โลก ขณะเดียวกัน มุ่งส่งเสริมให้อุตสาหกรรมดั้งเดิมที่ยังมีศักยภาพ แต่อาจประสบปัญหาเชิงโครงสร้าง สามารถพลิกฟื้นและอยู่รอดได้ในสนามการค้าที่แข่งขันรุนแรง โดยใช้เครื่องมือสำคัญ อาทิ การสนับสนุนยกระดับนวัตกรรม ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี และการพัฒนาทักษะใหม่ การปรับปรุงนโยบายการลงทุน การปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบต่าง ๆ และมุ่งเน้นขจัดอุปสรรคสำคัญในการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็งและอย่างยั่งยืนในระยะยาว
สารบัญ
หน้า
จับตามองประเด็นที่จะกำหนดทิศทางการเติบโตของภาคธุรกิจในปี 2026 และในระยะกลาง 7
ผู้ประกอบการจะมีกลยุทธ์รับมือกับความท้าทายต่าง ๆ และคว้าโอกาสทางธุรกิจได้อย่างไร? 19
ภาครัฐจะสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจได้อย่างไร? 23
แนวโน้มภาวะธุรกิจรายอุตสาหกรรม
ธุรกิจเกษตร 26
ธุรกิจผลิตอาหารและเครื่องดื่ม 27
ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ 29
ธุรกิจยานยนต์ 31
ธุรกิจพลังงาน 32
ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน 33
ธุรกิจผลิตไฟฟ้า 34
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 35
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง 36
ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง 37
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 37
ธุรกิจคลังสินค้า 38
ธุรกิจท่องเที่ยว 39
ธุรกิจโรงแรม 40
ธุรกิจบริการอาหาร 41
ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน 42
ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก 44
ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ 46
ธุรกิจให้บริการโทรคมนาคม 48
จับตามองประเด็นที่จะกำหนดทิศทางการเติบโตของภาคธุรกิจ
ในปี 2026 และในระยะกลาง
จับตามองประเด็นที่จะกำหนดทิศทางการเติบโตของภาคธุรกิจในปี 2026 และในระยะกลางในภาวะที่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยเผชิญความไม่แน่นอนสูงขึ้น ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศ
ภาคธุรกิจจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงรอบด้านที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในหลายมิติ ซึ่งส่งผลให้ภาพรวมการดำเนินธุรกิจมีแนวโน้มผันผวนและชะลอตัวมากขึ้น อย่างไรก็ดี ท่ามกลางวิกฤติยังมีโอกาสสำหรับธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การสร้างความยืดหยุ่นและการวางกลยุทธ์เชิงรุกจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจไม่เพียงแค่ “อยู่รอด” แต่ยังสามารถ “เติบโต” ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
ในบทวิเคราะห์นี้ SCB EIC จะเจาะลึก 5 ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองและคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของภาคธุรกิจในปี 2026 และระยะกลาง (2027-2029) พร้อมทั้งเสนอกลยุทธ์การปรับตัวของผู้ประกอบการ โดย 5 ประเด็นสำคัญประกอบด้วย 1) การปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานโลก จากผลกระทบของปัญหาความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งจะกดดันการเติบโตของรายได้และ Margin ของภาคธุรกิจมากขึ้น 2) ปัญหาความเปราะบางของกำลังซื้อภาคครัวเรือน ซึ่งจะส่งผลให้บางธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องพึ่งพาสินเชื่อเพื่อการบริโภคฟื้นตัวได้ยากขึ้น 3) ความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐเป็นข้อจำกัดการเติบโตของธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหรือขึ้นกับงบลงทุนของภาครัฐ ที่จะมีความไม่แน่นอนของรายได้และอาจกระทบต่อแผนการลงทุนในอนาคต 4) ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ทั้งจากในประเทศด้วยกันเองและจากต่างประเทศ ที่ทำให้ธุรกิจต้องเร่งปรับตัวสร้างความแตกต่างและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และ 5) การเปลี่ยนแปลงของ Mega trends ที่เร็วและมีแรงกดดันมากขึ้น อาทิ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ผลกระทบจาก Technology disruption รวมถึงประเด็นด้าน ESG ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการปรับตัวของธุรกิจในอนาคต
1) การปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานโลก
ไทยในฐานะประเทศเศรษฐกิจแบบเปิด (Open economy) และมีคู่ค้าอันดับต้น ๆ อย่างสหรัฐฯ และจีน ย่อมหลีกเลี่ยงผลกระทบจากนโยบายการค้าและความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจได้ยาก โครงสร้างเศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนโดยภาคธุรกิจกว่า 3.3 ล้านแห่งทั่วประเทศ โดยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในภาคการค้า ภาคบริการ และภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ดี กลไกหลักที่เชื่อมโยงไทยเข้ากับเศรษฐกิจโลกและมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างรายได้ให้ประเทศ คือ ภาคการผลิตและการส่งออกสินค้าและบริการ ซึ่งสร้างมูลค่าเศรษฐกิจรวมกว่า
2.5 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 60% ของ GDP ในช่วงปี 2019–2024 อนึ่ง ความผันผวนของกระแสการค้าโลกที่เกิดจากนโยบายการค้าและความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออกโดยตรงเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบทางอ้อมและมีแนวโน้มลุกลามไปยังภาคส่วนอื่น ๆ ผ่านกลไกทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกัน ทั้งนี้ ระดับความเสี่ยงที่ภาคธุรกิจแต่ละประเภทเผชิญจะแตกต่างกันไปตามสัดส่วนการพึ่งพารายได้จากต่างประเทศ
โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก (รูปที่ 1) ดังนี้
1) ธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากต่างประเทศในสัดส่วนสูง (Export-oriented industry) หรือมีรายได้จากต่างประเทศมากกว่า 60% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งอุตสาหกรรมหลักในกลุ่มนี้ เช่น ถุงมือยาง, อาหารทะเลแปรรูป, สิ่งทอ, เครื่องนุ่งห่ม, เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนใหญ่มีคู่ค้าหลักคือตลาดสหรัฐฯ จึงมีแนวโน้มได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าที่จะทำให้ต้นทุนการค้าเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน การชะลอตัวของอุปสงค์ในตลาดสหรัฐฯ ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อการส่งออก นอกจากนี้ ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น นิคมอุตสาหกรรม, การขนส่งทางอากาศ และโรงแรม ยังมีความเสี่ยงได้รับผลกระทบทางอ้อมจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอการลงทุนหรือแผนการเดินทาง ส่งผลต่อรายได้ของธุรกิจในห่วงโซ่เศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกัน
2) ธุรกิจแบบผสม (Dual-oriented industry) หรืออุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนส่งออกหรือรายได้จากต่างประเทศ
อยู่ระหว่าง 30%–60% ของรายได้รวม อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์, การผลิตเนื้อสัตว์, อาหารสัตว์ รวมถึงธุรกิจขนส่งและคลังสินค้า ธุรกิจในกลุ่มนี้มีแนวโน้มได้รับผลกระทบทางอ้อมจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจาก
ความไม่แน่นอนของทิศทางการค้าโลก ทั้งนี้อุตสาหกรรมที่ควรจับตาเป็นพิเศษ ได้แก่ 1) ผู้ผลิตและส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งเผชิญการขึ้นภาษีนำเข้าแบบเฉพาะเจาะจงของสหรัฐฯ สูงถึง 25% ขณะเดียวกัน ก็ต้องแข่งขันกับเม็กซิโก
ซึ่งเป็นสมาชิก USMCA และยังได้รับสิทธิยกเว้นภาษีนำเข้า ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยถูกท้าทายมากขึ้น และ 2) ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์, มอเตอร์ไฟฟ้า และหม้อแปลงไฟฟ้า ซึ่งมีสัดส่วนการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก ทำให้มีแนวโน้มเผชิญผลกระทบที่รุนแรงกว่าอุตสาหกรรมอื่นจากมาตรการภาษีนำเข้าที่เข้มงวดขึ้น
3) ธุรกิจที่เน้นตลาดในประเทศ (Domestic-oriented industry) ธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากต่างประเทศในสัดส่วนต่ำกว่า 30% ของรายได้ทั้งหมด แม้ธุรกิจเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของการค้าโลกไม่มากนัก แต่ผลกระทบทางอ้อมที่ส่งผ่านระบบเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยช่องทางสำคัญของการส่งผ่านผลกระทบ ได้แก่ 1) ห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจที่ผลิตวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนให้แก่ผู้ส่งออก เช่น เหล็ก, วัสดุก่อสร้าง, พลาสติก และบรรจุภัณฑ์ อาจเผชิญคำสั่งซื้อที่ลดลง และ 2) การจ้างงานในภาคส่งออก โดยเมื่อการผลิตเพื่อการส่งออกชะลอตัว ผู้ประกอบการอาจจำเป็นต้องลดการจ้างงานหรือปรับลดชั่วโมงทำงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานจำนวนมาก เช่น อาหารแปรรูป, เสื้อผ้า, เฟอร์นิเจอร์ และภาคท่องเที่ยว การลดลงของรายได้แรงงานในกลุ่มนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ดังนั้น ผลที่ตามมาคือแรงกระเพื่อมสู่ภาคการค้า ภาคบริการ และภาคการผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
ในวงกว้าง และบั่นทอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายในประเทศในระยะต่อไป
เมื่อแต่ละประเภทธุรกิจเผชิญผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งทางตรงและทางอ้อมในรูปแบบที่แตกต่างกัน สิ่งสำคัญที่ภาคธุรกิจไทยต้องตระหนักคือ ความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ซึ่งกำลังถูกท้าทายอย่างรุนแรงจากทั้งความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์และทิศทางนโยบายการค้าระหว่างประเทศ อุตสาหกรรมบางกลุ่มอาจสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ให้แก่ประเทศคู่แข่งที่ได้เปรียบด้านต้นทุน ขณะที่บางอุตสาหกรรม แม้ยังไม่เผชิญผลกระทบโดยตรง แต่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ เนื่องจากความผันผวนของตลาดโลกจะทวีความรุนแรงและยืดเยื้อในระยะยาว ดังนั้น แม้ไทยจะมีจุดแข็งด้านโครงสร้างการผลิตและความเชี่ยวชาญในหลายอุตสาหกรรม หากไม่สามารถเร่งยกระดับมาตรฐาน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือขยายฐานตลาดใหม่ ก็มีความเสี่ยงที่ความได้เปรียบทางการแข่งขันจะถูกบั่นทอน และอาจถูกแทนที่โดยผู้ผลิตจากประเทศเกิดใหม่ที่มีต้นทุนต่ำกว่าในอนาคต ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ประกอบกับการใช้นโยบายกีดกันทางการค้า (Protectionism) ของหลายประเทศส่งผลให้กระแสการลงทุนทั่วโลกต้องปรับเปลี่ยนเพื่อรับมือกับความเสี่ยง ซึ่งความไม่แน่นอนนี้ ยังมีแนวโน้มเข้ามาเปลี่ยนทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในไทยด้วยเช่นกัน
โดยไทยอาจได้รับโอกาสจากการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนที่ต้องการกระจายฐานการผลิตออกจากจีนเพื่อลดความเสี่ยงจากความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อและเข้มข้นยิ่งขึ้น รวมถึงการเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติที่หันมาจับตลาดอาเซียนที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ในทางกลับกัน ไทยอาจเผชิญกับความเสี่ยงจากการปรับแผนชะลอการลงทุนออกไปของนักลงทุนบางส่วนจากความวิตกต่อการขยายวงของการกีดกันทางการค้าในหลายประเทศทั่วโลก อย่างไรก็ดี ในภาพรวมยังเห็นสัญญาณบวกของนักลงทุนต่างชาติที่สนใจเข้ามาลงทุนในไทยต่อเนื่องสะท้อนจากมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2025 ที่ยังเติบโตมาอยู่ที่ 1.37 ล้านล้านบาท หรือราว 94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งการขอรับการส่งเสริมลงทุนส่วนใหญ่กระจุกตัวที่อุตสาหกรรมดิจิทัล, ตามด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, สาธารณูปโภค, เครื่องจักรและยานยนต์ และโลหะและวัสดุ
การเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติส่งผลต่อธุรกิจในไทยทั้งในเชิงบวกและความเสี่ยง โดยกลุ่มธุรกิจที่มีโอกาสได้รับอานิสงส์อย่างเด่นชัด ได้แก่ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมจากความต้องการใช้พื้นที่ในการก่อตั้งโรงงานที่เพิ่มขึ้น, กลุ่มผู้ผลิต
ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Supply chain ของอุตสาหกรรมที่เข้ามาลงทุน เช่น การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์, การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มธุรกิจบริการสนับสนุนอย่างเช่นธุรกิจโทรคมนาคม และการผลิตพลังงานไฟฟ้า อย่างไรก็ดี การเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติอาจสร้างแรงกดดันให้กับธุรกิจบางกลุ่มที่ยังปรับตัวไม่ทันโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีที่ต้องพัฒนาให้สอดรับกับอุตสาหกรรมขั้นสูงที่จะเข้ามามากขึ้น
2) ความเปราะบางของกำลังซื้อภาคครัวเรือน
ภาคครัวเรือนมีความเปราะบางจากกำลังซื้อที่ฟื้นตัวช้า และหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 กดดันการฟื้นตัวของธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ผู้บริโภคยังต้องพึ่งพาการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2025 สัดส่วนเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 86.8% แม้มีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2023 แต่สาเหตุหลักเป็นผลมาจากยอดคงค้างเงินให้กู้ยืมที่ขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจ จากความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังเติบโตในอัตราต่ำ สะท้อนความเปราะบางของภาคครัวเรือนจากกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวช้า นอกจากนี้ สัดส่วน NPL สินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลที่ปรับเพิ่มขึ้นและยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง ทั้งสินเชื่อที่อยู่อาศัย รถยนต์ และบัตรเครดิต เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ความเปราะบางของภาคครัวเรือนจากกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวช้า ประกอบกับข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่ยังมีแนวโน้มคงอยู่ต่อเนื่องในปี 2026 ส่งผลกระทบต่อการบริโภคครัวเรือน ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนให้เกิดกำลังซื้อในธุรกิจต่าง ๆ ตามมา โดยเฉพาะการซื้อที่อยู่อาศัย และสินค้าคงทนอย่างรถยนต์ ที่ยังต้องพึ่งพาการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินเป็นสำคัญ ส่งผลให้ยอดขายที่อยู่อาศัย และรถยนต์ในปี 2026 รวมถึงการฟื้นตัวของธุรกิจในระยะข้างหน้ายังเผชิญความท้าทายสูง
อย่างไรก็ดี ธุรกิจในกลุ่มสินค้าและบริการที่มีความจำเป็นยังเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ สะท้อนจากการฟื้นตัวของรายได้ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลรายได้ธุรกิจล่าสุดในปี 2024 สะท้อนการฟื้นตัวจากช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่แตกต่างกันของแต่ละอุตสาหกรรม โดยพบว่า อุตสาหกรรมที่รายได้ธุรกิจในปี 2024 ยังไม่สามารถฟื้นตัวจากช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ และยานยนต์และชิ้นส่วน ขณะที่อุตสาหกรรมที่มีการฟื้นตัวของรายได้ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นสินค้าและบริการที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ได้แก่ ค้าส่งค้าปลีก, ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม, บริการอาหารและเครื่องดื่ม และคมนาคมขนส่ง โดยการฟื้นตัวของรายได้ธุรกิจส่วนใหญ่ยังนำโดยกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นหลัก
3) ความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐเป็นข้อจำกัดการเติบโตของธุรกิจ
ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายภาครัฐกระทบธุรกิจกลุ่มที่พึ่งพานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ/งบลงทุนภาครัฐ หลังจากการประกาศยุบสภาในเดือน ธ.ค. 2025 ส่งผลให้ในปี 2026 ยังมีความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งยังต้องจับตาผลการเลือกตั้ง และการจัดทำ พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2027 ซึ่งหากมีความล่าช้าไม่มากนัก ก็จะบรรเทาความเสี่ยงของปัญหาการหยุดชะงักหรือความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณลงได้บางส่วน อย่างไรก็ดี หากมีความล่าช้าออกไปมาก คาดว่าจะกระทบเม็ดเงินที่จะกระจายสู่ภาคส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2026 ซึ่งเริ่มปีงบประมาณใหม่เป็นต้นไป และจะกระทบต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ/งบลงทุนจากภาครัฐเป็นหลัก เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การก่อสร้างโครงการภาครัฐ นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ยังส่งผลกระทบให้ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจลดลง ทั้งบริษัทไทย และบริษัทต่างชาติ และอาจชะลอแผนการลงทุนในอนาคตตามมาอีกด้วย ทั้งนี้ยังต้องจับตาผลการเลือกตั้ง และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ที่จะส่งผลต่อความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย หรือมาตรการต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการแล้ว รวมถึงอาจมีการดำเนินนโยบาย หรือมาตรการใหม่ ๆ ออกมาจากรัฐบาลใหม่เพิ่มเติมในปี 2026 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป
สำหรับในระยะข้างหน้า ที่มีการประเมินหนี้สาธารณะอาจแตะเพดาน 70% หากไม่มีทบทวนแผนการคลังให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อต่ำลง จะเป็นข้อจำกัดในการดำเนินนโยบายการคลัง
ส่งผลต่องบกระตุ้นเศรษฐกิจและการอุดหนุนในบางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพิงการใช้จ่ายภาครัฐ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การก่อสร้างโครงการภาครัฐ
อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นของรัฐบาลชุดใหม่ที่คาดว่าน่าจะต้องเร่งดำเนินการออกมาภายหลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ โดยในปี 2025 ได้มีการดำเนินมาตรการ“โครงการคนละครึ่งพลัส” ในช่วงปลายปี 2025 (พ.ย.–ธ.ค.) วงเงินสูงสุด 44,000 ล้านบาท ครอบคลุมประชาชนที่ลงทะเบียน 20 ล้านสิทธิ โดยรัฐบาลจะช่วยจ่าย 50% ประชาชนจ่าย 50% โดยจำกัดวงเงินตามสิทธิที่ไม่เกิน 200 บาท/วัน (กลุ่มผู้ยื่นภาษีได้วงเงินรวม 2,400 บาท และประชาชนทั่วไปได้ 2,000 บาท ตลอดระยะเวลาโครงการ) ทั้งนี้มาตรการ “Co-payment ดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่ออัดฉีดกำลังซื้อผู้บริโภคในประเทศและกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนในช่วงปลายปี โดยมุ่งช่วยเหลือธุรกิจรายย่อย วิสาหกิจชุมชน และนิติบุคคลขนาดเล็กที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ซึ่งหากในปี 2026 รัฐบาลชุดใหม่มีการออกมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในระยะสั้นได้อย่างต่อเนื่อง ก็จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคและการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งจะเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยได้
แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองยังมีความไม่แน่นอน แต่คาดว่านโยบายของรัฐบาลชุดใหม่น่าจะยังเน้นให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ชาติในระยะยาว ซึ่งจะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสนับสนุนอุตสาหกรรมที่จะก้าวขึ้นมาเป็น New engine of growth ของไทยในอนาคต ที่สำคัญได้แก่ ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนของ BOI (2023-2027) เพื่อพัฒนาการเกษตรกรรมสมัยใหม่ และอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต เช่น กลุ่ม Novel foods และโปรตีนทางเลือกใหม่ ๆ และอาหารที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล (Personalization) มากขึ้น หรืออีกหนึ่งโครงการคือ การพัฒนาเมืองนวัตกรรมอาหาร หรือ Food innopolis ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (NSTDA) เพื่อส่งเสริมให้เกิด Hub ในการพัฒนานวัตกรรมอาหารแห่งอนาคตเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในตลาดที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะเป็นการเชื่อมต่อการทำงานร่วมกันระหว่างภาคธุรกิจ ภาครัฐ มหาวิทยาลัย และนักลงทุน ทั้งรายเล็ก รายใหญ่ รวมทั้งกลุ่ม Startups ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลผลิตทางการเกษตร รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณค่าและมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เพื่อขยับจากการเติบโตเชิง “ปริมาณ” เป็น “มูลค่า” ลดความผันผวนด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity goods) ในตลาดโลก และสร้าง S-curve ใหม่ของอุตสาหกรรมอาหารไทย อีกทั้ง ยังช่วยเพิ่มแต้มต่อการแข่งขันของผู้เล่นไทยในเวทีการค้าโลก
นอกจากนี้ นโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative economy) และ Soft power ของภาครัฐยังมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว ส่งเสริมผู้ประกอบการและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากสู่ความเป็นเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการและผู้เล่นที่เกี่ยวข้องในกลุ่มดิจิทัลคอนเทนต์, ศิลปะ, การออกแบบ, เสื้อผ้าและแฟชั่น, เกมและ E-sport, ท่องเที่ยว และอาหาร เพื่อพัฒนาขึ้นมาเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ ลดการพึ่งพาอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่แข่งขันด้านต้นทุนเป็นหลัก รวมทั้งยังสนับสนุนให้เกิด Inclusive growth และเกิดการกระจายรายได้ในระบบเศรษฐกิจไทยมากขึ้นอีกด้วย
4) การแข่งขันรุนแรงรอบด้านทั้งในและนอกประเทศ
แม้ภาพรวมการแข่งขันภายในประเทศของภาคธุรกิจจะรุนแรงมากขึ้น แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ในหลายธุรกิจยังคงมีความสามารถในการแข่งขันที่สูง และมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากกว่า SMEs ทั้งขนาดฐานลูกค้าที่กว้าง สามารถกระจายการขายสินค้าและบริการไปสู่ลูกค้าได้หลากหลายกลุ่ม โครงสร้างต้นทุนที่ต่ำจากการผลิตหรือการดำเนินงานที่ก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด เงินลงทุนสูง การเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ในต้นทุนต่ำกว่า SMEs มีพันธมิตรที่หลากหลาย รวมถึงยังมีความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตหรือการดำเนินงาน ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายใหญ่มีความสามารถในการแข่งขันที่สูงกว่า SMEs หลายด้าน โดยในระยะที่ผ่านมา SMEs มีส่วนแบ่งรายได้ที่ลดลงในหลายธุรกิจ ได้แก่ โรงแรมและที่พัก, ผลิตภัณฑ์พลาสติก, คมนาคมขนส่ง, อสังหาริมทรัพย์, ค้าส่งค้าปลีก, ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม, อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์และชิ้นส่วน
หลายอุตสาหกรรมเผชิญสถานการณ์ที่ผู้เล่นต่างชาติเข้ามาแข่งขันมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคการผลิต ที่สินค้านำเข้าจากจีนทะลักเข้ามาแข่งขันกับสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่น เหล็ก, เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนยานยนต์ และผลิตภัณฑ์พลาสติก เป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันให้อัตราการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมไทยโดยรวมให้อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง (รูปที่ 7) และคาดว่าผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจซ้ำเติมให้ภาคการผลิตของไทยฟื้นตัวได้ช้าลง ขณะที่ในกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ก็เผชิญการแข่งขันจากผู้เล่นต่างชาติที่เข้ามาขยายตลาดมากขึ้นเช่นเดียวกัน อาทิ ธุรกิจค้าปลีก ตลอดจนธุรกิจบริการประเภทต่าง ๆ เช่น ร้านอาหาร ไปจนถึงธุรกิจบริการสมัยใหม่อย่าง Data center ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าสู่ไทยสูงสุดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ภาคธุรกิจไทยยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในตลาดโลก ซึ่งมีผู้เล่นหน้าใหม่ทั้งจากภายในภูมิภาคและจากภูมิภาคอื่นเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดในหลากหลายสินค้าและบริการ ส่งผลให้เกิดการแข่งขันทั้งในด้านราคา, คุณภาพ ตลอดจนการสร้างแบรนด์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น ซึ่งหากภาคธุรกิจไทยไม่เร่งยกระดับสินค้าและบริการ ลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนพัฒนาสินค้าและบริการให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันตลาดโลก หรือถูกเบียดออกจากห่วงโซ่มูลค่าโลกในที่สุด ตัวอย่างเช่น ธุรกิจในภาคการผลิต อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า, หม้อแปลงไฟฟ้า, สวิตช์และแผงควบคุม, เฟอร์นิเจอร์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งสินค้าเหล่านี้เป็นกลุ่มที่ไทยมีความสามารถในการผลิตและส่งออกที่ด้อยกว่าคู่แข่ง โดยเฉพาะเม็กซิโก ที่อาจเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ ไปได้ เพราะข้อได้เปรียบจากการยกเว้นภาษีนำเข้า สำหรับธุรกิจในภาคบริการ ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยวไทยก็กำลังเผชิญกับ Tourism war ในเอเชียที่เข้มข้นเมื่อหลายประเทศเร่งออกมาตรการเชิงรุก ไม่ว่าจะเป็นการยกเว้นวีซ่า การทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ ไปจนถึงการจัดแคมเพนส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เลือกเดินทางไปยังประเทศของตนมากขึ้น ส่งผลให้ไทยต้องเผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้นในการรักษาความสามารถการแข่งขันในการเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
อีกทั้ง แนวโน้มความเปราะบางของภาคครัวเรือนจากกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวช้าในปี 2026 ส่งผลให้การแข่งขันของภาคธุรกิจเพื่อแย่งชิงกำลังซื้อที่มีอยู่อย่างจำกัดเป็นไปอย่างรุนแรงขึ้น และอาจนำมาสู่สถานการณ์การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น ที่อาจกระทบต่ออัตรากำไร แม้ผู้ประกอบการรายใหญ่จะมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงกว่า SMEs หลายด้าน แต่ในระยะ 1-3 ปีที่ผ่านมา เริ่มเห็นการปรับตัวลดลงของอัตรากำไรของผู้ประกอบการรายใหญ่ในหลายอุตสาหกรรม เช่น รับเหมาก่อสร้าง, ค้าส่งค้าปลีก, ผลิตภัณฑ์พลาสติก, อิเล็กทรอนิกส์, คมนาคมขนส่ง, ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม และอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้สถานการณ์การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้นอาจนำมาสู่ผลกระทบด้านอัตรากำไร และสภาพคล่องทั้งของผู้ประกอบการรายใหญ่ และ SMEs มากขึ้น ที่อาจนำมาสู่อัตรากำไรที่ต่ำลงของผู้ประกอบการรายใหญ่ รวมถึงการปิดกิจการของ SMEs เพิ่มขึ้นตามมาในปี 2026 รวมถึงยังมีหลายปัจจัยที่จะเข้ามาเป็นความท้าทายในการประกอบธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในปี 2026 ที่จะส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังผู้ประกอบการรายใหญ่ และ SMEs ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานการส่งออก รวมถึงบางอุตสาหกรรมยังต้องพึ่งพากำลังซื้อต่างชาติที่จะผันผวนไปตามเศรษฐกิจโลกด้วยเช่นกัน ตลอดจนการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ที่ทำให้รูปแบบการขายสินค้าและบริการเปลี่ยนแปลงไป สร้างแรงกดดันให้กับโมเดลธุรกิจแบบเดิม จึงยังเป็นความท้าทายภาคธุรกิจ ในการปรับกลยุทธ์รับมือเพื่อประคับประคองการดำเนินธุรกิจต่อไปในปี 2026ไทยมีศักยภาพในการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการผลิตสู่ระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจเกษตรและอาหารแปรรูป ซึ่งเป็นธุรกิจพื้นฐานที่ไทยมีจุดแข็งและความได้เปรียบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้สามารถต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้นด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมได้ไม่ยาก ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจ คือโครงการ “Thai food-Mission to space” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์ว่าไก่ไทยสามารถผลิตได้มาตรฐานความปลอดภัยระดับอวกาศ (Space food safety standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เข้มงวดที่สุดในโลกตามเกณฑ์ของ NASA ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวไม่เพียงจะยกระดับมาตรฐานการผลิตอาหารของไทย แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ไทยเข้าไปมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจอวกาศ (Space economy) สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั่วโลกในเรื่องมาตรฐานอาหารไทย ซึ่งเปรียบเสมือนใบเบิกทางสำหรับสินค้าอาหารอื่น ๆ ในอนาคต
5) การเปลี่ยนแปลงของ Mega trends ที่เร็วและมีแรงกดดันมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างประชากรทำให้เกิดโอกาสสำหรับโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ตัวอย่างเช่น การก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aging society) นำไปสู่โอกาสการเติบโตของธุรกิจบริการด้านสุขภาพ เช่น คลินิกเฉพาะทางสำหรับผู้สูงอายุ และศูนย์ฟื้นฟู/กายภาพบำบัด เป็นต้น โครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Senior living) หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้สูงอายุโดยเฉพาะ เช่น Reverse mortgage และบริการวางแผนทางการเงินระยะยาว (Wealth/Retirement planning) เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีโอกาสอีกหลากหลายด้านสำหรับธุรกิจที่สามารถปรับตัวเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมและเทรนด์การบริโภคของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z หรือ Gen Alpha ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องความยั่งยืนและการดูแลสุขภาพมากขึ้น และนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพเติบโตสูง เช่น โปรตีนทางเลือกจากพืช, แพลตฟอร์มในการจัดการกับอาหารส่วนเกิน (แอปพลิเคชันขายอาหารใกล้หมดอายุในราคาถูก หรือแพลตฟอร์มบริจาคอาหารส่วนเกินไปให้ยังมูลนิธิต่าง ๆ หรือชุมชน) รวมไปถึงธุรกิจบริการที่สนับสนุนไลฟ์สไตล์การทำงานของคนรุ่นใหม่ เช่น ธุรกิจประกันสุขภาพ/ประกันรายได้ สำหรับคนทำงานที่ประกอบอาชีพอิสระ และ Co-working space เป็นต้น
เทคโนโลยีได้กลายมาเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมภาคธุรกิจไทยในปัจจุบัน ทั้งสร้างโอกาสใหม่และเพิ่มแรงกดดัน โดยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีขั้นสูงทำให้เกิดโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ที่เข้ามาตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคดิจิทัลมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดิจิทัลแพลตฟอร์ม บริการดิจิทัลแบบ Subscription หรือ AI solutions ในทางกลับกัน เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาอย่างรวดเร็วนั้นก็ยังสร้างความท้าทายให้กับผู้ประกอบการในโมเดลธุรกิจแบบดั้งเดิมที่ต้องเร่งปรับตัวให้ทันต่อความคาดหวังและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป แต่การนำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจนั้นจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนที่ค่อนข้างสูง ทั้งด้านอุปกรณ์, บุคลากร และการพัฒนาระบบ ทำให้ธุรกิจที่ยังไม่มีความพร้อมด้านเงินทุนและทักษะต้องเผชิญกับความท้าทายในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจให้เท่าทันผู้เล่นรายอื่นในตลาด
การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนโดยได้มีการปรับเป้าหมาย Net zero ของไทยให้เร็วขึ้น 15 ปี จากปี 2065 เป็น 2050 จะทำให้มีทั้งกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตมากขึ้นและกลุ่มที่ต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับแรงกดดันจากในประเทศที่เพิ่มขึ้น การที่รัฐบาลไทยได้ปรับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero) ให้เร็วขึ้นจะทำให้อุตสาหกรรมที่ตอบโจทย์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีแนวโน้มเติบโต จากความต้องการใช้สินค้าและบริการที่จะเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น 1) กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด 2) กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 3) กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของรถไฟฟ้า 4) กลุ่มอุตสาหกรรมจัดการของเสีย 5) กลุ่มอุตสาหกรรมวัสดุฐานชีวภาพ 6) กลุ่มอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ และ 7) กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน ในทางกลับกัน อุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงจะเผชิญแรงกดดันจากในประเทศเพิ่มขึ้น โดยก่อนหน้านี้ ภาคธุรกิจไทยก็ต้องเผชิญแรงกดดัน
จากคู่ค้าในตลาดโลกที่ตั้งเป้าบรรลุ Net zero เร็วกว่าไทย 15 ปีอยู่แล้ว ซึ่งการขยับเป้า Net zero เร็วขึ้นมาเป็นปี 2050 ของรัฐบาล จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันจากในประเทศผ่านมาตรการใหม่ ๆ ที่จะทยอยออกมา เช่น การเก็บภาษีคาร์บอน และการบังคับใช้ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยคาร์บอน ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะเร่งให้อุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนสูง เช่น น้ำมันและก๊าซ, โรงไฟฟ้าฟอสซิล, เหล็ก, ซีเมนต์, เคมีภัณฑ์ และรถยนต์น้ำมัน ต้องปรับตัวให้ทันภายในระยะเวลาเร็วขึ้น 15 ปี หากต้องการเติบโตต่อในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ นอกจากนี้ ไม่เพียงแต่ความพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น (Climate mitigation) แต่ภาคธุรกิจยังมีแรงกดดันในการต้องเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วย (Climate adaptation) ซึ่งหากไม่มีการเตรียมความพร้อม ก็มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงกว่าธุรกิจที่ปรับตัวได้หรือมีความพร้อมมากกว่า
นอกจากนี้ ธุรกิจที่ปรับตัวได้ช้า หรือเป็นธุรกิจดั้งเดิมที่ไม่มีศักยภาพหรือไม่มีความพร้อมในการปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนไปก็มีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับความต้องการที่หดตัว หรืออาจถูกตัดออกจากห่วงโซ่การผลิตโลกใหม่ได้ ส่งผลกระทบต่อโอกาสการอยู่รอดในอนาคต อาทิ ธุรกิจที่ยังคงดำเนินธุรกิจโดยละเลยประเด็นเชิงสังคมและธรรมาภิบาล เช่น ปัญหาสิทธิมนุษยชนและการใช้แรงงานผิดกฎหมาย ผลกระทบต่อผู้บริโภคและชุมชน และปัญหาการคอร์รัปชัน, ธุรกิจที่ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของโครงสร้างประชากรใหม่, ธุรกิจที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงแต่ยังไม่มี Transition plan, ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวให้สอดรับกับ Mega trends โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทรนด์เรื่องการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน, ธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากหน้าร้าน (Offline) เพียงอย่างเดียว, ธุรกิจที่ไม่มีการลงทุนด้านนวัตกรรมและดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดการพึ่งพาแรงงานคน และธุรกิจผลิตสินค้าหรือบริการที่ผู้เล่นรายใหม่ไม่มีข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาด สามารถผลิตสินค้าหรือบริการซ้ำได้ โดยไม่ต้องใช้เทคโนโลยีหรือทักษะแรงงานขั้นสูง เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้คือตัวอย่างของธุรกิจที่กำลังสูญเสียศักยภาพการแข่งขันและกำลังจะกลายเป็น Sunset segment ซึ่งหากไม่เร่งปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ แนวโน้มของรายได้และมาร์จินก็จะมีโอกาสลดลงเรื่อย ๆ จากโครงสร้างตลาดที่กำลังหดตัว อีกทั้งยังมีความเสี่ยงสูงที่จะทยอยล้มหายตายจากไปจากโลกธุรกิจในอนาคต อย่างช้า ๆ แต่ท่ามกลางหลาย ๆ อุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงรุมเร้า ยังคงมีบางกลุ่มย่อย (Subsegment) ที่สามารถปรับตัวให้สอดรับกับ Mega trend ยุคใหม่และช่วยให้สามารถคว้าโอกาสเติบโตต่อได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
ผู้ประกอบการจะมีกลยุทธ์รับมือกับความท้าทายต่าง ๆ
และคว้าโอกาสทางธุรกิจได้อย่างไร?
ผู้ประกอบการจะมีกลยุทธ์รับมือกับความท้าทายต่าง ๆและคว้าโอกาสทางธุรกิจได้อย่างไร?
ผู้ประกอบการสามารถใช้กลยุทธ์ READY ในการปรับตัว เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายรอบด้าน ยกระดับศักยภาพการแข่งขัน และคว้าโอกาสเติบโตในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
R-Repositioning
การพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ตลาดและเพิ่ม Value-added เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทั้งกับตลาดส่งออกและสินค้านำเข้า การแข่งขันของภาคธุรกิจมีแนวโน้มเป็นไปอย่างเข้มข้นในปี 2026 และระยะปานกลาง ดังนั้น ภาคธุรกิจจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ตลาด โดยเฉพาะด้านความคุ้มค่า ท่ามกลางกำลังซื้อที่ยังมีจำกัดของผู้บริโภค รวมถึงความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และซับซ้อนมากขึ้นขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ไปสู่การพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น มีนวัตกรรม มีคุณภาพสูง มีความแตกต่างจากคู่แข่ง สอดคล้องกับเทรนด์ของผู้บริโภค สามารถแก้ Pain point ให้กับผู้บริโภคได้ ซึ่งจะนำมาสู่การสร้างความสามารถในการแข่งขัน ทั้งการส่งออกไปตลาดโลก และการแข่งขันกับสินค้าราคาต่ำกว่าที่ถูกนำเข้ามาตีตลาดในประเทศ รวมถึงรักษาความสามารถในการกำหนดราคาและอัตรากำไร
การกระจายตลาดส่งออกให้หลากหลาย เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป ในปี 2026 ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพาการส่งออก มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ ยังอาจเผชิญความท้าทายอื่น ๆ เช่น ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ Supply chain disruption ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องกระจายตลาดส่งออกให้มีความหลากหลายขึ้น ด้วยการหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพเพิ่มเติม
การประเมินศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจให้สอดคล้องกับ Mega trends และ Supply chain ที่เปลี่ยนแปลงไป และปรับกระบวนการธุรกิจให้ยืดหยุ่น เช่น Agile management และ Lean operations แม้หลายธุรกิจที่เผชิญความเสี่ยงจะเป็นกลุ่มที่ต้องระมัดระวัง แต่บาง Subsegment ยังสามารถเติบโตได้จากการปรับตัวให้สอดรับกับ Mega trends โดยความยืดหยุ่นในการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ จะเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จในการเจาะตลาดใหม่และตอบโจทย์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ที่ทำให้ภาคธุรกิจสามารถสร้างความได้เปรียบในการเข้าสู่ตลาดสินค้าและบริการใหม่ ๆ ได้เป็นรายแรก ๆ ทั้งนี้ภาคธุรกิจสามารถสร้างความยืดหยุ่นในการปรับกลยุทธ์ด้วยการปรับรูปแบบการทำงานเป็น Agile management กล่าวคือ ปรับกระบวนการในการประกอบธุรกิจให้มีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่าวรวดเร็ว และมีการปรับปรุงกระบวนการในขั้นตอนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงอาจนำแนวคิด Lean operations มาปรับใช้ กล่าวคือ มุ่งเน้นประสิทธิภาพ ลดความสูญเสีย และเน้นการส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้า เพื่อให้ธุรกิจสามารถคว้าโอกาสใหม่ ๆ ท่ามกลางการแข่งขันที่เป็นไปอย่างเข้มข้น และการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมใน Supply chain ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว
E-ESG principle
การวาง ESG roadmap ที่ชัดเจนและผนวกเป้าหมายกับกลยุทธ์องค์กร โดยมีการกำหนดกลยุทธ์และเป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กรทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว ควบคู่ไปกับแผนการปฏิบัติ รวมไปถึงการพัฒนาสินค้าและบริการและวางระบบการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ESG ขององค์กร อาทิ การพัฒนา Green product, Low-carbon logistics ปรับตัวให้สอดรับกับกฎระเบียบใหม่ ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับ ESG รวมถึงเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน โดย ESG roadmap ไม่ได้เป็นการดำเนินงานเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่เท่านั้น แต่ผู้ประกอบการ SMEs
ก็จำเป็นต้องเริ่มดำเนินการวาง ESG roadmap รวมถึงปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ และกระบวนการดำเนินงานด้วยเช่นกัน เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งใน Green supply chain ของผู้ประกอบการรายใหญ่การเจาะตลาด/กลุ่มเป้าหมายที่ให้ความสำคัญกับ ESG เช่น ตลาด EU หรือลูกค้า Gen Z ที่หันมาให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่เน้นความยั่งยืน การยกประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมาเป็นข้อกีดกันทางการค้ามีแนวโน้มเข้มงวดมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น EU ที่มีการบังคับใช้มาตรการ CBAM สำหรับสินค้านำเข้า 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายแรก ได้แก่ ปูนซีเมนต์, ไฟฟ้า, ปุ๋ย, เหล็กและเหล็กกล้า และอะลูมิเนียม โดยหากภาคธุรกิจไทยไม่ปรับกระบวนการผลิตสินค้าให้สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้จะส่งผลให้การส่งออกสินค้ามีต้นทุนที่สูงขึ้น รวมถึงอาจเสียโอกาสในการขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ ในทางกลับกัน หากสามารถปรับการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับเทรนด์ความยั่งยืนได้ ก็จะสามารถขยายการส่งออกไปยัง EU ได้
นอกจากนี้ ผู้บริโภครุ่นใหม่กลุ่ม Gen Z ซึ่งกำลังจะกลายเป็นกำลังซื้อที่สำคัญในอนาคต และเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมมากกว่าคนรุ่นก่อน ดังนั้น การนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน จะช่วยหนุนให้ภาคธุรกิจมีความได้เปรียบในการขยายฐานลูกค้ากลุ่มกำลังซื้อใหม่ ๆ ได้ ตัวอย่างเช่น ประกาศจุดยืนของแบรนด์และสื่อสารการเปลี่ยนผ่านสู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ชัดเจน โปร่งใส สะท้อนความเป็นตัวตนของคนรุ่นใหม่ ยกระดับสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับ Circular economy และ Low-carbon lifestyle นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจและลดการปล่อยคาร์บอน รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับเรื่อง Eco-design และ Packaging ซึ่งเป็นสิ่งที่คน Gen Z ให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ
A-Alliance
สร้างพันธมิตรใน Supply chain ในการพัฒนาสินค้าร่วมกันหรือจับกลุ่มเป็น Cluster เพื่อเจาะ/ขยายตลาดร่วมกัน หรือเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองกับ Supplier และพัฒนา Solution ใหม่ ๆ เช่น สร้าง Platform ร่วมกัน เพื่อหาโอกาสใหม่ทางธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ยังอาจหาโอกาสในการเป็น Partnership หรือการควบรวมธุรกิจ เพื่อ Optimize business portfolio ทั้งด้านการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และด้านการบริหารความเสี่ยง รวมถึงร่วมมือเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการต่างประเทศที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรุดหน้า หรือมีความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีเฉพาะด้าน เพื่อเปิดโอกาสในการรับการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้มากขึ้น
นอกจากการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ (Business alliance) จะมีส่วนช่วยขยายตลาด เพิ่มยอดขาย ยกระดับศักยภาพการแข่งขัน และเป็นทางลัดในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมแล้ว ยังมีส่วนช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและสร้างประโยชน์ภายในองค์กร (Internal value creation) ได้อีกด้วย ผ่านการใช้ทรัพยากร โครงสร้างพื้นฐานหรือระบบโลจิสติกส์ร่วมกัน รวมไปถึงการวิจัยและพัฒนา ทำการตลาด หรือพัฒนาทักษะบุคลากรร่วมกัน เป็นต้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ต้นทุนต่อหน่วยลดต่ำลง รวมทั้งอาจจะมีเงินทุนเหลือเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดหรือลงทุนเชิงกลยุทธ์ด้านอื่น ๆ ขององค์กรได้อีกด้วย
D-Digitalization
ลงทุนนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ เช่น AI, ระบบ Automation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ หรือปรับปรุง Work process ตลอดขั้นตอน โดยจำเป็นต้องเชื่อมโยงตัวชี้วัดด้านดิจิทัลเข้ากับเป้าหมายกลยุทธ์ขององค์กร เช่น ใช้ AI หรือ Advanced analytical tools เพื่อวางแผนบริหารจัดการคำสั่งซื้อวัตถุดิบและสินค้าคงเหลือ ปรับปรุงกระบวนการผลิต และบริหารความเสี่ยงเชิงรุกมากขึ้น อีกทั้ง อาจใช้ประโยชน์จาก Digital channel มากขึ้น เช่น ใช้ Omni-channel เพื่อเชื่อมโยงการบริการทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพิ่ม Digital adoption rate ของลูกค้า โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตติดออนไลน์ ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้กว้างขึ้นและตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้น Digital channel ยังช่วยให้ภาคธุรกิจเข้าใจลูกค้าได้ลึกและละเอียดขึ้นกว่าเดิม ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูล พฤติกรรมการใช้จ่าย และความสนใจของลูกค้า รวมถึงการเข้าใจ Customer journey ระหว่างกระบวนการตัดสินใจ ซึ่ง Insight เหล่านี้ช่วยให้ภาคธุรกิจนำข้อมูลไปใช้วิเคราะห์ต่อยอดเพื่อออกแบบพัฒนาสินค้าและบริการ รวมทั้งทำโพรโมชันที่ตอบโจทย์และตรงใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้ง ยังสอดรับกับเทรนด์การสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล (Personalization) และมีส่วนช่วยสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ (Brand loyalty) ซึ่งเพิ่มโอกาสในการกลับมาซื้อหรือใช้บริการซ้ำในอนาคต
Y-Youthfulness
สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีแนวคิดแบบคนรุ่นใหม่ มีความกระตือรือร้น คล่องตัวสูง และพร้อมปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ รวมถึงเปิดรับความคิดสร้างสรรค์ ผ่านการส่งเสริมหรือจูงใจให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาสินค้าและบริการ หรือปรับปรุงกระบวนการทำงาน รวมถึงการทำงานแบบ Cross-functional team จะเป็นการส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมการคิดนอกกรอบ และนำไปสู่การพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้เกิด Employee engagement และความผูกผันของพนักงานที่มีต่อองค์กร อีกทั้ง ยังเป็นบรรยากาศการทำงานที่มีส่วนช่วยดึงดูดและรักษาคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถและศักยภาพไว้กับองค์กรได้อีกด้วย นอกจากนี้ การจัดทำแผน Reskill/Upskill พนักงานให้สอดคล้องไปกับกลยุทธ์ขององค์กร และการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมใน Supply chain โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี จะเป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ และช่วยลดความเสี่ยงในการขาดแคลนแรงงานทักษะได้ในอนาคต
การ Diversify ไปยังธุรกิจอื่น ๆ เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากช่องทางเดียว เช่น การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อขยายไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ การใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีในการสร้างรายได้ประจำเพิ่มเติม
ภาครัฐจะสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจได้อย่างไร?
ในขณะที่ผู้ประกอบการต่างกำลังเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านต่าง ๆ ภาครัฐคือจิกซอว์สำคัญที่จะมีส่วนช่วยผลักดัน สนับสนุน และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างราบรื่นและยั่งยืน
ระยะสั้น : สร้างความเชื่อมั่นและเสริมสภาพคล่อง
ภาครัฐต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ประกอบการและนักลงทุน ผ่านการสื่อสารนโยบายที่ต่อเนื่องและชัดเจน รวมถึงเสริมสร้างความมั่นคงและความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน โดยผลักดันการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ทั้งข้อตกลงกับสหรัฐฯ ข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับคู่ค้าสำคัญ รวมถึงการทำ FTA กับประเทศต่าง ๆ ให้บรรลุข้อตกลงทางการค้าที่เอื้อประโยชน์กับไทย รวมทั้งต้องเร่งเปิดตลาดใหม่เพื่อขยายฐานผู้บริโภคและกระจายความเสี่ยง พร้อม ๆ ไปกับการส่งเสริมและปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ สนับสนุนผู้ผลิตรายย่อยที่อยู่ใน Supply chain ให้สามารถเติบโตไปพร้อมกับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีความแข็งแกร่งและความพร้อมมากกว่า ขณะเดียวกัน ต้องรักษาเสถียรภาพทางการเงินและการคลังเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงยกระดับมาตรการความปลอดภัยทั้งด้านดิจิทัลและภาคท่องเที่ยว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค นักลงทุน และนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ ภาครัฐควรเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ ลดต้นทุนทางการเงิน และปรับโครงสร้างหนี้ โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
ระยะกลาง-ยาว : ขจัดอุปสรรคและสร้างความแข็งแกร่ง
ภาครัฐต้องมุ่งผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างเข้มแข็งผ่านการส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์และดิจิทัล ยกระดับนวัตกรรมการผลิต ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี ส่งเสริมการจ้างงานและ Upskill/Reskill ทักษะแรงงานใหม่ รวมถึงสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ตอบโจทย์เทรนด์โลก เช่น Digitalization, Sustainability และ Health & Wellness ผ่านมาตรการส่งเสริมการลงทุน ประกาศแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระยะกลาง-ยาวอย่างชัดเจน เพื่อให้ภาคเอกชนสามารถวางแผนและปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจล่วงหน้าได้ ขณะเดียวกัน ต้องมุ่งผลักดันให้อุตสาหกรรมดั้งเดิมที่ยังมีศักยภาพ แต่อาจประสบปัญหาเชิงโครงสร้าง สามารถพลิกฟื้นและอยู่รอดได้ในสนามการค้าที่แข่งขันรุนแรง โดยนำเอาเครื่องมือสำคัญต่าง ๆ มาใช้ เช่น การปรับปรุงนโยบายการลงทุน ปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ พร้อมขจัดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน สนับสนุนการสร้างแบรนด์ไทยให้มีความแตกต่างและแข่งขันได้ในระดับโลกและจัดทำมาตรฐานและแนวทางสำหรับธุรกิจที่ต้องการปรับตัวตาม Mega trends ต่าง ๆ เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ในระยะยาว
แนวโน้มภาวะธุรกิจรายอุตสาหกรรม
ธุรกิจเกษตร : ข้าวและมันสำปะหลัง ฟื้นตัว แต่น้ำตาล ยางพาราและปาล์มน้ำมัน หดตัว ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน
อุตสาหกรรมข้าวและมันสำปะหลังในปี 2026 มีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัว ขณะที่อุตสาหกรรมน้ำตาล ปาล์มน้ำมันและยางพาราจะหดตัว ท่ามกลางผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์ และความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกและสภาพดินฟ้าอากาศที่มีความไม่แน่นอนสูง
ในปี 2026 อุตสาหกรรมข้าวมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัว จากที่เคยหดตัวในปี 2025 โดยมีปัจจัยหนุนจากราคาข้าวที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 1.2%YOY เนื่องจากสต็อกข้าวโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงและตลาดข้าวโลกไม่ต้องเผชิญผลกระทบ (Shock) จากการกลับมาส่งออกข้าวของอินเดียเหมือนในปี 2025 ซึ่งราคาส่งออกที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกข้าวในปี 2026 กลับมาขยายตัวที่ 1.1%YOY จากที่จะหดตัว 31.1%YOY ในปี 2025 ทั้งนี้การส่งออกข้าวจะได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ในระดับต่ำ เนื่องจากสหรัฐฯ ยังไม่สามารถผลิตข้าวหอมมะลิเพื่อทดแทนข้าวไทยได้ ประกอบกับข้าวเป็นสินค้าจำเป็นทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาความเสี่ยงจากสภาวะภูมิอากาศสุดขั้วและต้นทุนการผลิตข้าวของไทยที่สูงกว่าคู่แข่ง
ในปี 2026 อุตสาหกรรมมันสำปะหลังมีแนวโน้มฟื้นตัว สอดคล้องกับมูลค่าการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยหนุนจากปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นและความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของประเทศคู่ค้าที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวตามการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในปี 2026 จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.2%YOY จากที่จะหดตัว 13.7%YOY ในปี 2025 ทั้งนี้เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จากนโยบายภาษีตอบโต้ของทรัมป์ จะส่งผลให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังมีแนวโน้มเติบโตชะลอลง กดดันให้ราคามันสำปะหลังของไทย โดยยังต้องจับตาความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า นโยบายเกษตรของจีน และการกลับมาระบาดของโรคใบด่าง
อุตสาหกรรมน้ำตาลในปี 2026 มีแนวโน้มกลับมาหดตัว จากที่เคยขยายตัวในปี 2025 โดยได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำตาลที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดยคาดว่าราคาส่งออกน้ำตาลโดยเฉลี่ยในปี 2026 จะปรับตัวลดลง 14.4%YOY เนื่องจากตลาดน้ำตาลโลกมีแนวโน้มกลับมาเผชิญภาวะเกินดุล เพราะสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยในประเทศผู้ผลิตน้ำตาลที่สำคัญของโลก โดยเฉพาะอินเดียที่ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 19.9% จากปีการผลิตที่ผ่านมา นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจากนโยบายภาษีตอบโต้ของทรัมป์ ยังจะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำตาลโลกเติบโตต่ำ กดดันราคาน้ำตาลในตลาดโลก ซึ่งราคาที่ลดลงจะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกน้ำตาลของไทยในปี 2026 หดตัวราว 9.0%YOY จากที่จะขยายตัว 27.3%YOY ในปี 2025 ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกจะลดลงไม่มาก เนื่องจากปริมาณการส่งออกน้ำตาลในปี 2026 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.3%YOY ตามผลผลิตน้ำตาลของไทยที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นและความต้องการนำเข้าน้ำตาลในเอเชียที่คาดว่าจะยังสูงกว่าปริมาณที่ผลิตได้ในภูมิภาค อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกและความแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศ
อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในปี 2026 มีแนวโน้มกลับมาหดตัว โดยได้รับแรงกดดันจากราคาปาล์มน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดยคาดว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในปี 2026 จะปรับตัวลดลง 6.9%YOY จาก 1) แรงกดดันของสต็อกน้ำมันปาล์มดิบโลกที่เพิ่มขึ้น ตามผลผลิตโลกที่โตเร่งกว่าความต้องการใช้ และ 2) ราคาน้ำมันถั่วเหลืองมีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้ แม้ไทยจะไม่ได้มีการส่งออกน้ำมันปาล์มไปสหรัฐฯ แต่เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง จากนโยบายภาษีตอบโต้ของทรัมป์ จะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มโลกเติบโตชะลอลงและราคาน้ำมันปรับตัวลดลง กดดันราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกและตลาดไทย โดยยังคงต้องจับตาความเสี่ยงจากนโยบายภาครัฐเกี่ยวกับพลังงานทางเลือกและนโยบายการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบของอินโดนีเซีย
อุตสาหกรรมยางพาราในปี 2026 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง โดยได้รับแรงกดดันจากราคายางพาราที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดยคาดว่าราคาส่งออกยางพาราโดยเฉลี่ยในปี 2026 จะลดลง -4.4%YOY เนื่องจากภาวะขาดดุลในตลาดยางพาราโลกมีแนวโน้มดีขึ้นและราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ทั้งนี้แม้ยางพาราจะได้รับการยกเว้นการเก็บภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ แต่จะได้รับผลกระทบทางอ้อม ผ่านการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคายางพาราโลก ในขณะที่ปริมาณการส่งออกยางพาราจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 1.6%YOY ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกในปี 2026 จะปรับตัวลดลง 2.9%YOY จากที่หดตัว 1.2%YOY ในปี 2025 โดยยังต้องจับตาความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกและการแพร่ระบาดของโรคใบร่วงยางพารา
ธุรกิจผลิตอาหารและเครื่องดื่ม : มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางความท้าทายและปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน
แม้ว่าภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในปี 2026 จะมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากปีนี้ แต่กลุ่มสินค้าที่ผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลักมีแนวโน้มเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงด้านลบสูงขึ้น ทั้งแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงและเปราะบาง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ และผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์ ซึ่งจะกดดันให้ศักยภาพการแข่งขันด้านราคาและแนวโน้มการส่งออกสินค้าบางกลุ่มชะลอลงในระยะข้างหน้า
ในปี 2026 อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มโดยภาพรวมยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง เนื่องจากถือเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน จึงถูกกระทบจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจน้อยกว่าอุตสาหกรรมอื่นโดยเปรียบเทียบ อีกทั้ง ยังได้รับปัจจัยหนุนการเติบโตจากเมกะเทรนด์ในตลาดโลกและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ Health and wellness เทรนด์การบริโภคอย่างยั่งยืน การขยายตัวของสังคมเมือง (Urbanization) ซึ่งภายใต้บริบทที่เปลี่ยนไปเหล่านี้ ส่งผลให้ความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์บางประเภท เช่น อาหารสำเร็จรูป อาหารพร้อมปรุง และอาหารพร้อมทาน (Ready meals) ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มออร์แกนิก ยังมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี กลุ่มสินค้าที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักจะเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงด้านลบ (Downside risks) สูงขึ้น ทั้งจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงยืดเยื้อในหลายภูมิภาคทั่วโลก และผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่พึ่งพาอุปสงค์จากตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างสูง เช่น ทูน่ากระป๋องและกุ้ง โดยคาดว่าการส่งออกทูน่ากระป๋องของไทยในปี 2026 คาดว่ามีแนวโน้มเติบโตในระดับต่ำที่ 1.6%YOY ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่าในอดีตพอสมควร เนื่องจากคาดว่าผลกระทบของนโยบายภาษีทรัมป์อาจทำให้ไทยมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดบางส่วนในตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐฯ ให้กับคู่แข่งที่โดนเก็บ Reciprocal tariff ต่ำกว่า เช่น เอกวาดอร์ ขณะที่การส่งออกกุ้งในปี 2026 ยังมีแนวโน้มซบเซาต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะหดตัวที่ -2.6%YOY ซึ่งถือเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจะทำให้ต้นทุนการนำเข้ากุ้งของคู่ค้าฝั่งสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมศักยภาพการแข่งขันด้านราคาของกุ้งไทยให้ปรับตัวแย่ลงมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ ที่โดนเก็บ Reciprocal tariffs จากสหรัฐฯ ในระดับที่ใกล้เคียงกันหรือต่ำกว่า เนื่องจากไทยมีต้นทุนการผลิตกุ้งที่สูงกว่าคู่แข่งหลักในตลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
สำหรับกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาอุปสงค์จากภายในประเทศเป็นหลัก เช่น ไก่เนื้อ, อาหารสำเร็จรูป และเครื่องดื่ม พบว่าส่วนใหญ่มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2026 ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมไก่เนื้อ ซึ่งผลิตเพื่อป้อนตลาดในประเทศเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ราว 65-70% ของผลผลิตทั้งหมด ส่วนที่เหลืออีกราว 25-30% เป็นการส่งออกเพื่อป้อนความต้องการในตลาดต่างประเทศ สำหรับปีหน้าคาดว่า ปริมาณการบริโภคเนื้อไก่ภายในไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องที่ 1.2%YOY ขณะที่มูลค่าการส่งออกไก่เนื้อของไทย (ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและไก่แปรรูป) คาดว่าจะสามารถเติบโตต่อเนื่องที่ราว 8%YOY โดยได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการบริโภคเนื้อไก่ทั้งในส่วนของภาคครัวเรือนและภาคบริการที่ทยอยเติบโตดีขึ้น เนื่องจากเนื้อไก่จัดเป็นวัตถุดิบพื้นฐานยอดนิยมที่สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลาย มีไขมันต่ำ แต่โปรตีนสูงและย่อยง่าย ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกเพศ ทุกวัย รวมทั้งผู้บริโภคสายสุขภาพและผู้สูงอายุ อีกทั้ง ยังเป็นโปรตีนพื้นฐานที่มีราคาถูกกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ๆ ในท้องตลาด ทำให้มีฐานผู้บริโภคที่ค่อนข้างกว้างเพราะสามารถเข้าถึงผู้บริโภคในทุกระดับรายได้ ขณะที่ในระยะกลาง แนวโน้มการส่งออกเนื้อไก่มีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง สอดคล้องกับความนิยมบริโภคเนื้อไก่ในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น และการเติบโตของความต้องการอาหารฮาลาลในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA)
ความท้าทายด้านอื่น ๆ สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในปี 2026 และระยะต่อไป ได้แก่ การปรับกลยุทธ์การเติบโตของธุรกิจให้สอดคล้องกับเทรนด์ ESG และให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่การผลิต รวมไปถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด หลีกหนีการแข่งขันด้านราคา และทำให้สินค้ามีมาร์จินที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องเตรียมปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ ในกลุ่ม Novel foods เช่น โปรตีนทางเลือกใหม่ ๆ หรือเนื้อสัตว์เทียม ซึ่งมีแนวโน้มได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในตลาดโลกสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ : เผชิญความเสี่ยงรอบด้าน ท่ามกลางการเติบโตของเทคโนโลยี AI
มูลค่าการส่งออกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2026 มีแนวโน้มกลับมาหดตัว ตามทิศทางเศรษฐกิจโลก การแข่งขันที่สูงขึ้นและผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับในปี 2025 ที่คาดว่าจะขยายตัวจากอานิสงส์ระยะสั้นของการเร่งนำเข้าของสหรัฐฯ
ในปี 2026 คาดว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มกลับมาหดตัว -12.1%YOY เมื่อเทียบกับในปี 2025 ที่คาดว่าจะขยายตัว 32.7%YOY จากอานิสงส์ระยะสั้นของการเร่งนำเข้าของสหรัฐฯ แม้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 การส่งออก
ในกลุ่มสินค้า Hi-Tech เช่น คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ยังคงได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรขาขึ้นที่สิ้นสุดลงช้ากว่าที่คาดจากอุปสงค์ในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับ AI ที่ดีต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การส่งออกในภาพรวมยังคงหดตัว โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานที่สูงในปีก่อนหน้า ประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอลงตามอุปสงค์โลกที่แผ่วลง
และจะเริ่มส่งสัญญาณชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2026 ยิ่งไปกว่านั้น แนวโน้มการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังต้องเผชิญความเสี่ยงที่มากขึ้นจากการแข่งขันที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการปรับขึ้นภาษีเจาะจงเฉพาะสินค้า (Specific tariff) ในกลุ่มสินค้าไฮเทค เช่น เซมิคอนดักเตอร์, อุปกรณ์สื่อสาร และคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคบางส่วนในระยะข้างหน้า สำหรับในระยะกลางคาดว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าความต้องการในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของตลาดโลก จะยังมีแนวโน้มขยายตัวจากความต้องการของกลุ่มสินค้าขั้นปลาย เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า, กลุ่ม Data Storage รวมถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น อย่างไรก็ดี ยังคงต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น
อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2026 คาดว่ามูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของไทยมีแนวโน้มหดตัวที่ -7.3%YOY จากที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 25.3%YOY ในปี 2025 โดยคาดว่าการส่งออกชิ้นส่วนฯ ปี 2026 มีแนวโน้มหดตัวจากผลกระทบของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น และอุปสงค์โลกที่แผ่วลง นอกจากนี้ ยังคงต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงจาก 1) การเรียกเก็บภาษีเจาะจงในกลุ่มสินค้าไฮเทค ที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานการผลิตชิปโลก 2) การเก็บภาษีสินค้าสวมสิทธิ์ 3) การกำหนดหลักเกณฑ์ Local content และ 4) แนวโน้มการย้ายฐานการผลิต
อุตสาหกรรม Hard Disk Drive ในปี 2026 มูลค่าการส่งออก HDD ของไทย มีแนวโน้มหดตัวอยู่ที่ -5.7%YOY เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2025 ที่คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 15.1%YOY จาก Front-loading และวัฏจักรขาขึ้น แม้ว่าการส่งออก HDD จะยังคงขยายตัวได้จาก HDD ความจุสูงที่ขยายตัวตามความต้องการของธุรกิจ Data center อย่างไรก็ตาม คาดว่าการส่งออก HDD ปี 2026 มีแนวโน้มกลับมาหดตัวจากความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่ส่งผลให้อุปสงค์โลกชะลอตัวกว่าที่คาด อุตสาหกรรม Consumer electronics ในปี 2026 มูลค่าการส่งออก Consumer electronics ของไทย มีแนวโน้มหดตัวอยู่ที่ -19.3%YOY จากที่คาดว่าจะขยายตัว 68.2%YOY ในปี 2025 แม้ว่าการส่งออกในปี 2025 จะได้รับอานิสงส์ของการเร่งนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ เนื่องจากสินค้า Hi-Tech ยังถูกยกเว้นภาษี และเป็นไปตามวัฏจักรของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้นที่ยังไม่สิ้นสุดลง และคาดว่าการส่งออกคอมพิวเตอร์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2026 จะยังคงได้รับอานิสงส์จากความต้องการเทคโนโลยี AI ที่ยังขยายตัว อย่างไรก็ตาม การส่งออก Consumer electronics โดยรวมทั้งปี 2026 ของสินค้าในกลุ่มคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารจะหดตัว จากฐานที่สูงในปีก่อนหน้า ประกอบกับความไม่แน่นอนของ Trump’s tariff และภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอลงกว่าที่คาด โดยเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2026
อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ปี 2026 การส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องอยู่ที่ -6.1%YOY จากที่คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 8.7YOY ในปี 2025 แม้ไทยจะได้อานิสงส์จากการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าไปตลาดสหรัฐฯ เพื่อทดแทนการนำเข้าจากจีนได้บางส่วน อย่างไรก็ดี คาดว่าในปี 2026 การส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยโดยภาพรวมจะยังคงหดตัวจากอุปสงค์โลกที่อ่อนแรงลง อีกทั้ง ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ายังต้องเผชิญกับความเสี่ยงและการแข่งขันที่สูงขึ้น จากการที่ประเทศคู่แข่ง เช่น เม็กซิโก มีแนวโน้มโดนเก็บภาษีที่ต่ำกว่าไทย และผลกระทบจากภาษีเจาะจงภายใต้มาตรา 232 ในกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์เหล็ก รวมถึงความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลกซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในระยะถัดไป
อุตสาหกรรมไฟฟ้ากำลังปี 2026 มูลค่าการส่งออกสินค้าไฟฟ้ากำลังของไทยมีแนวโน้มหดตัวที่ -9.6%YOY จากในปี 2025 ที่คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 17.5%YOY แม้การส่งออกจะได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มความต้องการสินค้าไฟฟ้ากำลังในกลุ่ม Energy transition ของโลกที่ขยายตัว แต่คาดว่าการส่งออกสินค้าไฟฟ้ากำลังของไทยในปี 2026 มีแนวโน้มหดตัว เช่น หม้อแปลงไฟฟ้า สายไฟ/สายเคเบิล อุปกรณ์ไฟฟ้า ตามความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่เป็นปัจจัยกดดันให้เศรษฐกิจโลกโตต่ำและการลงทุนโลกชะลอลง ขณะที่ยอดขายไฟฟ้ากำลังในประเทศมีแนวโน้มหดตัวจากการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชนที่ชะลอลงกว่าที่คาด
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยังมีประเด็นที่ต้องจับตาจากความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจรุนแรงขึ้น ทิศทางการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทย ตลอดจนโอกาสทางธุรกิจใหม่ในยุค AI
1) การปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งผลให้การส่งออกสินค้า E&E เผชิญความเสี่ยงที่สูงขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม การเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าอย่างต่อเนื่องของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษีเจาะจงเฉพาะสินค้า การเก็บภาษีสินค้าสวมสิทธิ์และการกำหนดหลักเกณฑ์ Local content ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้า E&E ไปตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มที่พึ่งพาสหรัฐฯ เป็นหลัก เช่น คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ, เครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
2) แนวโน้มการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทย อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยมีแนวโน้มจะพัฒนาไปสู่การผลิตชิปต้นน้ำมากขึ้น จากความพร้อมของห่วงโซ่อุปทานการผลิตและแนวโน้มการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้อุตสาหกรรม E&E จำเป็นต้องปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับการเติบโตของสินค้าไฮเทคมากขึ้น
3) โอกาสทางธุรกิจในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น เช่น เทรนด์เช่าใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า แนวโน้มเทคโนโลยี AI ที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานขยายตัว
ธุรกิจยานยนต์ : ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่การฟื้นตัวยังไม่ทั่วถึงและยังมีความท้าทายรออยู่อีกมากยอดขายรถยนต์ในประเทศคาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ภาคการส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนของไทยมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ และอุปสงค์ของคู่ค้าหลักในอาเซียนและออสเตรเลียที่ผันผวน ตลาดรถยนต์ไทยมีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้เล็กน้อยในปี 2026 แต่การฟื้นตัวยังไม่ทั่วถึง โดยคาดว่ายอดขายในประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 5.71 แสนคัน หรือขยายตัวเพียง +1%YoY ทั้งนี้ตลาดรถกระบะยังมีแนวโน้มซบเซาต่อเนื่อง สวนทางกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (xEV) ที่คาดว่าจะเติบโตได้ต่อเนื่อง จนมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเกินกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายรถยนต์ในประเทศทั้งหมดภายในปี 2027
ในระยะข้างหน้า ตลาดรถยนต์ไทยยังคงเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งในด้านเศรษฐกิจและโครงสร้าง โดยปัจจัยทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นจากระดับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง และแนวโน้มการคงความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ ขณะที่ปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น อายุการใช้งานรถยนต์ที่ยาวนานขึ้น การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย และความนิยมในบริการเรียกรถ (Ride-sharing) ต่างมีส่วนทำให้วัฏจักรการซื้อรถใหม่ฟื้นตัวได้ช้า นอกจากนี้ ปัจจัยด้านต้นทุนการครอบครองรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) ก็เป็นอีกหนึ่งแรงฉุดสำคัญ โดยเฉพาะอัตราการเสื่อมค่าที่รวดเร็วของรถ BEV และค่าเบี้ยประกันภัยที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อออกไป
ปริมาณการส่งออกยานยนต์ของไทยในปี 2026 จะทรงตัวและอยู่ในระดับต่ำกว่า 1 ล้านคัน เนื่องจากอุปสงค์ของคู่ค้าหลักมีแนวโน้มผันผวน โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV เผชิญความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอตัว ขณะที่ออสเตรเลียเริ่มเข้มงวดต่อมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย อีกทั้ง กระแสนิยมและการแข่งขันกับค่ายยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) ก็ทวีความรุนแรง ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการส่งออกและความต้องการรถสันดาปจากไทย
มาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม แม้ไทยจะมีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิตระดับโลก แต่ต้นทุนการค้าที่สูงกว่าคู่แข่งอาจทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มชิ้นส่วนและอะไหล่ยนต์ นอกจากนี้ ไทยยังได้รับผลกระทบทางอ้อมจากคำสั่งซื้อชิ้นส่วนในห่วงโซ่อุปทานยานยนต์โลกที่ปรับลดลงบ้าง การลงทุนในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ชะลอตัว และความเสี่ยงต่อการถูกเก็บภาษีสวมสิทธิ์หรือมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดขึ้น ดังนั้น การยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจำเป็นต้องอาศัยนโยบายเชิงรุกที่ครอบคลุมทั้งการปกป้องและส่งเสริม ตั้งแต่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการผลิต การเพิ่มสัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศ การยกระดับมาตรฐานแรงงานและสินค้า ไปจนถึงการสร้างแรงจูงใจด้านนวัตกรรมและการลงทุน เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถปรับตัวและรักษาความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางภูมิรัฐศาสตร์การค้าที่ยังคงผันผวน
ธุรกิจพลังงาน : ยังเผชิญแรงกดดันจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามามาก แซงหน้าอุปสงค์ราคาน้ำมัน : ทยอยอ่อนตัวลง จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากสงครามการค้า และ Supply ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง Demand เติบโตได้ แต่ยังไม่เพียงพอรองรับกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามา อุปทานน้ำมันที่เติบโตแซงหน้าอุปสงค์น้ำมันจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกดดันราคาน้ำมันให้ลดลง โดยความต้องการใช้น้ำมันดิบมีการเติบโตในอัตราที่ชะลอลงต่อเนื่อง และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวก่อนโควิด สาเหตุหลักมาจากการ Normalizing หลังการระบาดใหญ่ และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยคาดว่าปริมาณความต้องการใช้น้ำมันดิบจะอยู่ที่ 104.27 mb/d เติบโตที่ 0.74% YoY ขณะที่อุปทานน้ำมันดิบปี 2026 คาดว่าจะอยู่ที่ราว 105.1 mb/d เพิ่มขึ้น 0.83% YoY เติบโตจากกลุ่ม Non-OPEC+ เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน โดยมี Supply ประมาณ +1.2 ถึง +1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน (mb/d) เมื่อเทียบกับปี 2025 ในขณะที่กลุ่ม OPEC เพิ่มขึ้นประมาณ +0.4 – 0.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน (mb/d) จากปี 2025 จากภาวะที่อุปทานเติบโตแซงหน้าอุปสงค์ดังกล่าว คาดว่าจะกดดันราคาน้ำมันให้ลดต่ำลงที่ระดับราคา Brent 64 USD/bbl
ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน : Refinery margins จะอ่อนตัวลงจากกำลังการกลั่นใหม่ที่เข้ามาอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 ในขณะที่อุปสงค์ของการใช้น้ำมันสำเร็จรูปเติบโตแต่อยู่ในลักษณะอิ่มตัว
แนวโน้มปี 2026 อัตรากำไร (Gross refinery margins) จะปรับลดลงต่อ และจะไม่กลับไปสูงสุดดังเช่นในปี 2022–2023 แต่จะ “Normalize” สู่ระดับเฉลี่ยระยะยาว ขึ้นกับ Product slate โดยค่าการกลั่นจะปรับตัวลดลงราว -14% YoY
กำลังการกลั่นใหม่จะเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญในปี 2025-2026 โดยเฉพาะในเอเชีย (จีน และอินเดีย) และตะวันออกกลาง (เช่น โครงการ Al Zour ในคูเวต) อย่างไรก็ดี โครงสร้าง Margin จะมีความแตกต่างขึ้นอยู่กับความสามารถในการแปรสภาพ (Crack) ไปเป็นผลิตภัณฑ์ Jet, Diesel และ Petchem ได้มากน้อยแค่ไหน จะทำให้มีโอกาสได้ Margin ที่ดีกว่าผู้เล่นที่ผูกกับ Gasoline มากเกินไป
สำหรับปริมาณความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปของไทย คาดว่าภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวจะทำให้ความต้องการกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมัน Jet ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนธุรกิจโรงกลั่นได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยกดดันที่จะส่งผลต่อปริมาณความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปประเภทต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ 1. การเติบโตของการใช้งานรถไฟฟ้า ที่จะทำให้ Demand ของ Gasoline และ Diesel ลดลง 2. การเพิ่มขึ้นของพลังงานทดแทน และ 3. Regulatory change ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ปริมาณการใช้น้ำมันสำเร็จรูปลดลง เนื่องจากบางประเทศมีมาตรการสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นขึ้น และมีผลต่อความต้องการใช้น้ำมันระหว่างประเทศ เช่น ข้อกำหนดที่เริ่ม Implement แล้วในน้ำมันเดินเรือ อย่างข้อกำหนด IMO และน้ำมันอากาศยาน เช่น นโยบายผสมน้ำมัน SAF กับน้ำมันเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิม เป็นต้น ทำให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันในประเทศโดยรวมเติบโตในลักษณะทรงตัวที่ 0.8%YoY
ธุรกิจผลิตไฟฟ้า : ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนยังเติบโตโดดเด่นจากความต้องการไฟฟ้าสะอาด
ธุรกิจโรงไฟฟ้าในไทยปี 2026-2029 คาดว่าเติบโตสอดรับไปกับความต้องการใช้ไฟฟ้าตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปี 2026 และทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะกลาง ขณะที่ไฟฟ้าสะอาด โดยเฉพาะกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจาก Solar และ Wind มีกำหนดการผลิตเข้าระบบการไฟฟ้าฯ ต่อเนื่องทุกปี อย่างไรก็ดี ต้องติดตามนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าใหม่ที่จะขยายเวลาออกไปก่อนและนโยบายการปรับราคารับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่
ธุรกิจผลิตไฟฟ้าในปี 2026 มีแนวโน้มเติบโตจากแผนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่กำหนดผลิตเข้าระบบการไฟฟ้ารวมราว 1,103 MW จากการประมูล Biglot1 (5.2GW) และ lot2/1 (2.1GW) โดยคิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมไม่ต่ำกว่า 52,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับแบตเตอรี่ พลังงานลม พลังงานขยะ พลังงานชีวมวลและก๊าซชีวภาพ ในระยะกลางช่วงปี 2027-2029 ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะยังเติบโตต่อเนื่อง
ทั้งการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและจากก๊าซธรรมชาติ โดยโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมีกำหนดผลิตเข้าระบบการไฟฟ้า รวมราว 1,300-1,600MW ต่อปี จากการประมูล Biglot1 และ lot2/1 คิดเป็นมูลค่าการลงทุนราว 43,000-56,000 ล้านบาทต่อปี ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับแบตเตอรี่และพลังงานลม ขณะที่โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติมีแผนผลิตเข้าระบบจำนวน 540MW ในปี 2027
ปัจจัยที่ต้องติดตามซึ่งอาจกระทบต่อธุรกิจโรงไฟฟ้าในระยะข้างหน้า
• แผน PDP ฉบับใหม่ที่จะขยายเวลาออกไป จากการยุบสภาและเพื่อพิจารณารายละเอียดกำลังการผลิตใหม่ให้สอดคล้องกับ Net zero 2050
• นโยบายการปรับลดราคารับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่จะกระทบต่อรายได้ของผู้ผลิตไฟฟ้า
• นโยบาย Direct PPA และ TPA สำหรับภาคอุตสาหกรรม (นอกเหนือจาก Data center) ที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งหากเริ่มใช้ได้แล้วจะทำให้ความต้องการไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง : ยังเผชิญความเปราะบางภาคครัวเรือน และความไม่แน่นอนทางการเมือง
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย : หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งประเทศในปี 2026 ยังหดตัว -5%YOY จากปัจจัยกดดันของตลาดที่อยู่อาศัยที่มีน้ำหนักมากกว่าปัจจัยหนุนกำลังซื้อของครัวเรือนฟื้นตัวช้า หนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงความเข้มงวดในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน เป็นข้อจำกัดในการซื้อที่อยู่อาศัยในปี 2026 โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง-ล่าง ในส่วนของกลุ่มผู้มีรายได้สูง และกำลังซื้อต่างชาติที่เคยมีบทบาทช่วยพยุงตลาดที่อยู่อาศัยก็มีแนวโน้มชะลอการซื้อออกไปจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและไทย ขณะที่ทิศทางการลดอัตราดอกเบี้ย และมาตรการภาครัฐที่ยังคงอยู่ไปถึง 30 มิถุนายน 2026 ได้แก่ มาตรการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราว และมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาทเหลือ 0.01% จะช่วยประคับประคองตลาดที่อยู่อาศัยไม่ให้หดตัวในอัตราที่ชะลอลง อย่างไรก็ดี ปัจจัยกดดันตลาดที่อยู่อาศัยที่มีน้ำหนักมากกว่าปัจจัยหนุน ส่งผลให้ SCB EIC คาดว่า หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งประเทศในปี 2026 ยังหดตัวต่อเนื่องลงมาอยู่ที่ 298,000 หน่วย (-5%YOY) ขณะที่การเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ก็มีแนวโน้มหดตัวไปตามความต้องการซื้อ โดยคาดว่าหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลในปี 2026 หดตัวต่อเนื่องลงมาอยู่ที่ 42,000 หน่วย (-2%YOY)
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง : ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2026 ที่มีแนวโน้มหดตัว กดดันการก่อสร้างภาคเอกชน ขณะที่การก่อสร้างภาครัฐยังเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง
ในปี 2026 มูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องมาอยู่ที่ 564,000 ล้านบาท (-1%YOY) โดยได้รับผลกระทบต่อเนื่องมาจากการหดตัวของความต้องการซื้อในตลาดที่อยู่อาศัย ที่ส่งผลให้การเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง ในส่วนของการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ แม้ผู้ประกอบการยังคงขยายโครงการพื้นที่ค้าปลีก, Mixed-use project รวมถึงพื้นที่สำนักงานให้เช่าเกรด A และ A+ แต่ยังมีปัจจัยกดดันที่อาจชะลอ หรือทบทวนแผนการเปิดโครงการ เช่น เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำ ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า ท่ามกลางภาวะ Oversupply ของพื้นที่ให้เช่า
สำหรับมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐในปี 2026 มีแนวโน้มขยายตัว +1%YOY แตะระดับ 868,000 ล้านบาท หลังจากการประกาศยุบสภาในเดือน ธ.ค. 2025 ส่งผลให้ในปี 2026 ยังมีความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งยังต้องจับตาผลการเลือกตั้ง และการจัดทำ พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2027 ซึ่งหากมีความล่าช้าไม่มากนัก ก็จะบรรเทาความเสี่ยงด้านความล่าช้าหรือการหยุดชะงักของการเบิกจ่ายงบประมาณลงได้ อย่างไรก็ดี หากมีความล่าช้าออกไปมาก คาดว่าจะกระทบต่อการกระจายเม็ดเงินสู่เศรษฐกิจตั้งแต่ ต.ค. 2026 ทั้งนี้ Mega project ที่กำลังดำเนินการมีความคืบหน้า รวมถึงในปี 2026 จะมีการเริ่มประมูลโครงการใหม่ ๆ เช่น รถไฟความเร็วสูงนครราชสีมา-หนองคาย, รถไฟทางคู่ เฟส 2, ทางพิเศษ จ.ภูเก็ต ช่วงกะทู้-ป่าตอง, ขยายสนามบินดอนเมือง เฟส 3 อย่างไรก็ดี ยังมีความเสี่ยงให้โครงการที่วางแผนประมูลถูกเลื่อนออกไป จากความไม่แน่นอนทางการเมือง
ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง : แนวโน้มการใช้งานเหล็ก และปูนซีเมนต์ในปี 2026 ยังทรงตัว ขณะที่ราคามีแนวโน้มลดลงในปี 2026 ปริมาณการใช้งานเหล็ก และปูนซีเมนต์อยู่ที่ 16.7 และ 36.1 ล้านตัน ตามลำดับ ทรงตัวจากปี 2025
โดยโครงการก่อสร้างภาครัฐจะช่วยพยุงให้ปริมาณการใช้งานเหล็กและปูนซีเมนต์ยังทรงตัวได้ในภาพรวม แม้ว่าการใช้งานในโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ของเอกชนจะหดตัว ในส่วนของราคาเหล็ก และปูนซีเมนต์ในปี 2026 มีแนวโน้มอยู่ที่ 21,157 และ 1,767 บาท/ตัน ตามลำดับ ลดลงจากปี 2025 จากราคาพลังงานซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตและขนส่งมีแนวโน้มลดลง อีกทั้งในส่วนของเหล็กยังเผชิญการทะลักเข้ามาของเหล็กจีน ซึ่งมีโครงสร้างต้นทุนที่ต่ำ จึงมีความได้เปรียบในการกำหนดราคา เป็นแรงกดดันต่อราคาและการผลิตเหล็กไทย รวมถึงการเพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กภายใต้มาตรา 232 ของสหรัฐฯ เป็น 50% ส่งผลกระทบให้เหล็กจากต่างประเทศที่เคยได้รับการยกเว้นภาษีถูกระบายเข้ามายังไทยมากขึ้น โดยเฉพาะเหล็กคุณภาพสูงจากญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม : ยอดโอนที่ดินมีแนวโน้มชะลอตัวลง ท่ามกลางความท้าทายหลายด้านความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมปี 2026 มีแนวโน้มชะลอตัวเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในระดับสูง โดยมีแรงหนุนจากการลงทุนในกลุ่ม Data center, ยานยนต์ EV และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ขณะที่ยังเผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ นโยบายดึงดูดการลงทุนของประเทศอาเซียน รูปแบบการลงทุนที่เป็นโครงการขนาดเล็ก และการปรับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ
ยอดโอนที่ดินนิคมอุตสาหกรรมในปี 2026 มีแนวโน้มชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 2,800 ไร่ ตามยอด Pre-Sale ในปี 2025 ที่ชะลอตัวลงจากการชะลอการตัดสินใจลงทุนบางส่วนเพื่อรอความชัดเจนของอัตราภาษี แต่ยังคงอยู่ในระดับสูง
เมื่อเทียบกับช่วงปี 2016-2019 โดยได้รับแรงหนุนจากการลงทุนต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มดิจิทัลอย่างการตั้งศูนย์ Data center ตามการประกาศแผนลงทุนในไทยของผู้ให้บริการต่างชาติ รวมถึงกลุ่มยานยนต์ EV และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ซึ่งต่อยอดจากการเข้ามาตั้งฐานการผลิตของผู้ผลิตรายใหญ่ในช่วงก่อนหน้า ที่ส่งผลต่อเนื่องให้ผู้ผลิต Supply chain ที่เกี่ยวข้องตามเข้ามาลงทุนในไทยด้วย ขณะที่การขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการจะเพิ่มขึ้นอีกราว 3,200 ไร่ ตามแผนพัฒนาและเปิดพื้นที่ใหม่ปี 2026 โดยส่วนใหญ่เป็นการขยายพื้นที่นิคมฯ เดิมในจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ EEC ที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ดี ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมยังเผชิญแรงกดดันจาก 1) มาตรการภาษีสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนบางกลุ่มพิจารณาลงทุนในประเทศอื่นที่มีอัตราภาษีต่ำกว่า 2) นโยบายส่งเสริมการลงทุนของประเทศอาเซียน ที่มีโอกาสดึงดูด
นักลงทุนให้พิจารณาทางเลือกอื่นนอกจากไทย 3) รูปแบบการเข้ามาลงทุนที่มีแนวโน้มเป็นการจัดตั้งโรงงานผลิตบางชิ้นส่วนของ Supply chain ซึ่งมีลักษณะเป็นโครงการขนาดเล็กและใช้พื้นที่จำกัด ทำให้ความต้องการที่ดินแปลงใหญ่มีไม่มากเท่าช่วงก่อนหน้า และ 4) การปรับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ เพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศและลดความเสี่ยงจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ
ธุรกิจคลังสินค้า : อุปสงค์พื้นที่เช่าเติบโตต่อเนื่อง จากแรงหนุนของการผลิตใหม่และการไหลเข้าของสินค้าจีนความต้องการพื้นที่เช่าคลังสินค้ามีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหนุนหลักจากการเดินสายการผลิต
ของโรงงานใหม่, การทะลักเข้าของสินค้าจีน และการเติบโตของ E-commerce ปริมาณพื้นที่คลังสินค้าที่มีสัญญาเช่าในปี 2026 มีแนวโน้มขยายตัว 4.7%YOY อยู่ที่ราว 5.26 ล้านตารางเมตร โดยปัจจัยขับเคลื่อนหลักยังมาจาก 1) การเริ่มเดินสายการผลิตของโรงงานใหม่ที่กระจายฐานการผลิตมาไทยในช่วงปี 2022-2024 ซึ่งจะทำให้เกิดความต้องการพื้นที่คลังสินค้าในการจัดเก็บวัตถุดิบ ชิ้นส่วนประกอบ และสินค้าสำเร็จรูป 2) การทะลักเข้ามาของสินค้าจีน (China influx) ที่เพิ่มสูงขึ้นจากการที่ผู้ผลิตในจีนเร่งระบายสินค้าส่วนเกินออกสู่ตลาดโลก ยังคงเป็นปัจจัยหนุนต่อความต้องการพื้นที่คลังสินค้าให้ขยายตัวได้ และ 3) ตลาด E-commerce ที่ยังมีทิศทางเติบโตราว 7.1%YOY ตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่คุ้นชินกับความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และการปรับกลยุทธ์ของแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ในด้านการบริการส่งสินค้าที่รวดเร็วขึ้นเพื่อแข่งขันกับช่องทางออฟไลน์
อย่างไรก็ดี ธุรกิจคลังสินค้ายังต้องเผชิญความท้าทายสำคัญ อาทิ 1) นโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าที่มีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูง เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์ รวมถึงสินค้าที่ถูกพิจารณาเป็นสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) ที่ส่งผ่านมายังไทยเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ 2) ความผันผวนของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก ซึ่งอาจทำให้ปริมาณการผลิตและการส่งออกของไทยลดลง และส่งผลให้ความต้องการใช้พื้นที่คลังสินค้าทั้งการจัดเก็บวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปปรับตัวลดลงตามไปด้วย และ 3) ต้นทุนการพัฒนาคลังสินค้าที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากราคาที่ดินและค่าก่อสร้างที่สูงขึ้น รวมถึงข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ผู้พัฒนาคลังสินค้าต้องยกระดับการก่อสร้างและระบบบริหารจัดการให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
สำหรับปริมาณพื้นที่คลังสินค้าให้เช่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 5.3%YOY มาอยู่ที่ 6.55 ล้านตารางเมตร ในปี 2026 ตามแผนการลงทุนพัฒนาพื้นที่คลังสินค้าใหม่ของผู้ให้บริการคลังสินค้าเดิมและการเข้าสู่ตลาดของผู้ให้บริการรายใหม่ โดยส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit ซึ่งออกแบบและก่อสร้างตามความต้องการเฉพาะของผู้เช่าและทำสัญญาเช่าระยะยาวล่วงหน้าก่อนเริ่มการก่อสร้าง จึงทำให้อัตราการปล่อยเช่าพื้นที่คลังสินค้าในปี 2026 อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนหน้าที่ 80.4%
ธุรกิจท่องเที่ยว : ไทยยังเผชิญการแข่งขันสูงและแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลก
ภาคการท่องเที่ยวไทยยังเผชิญกับการแข่งขันสูงจากสงครามการท่องเที่ยว (Tourism war) ในเอเชียม, ความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกจากผลกระทบของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ และสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ยังยืดเยื้อ ที่เข้ามากดดันจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทย ขณะที่การท่องเที่ยวในประเทศยังมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง
จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2026 คาดว่าจะฟื้นตัวเล็กน้อยอยู่ที่ราว 34.1 ล้านคน หลังเผชิญกับภาวะหดตัวในปี 2025 โดยแรงหนุนหลักมาจากการออกมาตรการเชิงรุกของภาครัฐผ่านการออกโรดโชว์โพรโมตการท่องเที่ยวและการทำงานร่วมกับพันธมิตรสายการบินและผู้ให้บริการท่องเที่ยวเพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพอย่างอินเดีย, ยุโรป และตะวันออกกลาง ควบคู่ไปกับการฟื้นความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีนผ่านการสื่อสารเชิงรุก และการยกระดับด้านความปลอดภัยตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ อย่างไรก็ดี การเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติยังเผชิญกับแรงกดดันจาก Tourism war ในเอเชียที่หลายประเทศเดินหน้าออกมาตรการยกเว้นวีซ่าและออกแคมเพนโพรโมตการท่องเที่ยวผ่านการทำโพรโมชันและการใช้อินฟลูเอนเซอร์ต่างชาติเพื่อผลักดันให้ประเทศเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่เริ่มส่งผลกระทบชัดเจนขึ้นนั้นอาจส่งผลต่อการตัดสินใจเดินทางและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก อีกทั้ง ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาที่ยังยืดเยื้อทำให้หลายประเทศออกประกาศเตือนพลเมืองให้หลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าพื้นที่เสี่ยงในไทย ซึ่งอาจมีส่วนให้นักท่องเที่ยวบางส่วนชะลอการเดินทางควบคู่กับแรงกดดันจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ โดยในระยะกลาง แม้ Tourism war จะมีโอกาสแข่งขันกันรุนแรงขึ้น แต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังมีแนวโน้มเติบโตได้จากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่กลับมาเติบโตดีขึ้นและการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนโดยเฉพาะจากเมือง Tier 2-3 ที่ภาครัฐเร่งเจรจากับสายการบินและผู้ให้บริการท่องเที่ยวเพื่อเปิดเที่ยวบินใหม่
ในส่วนของการท่องเที่ยวในประเทศ คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยในปี 2026 จะเติบโตต่อเนื่องราว 2%YoY
อยู่ที่ 282.6 ล้านคน จากมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องตามแผนเพิ่มสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวไทยทั้งการออกแคมเพนและสิทธิประโยชน์เที่ยวไทยโดยเฉพาะการผลักดันการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) เพื่อกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ควบคู่กับการยกระดับแหล่งท่องเที่ยวและโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมเพื่อให้การเดินทางสะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงการโพรโมตเส้นทางท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ อย่างเช่น โปรแกรมท่องเที่ยวทางรถไฟ และการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวลุ่มแม่น้ำโขงเชื่อมประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ดี ความเปราะบางของเศรษฐกิจในประเทศอาจกระทบการวางแผนและการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวของคนไทย รวมถึงปัญหาชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชาที่ปะทุขึ้นจะส่งผลให้การเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดติดชายแดนอย่างสุรินทร์, อุบลราชธานี, บุรีรัมย์, ศรีสะเกษ, สระแก้ว, จันทบุรี, ตราด และจังหวัดใกล้เคียงชะลอตัวลง ขณะเดียวกัน การยกเว้นวีซ่าให้กับคนไทยของหลายประเทศและแพ็กเกจท่องเที่ยวต่างประเทศราคาประหยัดมีโอกาสดึงนักท่องเที่ยวไทยกำลังซื้อสูงให้หันไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น โดยในระยะกลาง คาดว่าการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยจะมีแนวโน้มชะลอลงหากกำลังซื้อของคนไทยยังไม่เร่งตัว ขณะที่มาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงรุกของต่างประเทศที่มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้นก็มีโอกาสดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยกำลังซื้อสูงด้วยเช่นเดียวกัน
ธุรกิจโรงแรม : อัตราการเข้าพักและราคาห้องพักเฉลี่ยทั่วประเทศมีแนวโน้มเติบโตตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฟื้นตัวและนักท่องเที่ยวไทยที่เติบโตต่อเนื่อง แต่ยังเผชิญการแข่งขันสูงจากทั้งตลาดต่างประเทศและในประเทศ
ภาพรวมของธุรกิจโรงแรมทั่วประเทศในปี 2026 คาดว่าจะเติบโตดีขึ้น โดยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยทั่วประเทศจะอยู่ที่ 73% เติบโตจากปี 2025 ที่ 72% และราคาห้องพักเฉลี่ยต่อคืนเติบโตราว 5%YoY หลังหดตัวในปี 2025 ตามการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติควบคู่กับอุปสงค์ในประเทศที่ยังขยายตัว อย่างไรก็ดี ธุรกิจโรงแรมยังเผชิญกับแรงกดดันจากการแข่งขันที่สูงขึ้นทั้งจากมาตรการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติของหลายประเทศในเอเชีย และอุปทานใหม่ที่ทยอยเข้าตลาดโดยเฉพาะจากเครือโรงแรมขนาดใหญ่ซึ่งจะกดดันราคา ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการจำนวนมากยังได้ปรับราคาห้องพักลงและเสนอแพ็กเกจเพื่อเจาะตลาดนักท่องเที่ยวไทยมากขึ้นระหว่างรอการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยในระยะกลางทั้งอัตราการเข้าพักและราคาห้องพักเฉลี่ยทั่วประเทศมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นตามอุปสงค์ที่เติบโตทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวไทย รวมถึงแรงส่งจากเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้นซึ่งเอื้อต่อการปรับราคา แต่ทิศทางการเติบโตของธุรกิจโรงแรมในระยะข้างหน้ายังขึ้นอยู่กับความต่อเนื่องของนโยบายและมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาลทั้งการฟื้นความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีน การเจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพใหม่ รวมถึงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ที่ยังมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่อาจล่าช้าออกไป อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนผ่านสู่ “โรงแรมยั่งยืน” ก็เป็นประเด็นสำคัญของการดำเนินธุรกิจภายใต้แรงกดดันจากนโยบายความยั่งยืนของเชนโรงแรมและ OTA, กฎหมายความยั่งยืนของ EU ที่จะเริ่มมีผลกับบริษัทในยุโรปปี 2028 และเทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกใส่ใจด้านความยั่งยืนมากขึ้น
ธุรกิจบริการอาหาร : เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง ในภาวะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ผู้บริโภคมีกำลังซื้อจำกัด
มูลค่าตลาดธุรกิจบริการอาหารยังเติบโตได้ แต่ยังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและจำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้า ขณะที่การแข่งขันมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น
ตลาดธุรกิจบริการอาหารยังคงมีแนวโน้มเติบโตที่ราว 3.2% ในปี 2026 ใกล้เคียงกับในปี 2025 โดยยังมีความเสี่ยงสำคัญมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัว ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้บริโภคลดกิจกรรมการรับประทานอาหารนอกบ้าน ส่งผลต่อยอดขายธุรกิจบริการอาหาร นอกจากนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวค่อนข้างช้า ทำให้ยอดขายของกลุ่มร้านอาหาร โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวอาจเติบโตไม่มากนัก ทั้งนี้ยอดขายที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งจะมาจากราคาอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบและอัตราค่าเช่าพื้นที่ที่ยังอยู่ในระดับสูง สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ร้านอาหารแบบ Full-service ในปี 2026 มูลค่าตลาดธุรกิจบริการอาหารแบบ Full-service คาดว่าจะเติบโตราว 3% จากที่เติบโตประมาณ 3.2% ในปี 2025 โดยร้านอาหารกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจค่อนข้างมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ แต่ยังได้รับแรงหนุนจากกลุ่มลูกค้าไทยและนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง ที่มองหาประสบการณ์จากการรับประทานอาหารในร้านใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ในด้านต่าง ๆ เช่น บรรยากาศและการตกแต่ง และรสชาติ เป็นต้น
ร้านอาหารแบบ Limited-service ในปี 2026 มูลค่าตลาดธุรกิจบริการอาหาร Limited-service มีแนวโน้มเติบโตที่ราว 2.7% โดยมีปัจจัยหนุนจากไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น อีกทั้ง ยังเป็นกลุ่มที่สามารถควบคุมมาตรฐานของคุณภาพและรสชาติได้ดี และในราคาที่เข้าถึงง่าย ส่งผลให้ร้านอาหารกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบไม่รุนแรงเท่ากลุ่มอื่น ๆ ในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ร้านอาหารแบบ Cafes/Bars ในปี 2026 มูลค่าตลาดธุรกิจบริการอาหาร Cafes/Bars มีแนวโน้มเติบโตที่ราว 3.7%
โดยได้ปัจจัยสนับสนุนจากการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค อาทิ ความต้องการสถานที่พบปะสังสรรค์ การทำงานนอกสถานที่ รวมไปถึงความต้องการในการค้นหาประสบการณ์ที่แตกต่าง โดยเฉพาะร้านคาเฟ่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และการแข่งขันที่รุนแรง ผู้ประกอบการอาจปรับตัวโดยเน้นการสร้างเอกลักษณ์ และดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมีเทคโนโลยีมาช่วย
1) การสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ ในภาวะการแข่งขันสูงของธุรกิจร้านอาหาร นอกเหนือจากเรื่องของรสชาติแล้ว ผู้ประกอบการต้องหาเอกลักษณ์หรือลักษณะเฉพาะตัวของร้าน เพื่อสร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารให้ผู้บริโภค
2) การบูรณาการโดยนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น การเก็บ Data เพื่อนำมาวิเคราะห์ลูกค้า เพื่อนำมาปรับปรุงเมนูและทำการตลาดเพื่อให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
3) การดำเนินธุรกิจที่มีความยั่งยืน ผู้บริโภคไทยกำลังตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ผู้ประกอบควรเริ่มดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG โดยอาจเริ่มจากการลด Food waste การใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน หรือการเปลี่ยนมาใช้พลังงานทางเลือก
ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน : ยังขยายตัวได้ตามกระแสสุขภาพ แต่เติบโตชะลอลงจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในปี 2026 มีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอลง จากภาวะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง ประกอบกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค และกดดันการใช้จ่ายด้านค่ารักษาพยาบาลของทั้งผู้ป่วยชาวไทยและต่างชาติ โดยในปี 2026 รายได้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนขยายตัว 2.6%YoY และมีมูลค่า 3.45 แสนล้านบาท โดยรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยคาดว่าจะเติบโตชะลอลงที่ 2.3%YoY และมีมูลค่า 2.87 แสนล้านบาท ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยและการบริโภคภาคเอกชนที่คาดว่าขยายตัวเล็กน้อยเพียง 1.5%YoY กับ 1.9%YoY ตามลำดับ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่ชำระเงินเอง (Self-pay) ซึ่งมีแนวโน้มไปใช้บริการรักษาพยาบาลที่เน้นความคุ้มค่ามากขึ้น ขณะที่ รายได้จากผู้ป่วยกลุ่มประกันสุขภาพเอกชนและประกันสังคมยังเติบโตต่อเนื่อง จากฐานผู้เอาประกันที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากการเร่งทำประกันสุขภาพเพิ่มเติมในช่วงก่อนที่จะปรับเปลี่ยนมาเป็นมาตรการร่วมจ่าย (Copayment) ซึ่งช่วยผลักดันให้รายได้เติบโต นอกจากนี้ สำหรับมาตรการลดค่าครองชีพด้านสุขภาพและเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนของกระทรวงพาณิชย์ด้วยการให้โรงพยาบาลเอกชนแจ้งและเปิดเผยราคายาให้ชัดเจน พร้อมกับให้สิทธิผู้ป่วยในการเลือกซื้อยาจากภายนอก คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้โรงพยาบาลเอกชนค่อนข้างจำกัด เนื่องจากค่ายา เวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์เป็นสินค้าควบคุม ขณะที่การอนุญาตให้รับยาจากภายนอกก็เป็นแนวปฏิบัติที่โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งได้ดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว ผู้ป่วยจึงอาจใช้สิทธิเพิ่มขึ้นไม่มากนักโดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้ประกันสุขภาพ ยิ่งไปกว่านั้น รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยยังได้รับแรงสนับสนุนจากการที่ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged society) ตั้งแต่ปี 2024 จากสัดส่วนประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปสูงกว่า 14% ของประชากรทั้งหมด และยังมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 20% ในปี 2033 ซึ่งจะทำให้ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super-aged society) นอกจากนี้ ความต้องการรักษาพยาบาลยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากอัตราการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases : NCDs) ที่สูงขึ้น อาทิ โรคมะเร็ง, โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือดในสมอง, โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง โดยจำนวนผู้เสียชีวิตจาก 5 โรค NCDs ดังกล่าวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องราว 3%CAGR ในช่วงปี 2013–2023 จนมาอยู่ที่ 1.7 แสนคนต่อปี
ส่วนรายได้กลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติ มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องที่ 4.1%YoY และมีมูลค่า 5.8 หมื่นล้านบาท จากการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกที่มีแนวโน้มใกล้เคียงกับปี 2025 อีกทั้ง มีโอกาสปรับตัวดีขึ้น หากปัญหาที่ทำให้กลุ่ม Medical tourism
ในแต่ละสัญชาติที่หดตัวในปี 2025 คลี่คลายลงและกลับเข้ารับการรักษา ไม่ว่าจะเป็น ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา การปรับนโยบายส่งผู้ป่วยของรัฐบาลคูเวต และความกังวลด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีนในไทย นอกจากนี้
ไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางด้าน Medical tourism ระดับโลกจากความได้เปรียบเชิงการแข่งขันจากค่ารักษาพยาบาลที่สมเหตุสมผลและแข่งขันได้, มาตรฐานคุณภาพสถานพยาบาลระดับสากล, บุคลากรทางการแพทย์มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา และด้านการเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมระดับโลกของไทย ซึ่งช่วยผสมผสานการรักษาเข้ากับการพักผ่อน ปัจจัยเหล่านี้ช่วยดึงดูดให้กลุ่ม Medical tourism เลือกเข้ามารับการรักษาในไทย
นอกจากนี้ การลดภาษีนำเข้ายา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์จากสหรัฐฯ ของไทยเพื่อแลกเปลี่ยนกับการลดภาษีตอบโต้คาดว่าจะช่วยลดภาระต้นทุนโรงพยาบาลเอกชนได้ไม่มากนัก เนื่องจาก ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็เพิ่มการเก็บภาษียานำเข้าที่อัตรา 100% ครอบคลุมเฉพาะยาที่มีตราสินค้าหรือสิทธิบัตร แต่ยกเว้นให้บริษัทที่เริ่มสร้างโรงงานในสหรัฐฯ แล้ว รวมถึงการจัดเก็บภาษีเครื่องมือแพทย์ตามอัตราภาษี Reciprocal tariff ซึ่งส่งผลให้ราคายาและเครื่องมือแพทย์บางกลุ่มในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น และทำให้ต้นทุนการนำเข้าของไทยจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นตาม
ส่วนประเด็นที่น่าจับตามองในธุรกิจโรงพยาบาลในปี 2026 และระยะถัดไป ได้แก่ 1. การแข่งขันดึงดูดผู้ป่วย 2. เทรนด์การดูแลสุขภาพให้มีอายุยืนยาว (Longevity) และ 3. เทรนด์เทคโนโลยีด้านการแพทย์ (Health tech)
1. การแข่งขันดึงดูดผู้ป่วยเข้มข้นขึ้น เนื่องจากความต้องการรักษาพยาบาลถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกและเศรษฐกิจไทย ทำให้ผู้ป่วยหันมาให้ความสำคัญกับความคุ้มค่ามากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น หลายเครือโรงพยาบาลต่างเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่หลายแห่ง พร้อมกับการเพิ่มจำนวนเตียง และจัดตั้งศูนย์ดูแลผู้ป่วยต่างชาติโดยเฉพาะ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยมีทำเลเป้าหมายคือ เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC และเมืองท่องเที่ยว อย่างเช่น ภูเก็ต และเชียงใหม่ สะท้อนจากจำนวนโรงพยาบาลเอกชนในภาคตะวันออกเพิ่มขึ้น 6 แห่งในระหว่างปี 2022-2025 เป็น 40 แห่ง และจำนวนเตียงปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7%CAGR และอยู่ที่เกือบ 4,000 เตียง สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศที่ขยายตัวเพียง 2%CAGR ส่งผลให้ โรงพยาบาลเอกชนต่างต้องปรับกลยุทธ์ด้านราคาและนำเสนอโพรโมชันเพื่อดึงดูดให้ผู้ป่วยให้เข้ามาใช้บริการมากขึ้น
2. เทรนด์ Longevity ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้น และส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านสุขภาพค่อนข้างมาก โดยจะสร้างโอกาสแก่ธุรกิจในด้าน Health & Wellness ซึ่งครอบคลุมทั้งอาหารเพื่อสุขภาพ, การออกกำลังกาย, การเสริมความงาม, เวชศาสตร์ป้องกัน, การดูแลสุขภาพจิต รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงเวลเนสและอสังหาริมทรัพย์เชิงเวลเนส นอกจากนี้ เทรนด์นี้ยังสอดคล้องกับการที่หลายประเทศรวมถึงไทยได้เข้าสู่ Aged society แล้ว ส่งผลให้ความต้องการรักษาโรคเรื้อรังและการดูแลระยะยาวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน กลุ่มวัยแรงงานและคนรุ่นใหม่ก็หันมาใส่ใจสุขภาพเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์มากขึ้นเช่นกัน
3. Health tech เทคโนโลยีสุขภาพมีบทบาทสำคัญต่อการเพิ่มคุณภาพการรักษาและประสบการณ์ผู้ป่วย ทั้งเทคโนโลยีด้านการแพทย์ เช่น AI เพื่อการวินิจฉัย, หุ่นยนต์ผ่าตัด และอุปกรณ์ Wearable สำหรับติดตามสุขภาพ รวมถึงเทคโนโลยียกระดับบริการ เช่น การนัดหมายออนไลน์, ระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (EHR), หุ่นยนต์พยาบาล และการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ซึ่งหลายเครือโรงพยาบาลได้เริ่มนำมาใช้แล้ว แม้การลงทุนด้าน Health tech จะมีต้นทุนสูง ต้องการบุคลากรทักษะเฉพาะ และมีความเสี่ยงจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็ว แต่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ขณะที่ผู้ป่วยก็มีความคาดหวังด้านความสะดวก รวดเร็ว การเข้าถึงง่าย และการดูแลเชิงป้องกันมากขึ้น
ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก : ยังเติบโตได้ แต่ชะลอลงจากปี 2025 ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้า
มูลค่าตลาดค้าปลีกยังคงเติบโตแบบทรงตัวในปี 2026 ชะลอลงกว่าในปี 2025 เล็กน้อยจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจซึ่งจะส่งผลให้ผู้บริโภคจะยังต้องเน้นการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าจำเป็น และสินค้าสุขภาพธุรกิจค้าปลีกมีแนวโน้มเติบโตค่อนข้างทรงตัวในปี 2026 ที่ราว 3.7% ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตที่น้อยลงกว่าในปี 2025 เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน จากปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศที่ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ที่ยังมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย ขณะที่นักท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอตัวทั้งในแง่ของจำนวนและการใช้จ่าย ในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยังไม่คลี่คลาย ผู้บริโภคจะเลือกซื้อสินค้าที่จำเป็นก่อน และชะลอการซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็นออกไป ทำให้กลุ่มที่คาดว่ายังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ยังคงเป็นหมวดร้านค้าสินค้าจำเป็นอย่างกลุ่ม Modern grocery เช่น Convenience store, Supermarket, Hypermarket และกลุ่ม Health & Beauty ตามเทรนด์การรักษาสุขภาพและความสวยความงาม ทั้งนี้กลุ่มที่ยังต้องจับตามอง ได้แก่ Department store ซึ่งจำหน่ายสินค้าฟุ่มเฟือย รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่เป็นไปตามคาด กลุ่ม Home and garden จากตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา และกลุ่มสินค้า Fashion ที่เผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดค้าปลีกคือ Non-store segment (ร้านค้าปลีกที่ไม่มีหน้าร้าน เช่น E-commerce) ที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการปรับตัวของผู้ประกอบการที่หันมาให้ความสำคัญกับ Omnichannel รวมถึงการนำเสนอโพรโมชันเพื่อกระตุ้นยอดขายผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ มากขึ้น รวมถึงการเข้ามาแข่งขันของผู้ค้าปลีกต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีนในการนำเสนอสินค้าที่มีต้นทุนถูก
กลุ่มร้านค้าปลีก Modern grocery ในปี 2026 มีแนวโน้มเติบโตที่ราว 3.4% ขยายตัวต่อเนื่องจาก 2025 ที่ราว 3.5% โดยยอดขายโตชะลอลงจากช่วงก่อนหน้า ถึงแม้ธุรกิจยังได้อานิสงส์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ แต่ความผันผวนจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ ทำให้การเติบโตของกำลังซื้อผู้บริโภคยังเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ดี แนวโน้มความต้องการในหมวดสินค้าจำเป็น ยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง ซึ่งผู้ประกอบการเข้ามาเล่นในตลาด Convenience store มากขึ้น เนื่องจากเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย และเน้นปรับตัวขายสินค้า Small size แต่เน้นความถี่
ในการซื้อ ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
กลุ่มร้านค้าปลีก Department store ในปี 2026 การเติบโตของยอดขายธุรกิจกลุ่ม Department store คาดว่าจะอยู่ที่ราว 3% โดยสถานการณ์กำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวอย่างจำกัด อาจส่งผลต่อแนวโน้มการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าไม่จำเป็น รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่ไม่โตตามคาดในปี 2025
ส่งผลต่อรายได้กลุ่มห้างสรรพสินค้า อย่างไรก็ดี ในปี 2026 แม้คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวจะดีขึ้น แต่ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอน ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติยังระมัดระวังการใช้จ่าย ส่งผลให้ยอดขายเติบโตขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
กลุ่มร้านค้าปลีกสินค้า Home and garden ในปี 2026 ยอดขายสินค้าหมวด Home & Garden คาดว่ายังคงชะลอตัวต่อเนื่องเล็กน้อยที่ราว -0.6% สาเหตุหลักมาจากความต้องการซื้อหรือลงทุนในที่อยู่อาศัยที่คาดว่าจะหดตัวลงอย่างมากในปี 2025 และต่อเนื่องในปี 2026 ทำให้ความต้องการสินค้าที่เกี่ยวกับการซ่อมแซม/ปรับปรุง/ตกแต่งบ้านชะลอตัวลงตามไปด้วย
กลุ่มร้านค้าปลีกสินค้า Health and beauty ปี 2026 การเติบโตของยอดขายธุรกิจกลุ่ม Health and beauty
จะขยายตัวต่อเนื่อง 3.3% สอดคล้องกับเทรนด์ที่ผู้บริโภคให้ความสนใจกับการดูแลตัวเองทั้งด้านสุขภาพและความงามในกลุ่มผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย กลุ่มสุขภาพได้อานิสงส์จากกลุ่มวิตามินและอาหารเสริม เน้นไปที่เวชศาสตร์ป้องกันโรคและ Anti-aging ในกลุ่มสินค้าความงามผลิตภัณฑ์แบรนด์ไทยมีความน่าเชื่อถือ และได้รับความนิยมมากขึ้น อีกทั้ง ยังเข้าถึงการสื่อสารกับผู้บริโภคสินค้าโดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่มองหาความคุ้มค่าและเรื่องราวมากกว่าความพรีเมียม
กลุ่มร้านค้าปลีกสินค้าแฟชั่น ปี 2026 ตลาดสินค้าแฟชั่นมีแนวโน้มเติบโตแบบชะลอตัวที่ประมาณ 1.6% ยอดขายของกลุ่มนี้ค่อนข้างชะลอตัว จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ต้องมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ และมีความระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น จะกดดันให้ยอดขายสินค้าแฟชั่นให้เติบโตได้ไม่มากนัก
กลุ่ม E-commerce ปี 2026 ตลาด E-commerce ยังเติบโตได้ที่ราว 7% แต่ก็มีการแข่งขันที่รุนแรงเช่นกัน โดยมีการแข่งขันทั้งจากภายในประเทศและกับสินค้าจากต่างประเทศ และยังต้องแข่งขันกับร้านค้าออฟไลน์ ส่วน Marketplace ต่างใช้แคมเพนและบริการเสริมต่าง ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า โดยเพิ่มข้อบังคับและตัวเลือกในการส่งสินค้าที่รวดเร็วขึ้น เพราะปัจจุบันลูกค้าเลือกซื้อสินค้าจากประสบการณ์การจัดส่งที่ตรงกับความคาดหวังและตารางเวลา
ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกยังมีประเด็นที่ต้องจับตาจากภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ตลอดจนความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อม
1) ความสำคัญของสินค้าที่มีความคุ้มค่า ผู้ประกอบการควรมีตัวเลือกที่มีความคุ้มค่า เพื่อผู้บริโภค โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
2) Digital / AI Transformation การใช้ช่องทางออนไลน์จะมีบทบาทมากขึ้นในการเพิ่มประสิทธิภาพการตลาด และเข้าถึงลูกค้าได้ตรงจุด ธุรกิจต้องใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้เหนือกว่าคู่แข่ง
3) ความตระหนักรู้ด้านความยั่งยืน ผู้บริโภคไทยมีความใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงมองหาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นโอกาสดีที่ธุรกิจสามารถนำมาสร้างความได้เปรียบ โดยการนำเสนอสินค้าที่ยั่งยืน และมีแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน
ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ : เตรียมเผชิญภาวะความต้องการขนส่งที่ชะลอตัว
ธุรกิจโลจิสติกส์ในปี 2026 มีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยจากความต้องการขนส่งสินค้าที่ชะลอตัวและเผชิญกับความผันผวนที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และกระทบต่อเนื่องมายังการค้าระหว่างประเทศของไทยและการบริโภคสินค้าในประเทศให้ชะลอลง ขณะเดียวกัน อัตราค่าขนส่งเฉลี่ยในแต่ละโหมดการขนส่งก็มีแนวโน้มปรับลดลงตามแรงกดดันจากความต้องการขนส่ง อีกทั้ง ปริมาณ Supply การขนส่งยังคงทยอยปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งในภาคขนส่งทางทะเลและทางอากาศ และกดดันธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์
ธุรกิจโลจิสติกส์ในปี 2026 คาดว่าจะขยายตัวเพียงเล็กน้อยที่ 1.4%YOY และมีมูลค่า 9.55 แสนล้านบาท ตามความต้องการขนส่งสินค้าที่ชะลอตัว โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศที่มีความเสี่ยงหดตัวหลังจากเติบโตสูงในปี 2025 จากแรงกดดันของมาตรการทางภาษี Reciprocal tariffs ของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอลงอยู่ที่ 2.5%YoY ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำเพียง 1.5%YoY ตามการส่งออกและนำเข้าสินค้าที่มูลค่ามีแนวโน้มหดตัวถึง -1.5%YoY และ -1.2%YoY ตามลำดับ อีกทั้ง ยังได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาที่ยืดเยื้อ ซึ่งยิ่งกระทบต่อการค้าชายแดนและผ่านแดน สำหรับการขนส่งสินค้าภายในประเทศก็มีแนวโน้มชะลอตัวตามการบริโภคภาคเอกชนและการซื้อขายสินค้าผ่าน E-commerce ที่มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ลดลงอยู่ที่ 1.9%YoY และ 7%YoY ตามลำดับ สะท้อนกำลังซื้อผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจไทยและปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดี ธุรกิจโลจิสติกส์มีโอกาสได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการนำเข้าสินค้าเพิ่มเติมทั้งจากจีนตามการทุ่มตลาดส่งออกของจีนและจากสหรัฐฯ ในหมวดที่ไทยยอมเปิดตลาดมากขึ้นภายใต้การเจรจาลดภาษี Reciprocal tariffs
ทิศทางอัตราค่าขนส่งเฉลี่ยในปี 2026 ของแต่ละโหมดขนส่งมีแนวโน้มปรับลดลงเล็กน้อยจากที่ปรับลดลงสูงในปี 2025 ตามความต้องการขนส่งที่ชะลอตัวควบคู่กับราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ซึ่งประกอบด้วยค่าขนส่งทางเรือ ทางอากาศและทางถนน โดยราคาน้ำมันดิบ Brent เฉลี่ยทั้งปี 2026 คาดว่าจะลดลง 9% อยู่ที่ 64 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยจะหดตัว 8% อยู่ที่ราว 29 บาท/ลิตร เนื่องจากยังต้องเก็บเงินชดเชยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ในช่วงเดือนตุลาคม 2025 ที่ยังติดลบกว่า 1 หมื่นล้านบาท ทำให้ยังมีข้อจำกัดในการปรับลดลงมาก ทั้งนี้ค่าขนส่งทางเรือคอนเทนเนอร์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับดัชนีค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์โลก (China Containerized Freight Index : CCFI) และค่าขนส่งสินค้าทางอากาศ ซึ่งเคลื่อนไหวตามดัชนีค่าขนส่งทางอากาศโลก Drewry (Drewry East-West) มีแนวโน้มหดตัวสูงกว่าค่าขนส่งทางถนน เนื่องจากปริมาณ Supply การขนส่งทั่วโลกกำลังทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งมอบเรือคอนเทนเนอร์ใหม่ อีกทั้ง สถานการณ์ขนส่งบริเวณทะเลแดงและคลองสุเอซที่มีทิศทางคลี่คลายจากที่สหรัฐฯ ได้เจรจาหยุดยิงกับกลุ่มฮูตีในเยเมน จะยิ่งกดดันอัตราค่าขนส่งทางเรือ ส่วนค่าขนส่งทางถนน ซึ่งอิงจากดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนนของไทย (Road Freight Transport : RFTI) มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยจากที่พึ่งพิงราคาน้ำมันดีเซล และอิงตลาดในประเทศจึงไม่ผันผวนนัก
ส่วนความท้าทายในธุรกิจโลจิสติกส์ที่น่าจับตาในปี 2026 และระยะถัดไป ได้แก่ 1. ความต้องการขนส่งที่ยังผันผวนสูง จะสร้างความท้าทายต่อการให้บริการขนส่ง ทั้งในแง่ประเภทสินค้า เส้นทางขนส่ง ขั้นตอนภาษีศุลกากรและอัตราค่าขนส่ง โดยเป็นผลจากหลายปัจจัยที่เกิดขึ้นทั้ง Trump Tariffs, Geopolitics ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน,สงครามบริเวณตะวันออกกลาง รวมถึงความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ที่นำไปสู่การปิดด่านพรมแดน และทำให้ผู้ประกอบการขนส่งต้องเตรียมปรับตัวอย่างรวดเร็ว 2. การแข่งขันในธุรกิจโลจิสติกส์มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง จากภาวะความต้องการขนส่งสินค้าที่ชะลอตัวโดยเฉพาะในเส้นทางระหว่างประเทศ เนื่องจากตลาดโลจิสติกส์มีระดับการกระจุกตัวของตลาดที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งจะยิ่งทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น ทั้งในด้านราคา และความเชี่ยวชาญในการขนส่ง และ 3. การก้าวเข้าสู่สังคม Net zero โดยผู้ประกอบการขนส่งจะมีภาระในการเพิ่มงบลงทุนในการนำรถกระบะไฟฟ้าหรือรถบรรทุกไฟฟ้ามาให้บริการ Green logistics กันมากขึ้น เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่ต้องการ Green logistics โดยเฉพาะที่กำลังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ธุรกิจให้บริการโทรคมนาคม : ยังเผชิญแรงกดดันด้านราคาและจำนวนผู้ใช้บริการที่ขยายตัวได้จำกัด
รายได้รวมของผู้ให้บริการโทรคมนาคมมีแนวโน้มเติบโตชะลอตัว โดยมีแรงหนุนหลักจากการใช้งาน 5G ที่เพิ่มขึ้น, การแข่งขันที่เน้นสร้างมูลค่าเพิ่ม และบริการที่ได้รับความนิยม แต่ยังเผชิญแรงกดดันจากแพ็กเกจราคาประหยัดและอัตราการเข้าถึงบริการที่อยู่ในระดับสูง
รายได้รวมของผู้ให้บริการโทรคมนาคมในปี 2026 มีแนวโน้มเติบโตราว 2.4%YOY ซึ่งเป็นการชะลอตัวจากช่วงก่อนหน้า ที่เติบโตเฉลี่ย 5.8%CAGR โดยการเติบโตมาจาก 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1) ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ จากการใช้งานผ่านโครงข่าย 5G ที่เพิ่มขึ้น และการแข่งขันที่เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้ ARPU มีโอกาสขยายตัว 2) ธุรกิจอินเทอร์เน็ตประจำที่ ซึ่งมีจำนวนผู้ใช้บริการเติบโตเนื่องจากการพัฒนาความเร็ว คุณภาพบริการ และการนำเสนอแพ็กเกจเสริมที่หลากหลาย เพื่อผลักดันให้ผู้บริโภคเลือกใช้แพ็กเกจราคาสูงขึ้น และ 3) ธุรกิจอื่น ๆ ซึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เช่น บริการด้านความบันเทิง บริการแพลตฟอร์มทางการเงิน และบริการลูกค้าองค์กร ซึ่งรวมถึงบริการ Data center
อย่างไรก็ดี ธุรกิจยังเผชิญปัจจัยกดดันสำคัญ ได้แก่ 1) การแข่งขันจากแพ็กเกจราคาประหยัดที่เข้าถึงง่าย ทั้งในตลาดอินเทอร์เน็ตโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตประจำที่ ซึ่งจะกดดันให้ ARPU เฉลี่ยขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป และ 2) อัตราการเข้าถึงบริการ (Penetration rate) ทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตประจำที่ของไทยที่อยู่ในระดับสูงแล้ว ทำให้การเติบโตของผู้ใช้งานใหม่ชะลอตัว
: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์
แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ใกล้สิ้นปีนี้ ก็มีความหวังว่า จะมีแรงซื้อจากกองทุนลดหย่อนภาษีและ Window Dressing.....
หุ้นอินไซด์ทอลค์ : บุกขุมทรัพย์ PCE







