Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

SCB EIC แนวโน้มอุตสาหกรรมกระเบื้องปูพื้น-บุผนัง

119

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (25 ธันวาคม 2568 )-----ในปี 2026 ปริมาณการจำหน่ายกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในประเทศมีแนวโน้มอยู่ที่ 189 ล้านตารางเมตร (-1.5%YOY) หดตัวต่อเนื่องจากปี 2025 ตามการใช้งานในภาคการก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่ยังคงอ่อนแอ ขณะที่ราคามีแนวโน้มปรับตัวลดลงอยู่ที่ 149 บาท/ตารางเมตร (-1.5%YOY) 

ตลาดที่อยู่อาศัยยังคงมีอุปทานหน่วยที่อยู่อาศัยเหลือขายสะสมระดับสูง ส่งผลให้การเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปี 2026 ยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง กระทบต่อความต้องการใช้งานกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ ซึ่งเป็นอุปสงค์หลักของอุตสาหกรรมกระเบื้องปูพื้น-บุผนัง ให้ปรับตัวลดลงจากปี 2025 นอกจากนี้ ราคากระเบื้องโดยเฉลี่ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ 149 บาท/ตารางเมตร (-1.5%YOY) เป็นผลจากต้นทุนราคาพลังงานสำคัญที่ใช้ในกระบวนการผลิตและขนส่งลดลง ท่ามกลางอุปสงค์การใช้งานยังคงอ่อนแอ ทั้งนี้ยังต้องจับตาการจัดโพรโมชันเพื่อส่งเสริมการจำหน่ายในตลาดกระเบื้อง ที่มีการแข่งขันทั้งระหว่างผู้ผลิตกระเบื้องในประเทศ และกระเบื้องนำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาต่ำ จะเป็นปัจจัยกดดันด้านราคาเพิ่มเติม 

อุตสาหกรรมการผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทยยังต้องเผชิญแรงกดดันจากกระเบื้องนำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน, เวียดนาม และอินเดีย

ในปี 2020-2025 กระเบื้องจากต่างประเทศถูกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยประมาณปีละ 63 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง +3%CAGR โดยเฉพาะการนำเข้ากระเบื้องจากจีน, เวียดนาม และอินเดีย ที่มีราคาโดยเฉลี่ยต่ำกว่ากระเบื้องที่ผลิตในไทยกว่า 6-10% ส่งผลให้สัดส่วนกระเบื้องนำเข้าในตลาดจำหน่ายกระเบื้องในไทยเพิ่มขึ้นจาก 26% ในปี 2020 เป็น 34% ในปี 2025 และคาดว่าจะยังคงมีการนำเข้ากระเบื้องจากต่างประเทศเข้ามาใช้งานอย่างต่อเนื่องในปี 2026 หลังจากที่ผู้ผลิตและส่งออกกระเบื้องในหลายประเทศได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ รวมถึงยังต้องจับตาการนำเข้ากระเบื้องจากอินเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากพื้นที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากไทยทำให้มีความสะดวกด้านการขนส่ง อีกทั้ง ราคาสินค้าต่างจากจีนและเวียดนามไม่มาก

การพัฒนากระเบื้องที่มีคุณสมบัติพิเศษ และกลุ่มพรีเมียม จะช่วยหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา และรักษาอัตรากำไรการพัฒนากระเบื้องที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น กระเบื้องกันเชื้อแบคทีเรีย ทนรอยขีดข่วนสำหรับสัตว์เลี้ยง กระเบื้อง Anti-slip สำหรับผู้สูงอายุ กระเบื้องที่มีลวดลายและให้ผิวสัมผัสเสมือนวัสดุจริง อย่างลายไม้ หินอ่อน และแกรนิต เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ผู้ผลิตไทยสร้างความแตกต่าง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางกระเบื้องนำเข้าราคาถูก โดยกระเบื้องเกรดพรีเมียมเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในกลุ่มผู้บริโภค และยังคงใช้สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลาง-สูงขึ้นไป ซึ่งเน้นคุณภาพ การออกแบบ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ส่งผลให้ผู้ผลิตกระเบื้องสามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา และมีอัตรากำไรสูงกว่าตลาดกระเบื้องทั่วไป อีกทั้ง ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์และตำแหน่งการแข่งขันที่ชัดเจนให้กับแบรนด์ รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตกระเบื้องสามารถขยายสู่ตลาดต่างประเทศที่ต้องการสินค้ากลุ่มพรีเมียม นอกจากนี้ การปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิต และการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน ก็ยังช่วยให้ผู้ผลิตกระเบื้องมีอัตรากำไรที่ดีขึ้นจากต้นทุนด้านพลังงานที่ลดลงด้วยเช่นกัน

Industry overview

ไทยมีการผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังโดยเฉลี่ยในช่วงปี 2020-2025 ประมาณ 120 ล้านตารางเมตร/ปี จากกำลังการผลิตรวมทั้งหมดประมาณ 200 ล้านตารางเมตร/ปี โดยสัดส่วนกว่า 95% ของปริมาณการผลิตเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งมีความต้องการจากผู้ใช้งานกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่ กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการก่อสร้างของภาคเอกชน ทั้งโครงการเชิงพาณิชย์ และโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นอุปสงค์หลักของการใช้งานกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในประเทศ, กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการก่อสร้างอาคารของภาครัฐ, รวมถึงยังมีการใช้กระเบื้องปูพื้น-บุผนังในการปรับปรุงซ่อมแซมพื้นที่เชิงพาณิชย์ และที่อยู่อาศัยของภาคครัวเรือน ขณะที่สัดส่วนอีกราว 5% เป็นการผลิตเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ โดยตลาดที่สำคัญ ได้แก่ เมียนมา, ลาว และกัมพูชา ซึ่งมีปริมาณการส่งออกจากไทยไปมากที่สุด 3 อันดับแรก


ทั้งนี้โครงสร้างต้นทุนการผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังส่วนใหญ่ราวครึ่งหนึ่งเป็นต้นทุนวัตถุดิบ อาทิ ดิน, หินบด, แร่, สี และสารเคมีองค์ประกอบ ที่มาจากการจัดซื้อจากทั้งในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ นอกจากนี้ สัดส่วนราว 15% เป็นต้นทุนพลังงาน เช่น ค่าไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีความผันผวนตามราคาน้ำมันดิบโลก สำหรับต้นทุนแรงงานคิดเป็นสัดส่วนราว 13% และสัดส่วนที่เหลืออีกราว 23% เป็นต้นทุนอื่น ๆ อาทิ ค่าบำรุงรักษาเครื่องจักร และค่าบริการที่เกี่ยวข้อง 

 
อุตสาหกรรมการผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังประกอบด้วยกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย และมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทั้งหมด 3 ราย ได้แก่ บริษัท บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) (SCGD), บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) (DCC) และบริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (UMI) ซึ่งมีการแข่งขันกันในด้านการผลิต และการพัฒนาสินค้าตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีความหลากหลาย อาทิ กระเบื้องเกรดพรีเมียม (Premium product) กระเบื้องพอซ์เลน (Porcelain) กระเบื้องเกรดปานกลาง (Mid segment) และกระเบื้องกลุ่มแมส (Mass products) ผ่านช่องทางการจำหน่ายที่ครอบคลุม ได้แก่ ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย (Dealer), ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern trade), เครือข่ายร้านค้าที่เป็นสาขาของบริษัท และการจำหน่ายโดยตรงไปยังผู้รับเหมาโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ทั้งผู้รับเหมาโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ และภาคเอกชน ตลอดจนผู้รับเหมาโครงการก่อสร้างขนาดเล็กทั่วประเทศ


Industry outlook and trend

ปริมาณการจำหน่ายกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในประเทศปี 2026 มีแนวโน้มหดตัว 1.5%YOY โดยเป็นการหดตัวต่อเนื่องจากปี 2025 ตามการหดตัวของการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ ซึ่งเป็นอุปสงค์ที่สำคัญของการใช้งานกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในประเทศ โดยตลาดที่อยู่อาศัยยังคงมีอุปทานหน่วยที่อยู่อาศัยเหลือขายสะสมในระดับสูง ส่งผลให้การเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปี 2026 ยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ SCB EIC คาดว่า ความต้องการใช้งานกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทยในปี 2026 มีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ 189 ล้านตารางเมตร (-1.5%YOY) ทั้งนี้ปัจจัยที่ช่วยพยุงปริมาณการใช้งานกระเบื้องไม่ให้หดตัวรุนแรงในปี 2026 จะเป็นการใช้งานในการปรับปรุงพื้นที่อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ อาทิ โรงแรม, ศูนย์การค้า, พื้นที่ค้าปลีก และโครงการ Mixed-use ขณะที่อุปสงค์ในการปรับปรุงที่อยู่อาศัยของภาคครัวเรือนยังมีแนวโน้มการใช้งานจำกัด เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำกระทบการฟื้นตัวของรายได้ภาคครัวเรือน ประกอบกับภาระค่าใช้จ่าย และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ภาคครัวเรือนยังคงมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย


สำหรับราคากระเบื้องปูพื้น-บุผนังโดยเฉลี่ยในปี 2026 คาดว่าจะอยู่ที่ 149 บาท/ตารางเมตร (-1.5%YOY) โดยลดลงตามต้นทุนพลังงานที่ใช้ในกระบวนการผลิต และการขนส่ง ทั้งค่าไฟฟ้า ราคาก๊าซธรรมชาติ และราคาน้ำมัน ที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ขณะที่ราคาวัตถุดิบในการผลิต อาทิ แร่เฟลสปาร์ สารเคมีเคลือบผิวอื่น ๆ มีแนวโน้มทรงตัว ประกอบกับอุปสงค์การใช้งานกระเบื้องยังคงอ่อนแอตามตลาดที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ยังไม่มีปัจจัยหนุนด้านราคา ทั้งนี้ยังต้องจับตาการจัดโพรโมชันเพื่อส่งเสริมการจำหน่ายในตลาดกระเบื้อง ที่มีการแข่งขันทั้งระหว่างผู้ผลิตกระเบื้องในประเทศ และกระเบื้องนำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาค่อนข้างต่ำ จะเป็นปัจจัยกดดันด้านราคาเพิ่มเติม


อุตสาหกรรมการผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทย ยังคงมีปัจจัยกดดันจากการเข้ามาตีตลาดของกระเบื้องนำเข้าจากต่างประเทศ กระเบื้องนำเข้าจากต่างประเทศถูกนำเข้ามาใช้งานอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2020-2025 เฉลี่ยปีละประมาณ 63 ล้านตารางเมตร (+3%CAGR) โดยในปี 2025 สัดส่วนการจำหน่ายกระเบื้องในไทยเป็นกระเบื้องที่มาจากการนำเข้ากว่า 34% เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2020 ที่มีสัดส่วนการจำหน่ายกระเบื้องนำเข้าอยู่ประมาณ 26% 

ทั้งนี้การนำเข้ากระเบื้องส่วนใหญ่กว่า 90% ของการนำเข้ากระเบื้องทั้งหมดของไทยมาจากจีน, เวียดนาม และอินเดีย ซึ่งมีราคาโดยเฉลี่ยต่ำกว่าราคากระเบื้องที่ผลิตในไทยประมาณ 6-10% จากต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า และส่วนใหญ่เป็นกระเบื้องกลุ่มแมส (Mass product) ที่สามารถทดแทนการใช้งานกระเบื้องที่ผลิตในไทยได้ โดยการนำเข้ากระเบื้องจากทั้งสามประเทศดังกล่าวในช่วงปี 2020-2025 เฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 60 ล้านตารางเมตร รวมถึงในปี 2026 คาดว่าจะยังคงถูกนำเข้ามาจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบมาจากสงครามการค้าของสหรัฐอเมริกาที่มีการขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ส่งผลให้เกิดการระบายสินค้ามายังไทยมากขึ้น เนื่องจากทั้งจีน, เวียดนาม และอินเดีย ต่างเป็นผู้ส่งออกกระเบื้องปูพื้น-บุผนังรายสำคัญไปยังสหรัฐอเมริกา 

นอกจากนี้ SCB EIC มองว่า ยังต้องจับตาการนำเข้ากระเบื้องจากอินเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากพื้นที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากไทยทำให้มีความสะดวกด้านการขนส่ง อีกทั้ง ราคาสินค้าต่างจากจีน และเวียดนามไม่มาก ส่งผลให้อินเดียมีแนวโน้มระบายสินค้ากระเบื้องปูพื้น-บุผนังมายังไทยมากขึ้นด้วยเช่นกัน จึงเป็นความท้าทายที่สำคัญให้ผู้ผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทยต้องปรับกลยุทธ์ในการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการวางแผนการตลาดเพื่อแข่งขันกับกระเบื้องนำเข้าดังกล่าว

Competitive landscape

การพัฒนาผลิตภัณฑ์กระเบื้องที่มีคุณสมบัติพิเศษ และกระเบื้องกลุ่มพรีเมียม รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต จะช่วยเสริมศักยภาพและความได้เปรียบในการแข่งขันแก่ผู้ผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทย และประคองธุรกิจท่ามกลางการแข่งขันของกระเบื้องนำเข้า การแข่งขันที่ดุเดือดของตลาดกระเบื้องกลุ่มแมสในปัจจุบัน ทั้งการแข่งขันกันระหว่างผู้ผลิตในประเทศ และการแข่งขันกับกระเบื้องราคาถูกจากต่างประเทศที่กำลังทะลักเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาด ประกอบกับแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น เทรนด์การเลี้ยงสัตว์ที่ทำให้เกิดความต้องการใช้งานกระเบื้องที่ทนต่อการขีดข่วน เช็ดทำความสะอาดง่าย และไม่สะสมเชื้อโรค เทรนด์การให้ความสำคัญกับสุขอนามัยและความปลอดภัยมากขึ้น ที่ทำให้เกิดความต้องการใช้งานกระเบื้องป้องกันเชื้อแบคทีเรีย และกระเบื้อง Anti-slip สำหรับผู้สูงอายุ ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ การพัฒนากระเบื้องเกรดพรีเมียม จะเพิ่มโอกาสในการเจาะตลาดการก่อสร้างโครงการเชิงพาณิชย์ระดับบนขึ้นไป ทั้งโรงแรมห้าดาว อาคารสำนักงานเกรด A และ A+ และศูนย์การค้าชั้นนำ รวมถึงโครงการที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลาง-สูง ขึ้นไปถึง Luxury ทั้งบ้านแนวราบ และคอนโดมิเนียม ซึ่งโครงการเหล่านี้ให้ความสำคัญกับคุณภาพและความโดดเด่นของวัสดุก่อสร้าง รวมถึงมีมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ยต่อโครงการค่อนข้างสูง ซึ่งจะหนุนให้ผู้ผลิตสามารถเพิ่มยอดขายได้โดยไม่ต้องแข่งขันด้านราคากับตลาดกระเบื้องกลุ่มแมส และสามารถรักษาอัตรากำไรไว้ได้

นอกจากนี้ กลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงมักให้ความสำคัญกับคุณภาพ การออกแบบ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ จะเป็นโอกาสให้ผู้ผลิตที่มีผลิตภัณฑ์เกรดพรีเมียม มีโอกาสในการสร้างภาพลักษณ์ หรือกำหนดตำแหน่งการแข่งขันที่ชัดเจน รวมถึงสามารถขยายไปยังตลาดต่างประเทศที่ต้องการสินค้ากลุ่มดังกล่าว โดยกระเบื้องเกรดพรีเมียม อาทิ กระเบื้องลายหินอ่อนเกรดพรีเมียม (Marble-look Porcelain), กระเบื้องที่มีลวดลายและให้ผิวสัมผัสเสมือนวัสดุจริง อย่างลายไม้ และแกรนิต, กระเบื้องขนาดใหญ่พิเศษ (Large-format Tiles), กระเบื้องผิวด้านลายไม้ (Matte Wood-look Tiles), กระเบื้อง 3D ผนังตกแต่ง (3D Decorative Wall Tiles), กระเบื้องกันเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial Tiles) เช็ดทำความสะอาดง่าย และทนต่อรอยขีดข่วนของสัตว์เลี้ยง รวมถึงกระเบื้องบางพิเศษ (Thin & Lightweight Tiles) จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสเติบโตได้ในตลาดที่มีกำลังซื้อสูง

ทั้งนี้การตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผู้ผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทยเพื่อให้บรรลุกรอบเป้าหมายความเป็นกลางคาร์บอน ทำให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียน และพลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้นในกระบวนการผลิต เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ใช้พลังงานชีวมวล และพลังงานความร้อนทิ้ง (Waste heat recovery) เพื่อนำไอร้อนจากเตาเผากลับมาใช้ใหม่ เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในการผลิต ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานของผู้ประกอบการลดลง ประกอบกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการทำการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์กระเบื้องคุณสมบัติพิเศษ และกระเบื้องพรีเมียม ที่มีราคาขายและอัตรากำไรสูง จึงทำให้ผู้ผลิตสามารถรักษาอัตรากำไรได้ สะท้อนจากอัตราส่วน EBITDA margin ของผู้ผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ซึ่งอยู่ที่ 17.9% ใกล้เคียงกับอัตราส่วน EBITDA margin 17.6% ในช่วงปี 2024



อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

สุขสันต์วันคริสต์มาส By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ มาแล้วคร้า ขอสุขสันต์วันคริสต์มาส (Christmas) หรือ วันสมโภชพระคริสตสมภพ..

Merry Christmas By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง สวมหมวกซานตาคลอส Ho Ho Ho... Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาสคุณผู้อ่านทุกท่านคร้า....

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : อัพเดทชีวิต WGE

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : อัพเดทชีวิต WGE

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้