Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

TISCO ESU ชี้ปี 2569 การคลังพลิกโฉมเศรษฐกิจโลก สหรัฐ vs จีน แข่งพิมพ์เงิน - AI ยังร้อนแรง - ด้านไทยโตต่ำเสี่ยงปากเหว

131

 
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (19 ธันวาคม 2568 )---- ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ประเมินเศรษฐกิจโลกปี 2569 เติบโตภายใต้บริบทใหม่  โดยนโยบายการคลังกลายเป็นเครื่องยนต์หลัก ส่วนนโยบายการเงินลดบทบาทลงชัดเจน พร้อมจับตากระแสลงทุน AI ยังร้อนแรง ด้านสหรัฐฯ - จีนแข่งพิมพ์เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ไทยยังไม่พ้นปากเหว  โตต่ำจากข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง - การเมืองไม่แน่นอน แม้มีแรงหนุนจาก FDI
 
 
เศรษฐกิจโลกภายใต้เกมการคลังของประเทศมหาอำนาจ
 
 
นายธนภัทร ธนชาต นักเศรษฐศาสตร์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) (Mr.Tanapat Dhanachata, Economist, TISCO Economic Strategy Unit) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2569 จะขยายตัวภายใต้บริบทใหม่ โดยมีนโยบายการคลังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ขณะที่บทบาทของนโยบายการเงินลดลงอย่างชัดเจน หลังธนาคารกลางทั่วโลกทยอยปรับลดดอกเบี้ยลงตามเงินเฟ้อที่ชะลอตัวใกล้ระดับเป้าหมาย นโยบายการคลังจึงกลายเป็นกลไกหลักสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
 
สหรัฐฯ เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังภายใต้กฎหมาย One Big Beautiful Bill Act (OBBBA) เพิ่มวงเงินการลดหย่อนภาษี หนุนกำลังซื้อภาคครัวเรือน พร้อมออกมาตรการจูงใจลงทุนภาคเอกชน เช่น การหักค่าเสื่อมราคาแบบพิเศษ (Bonus Depreciation) และการบันทึกรายจ่ายทันที (Expensing) อีกทั้งกระแสลงทุนในเทคโนโลยี AI และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องยังมีความร้อนแรง หากอ้างอิงจากแผนธุรกิจและนักวิเคราะห์คาดว่าการลงทุนใน Data Center และ Software ของบริษัทชั้นนำใน S&P จะเพิ่มขึ้นกว่า 25% ในปี 2569 หนุนอุปสงค์ภายในประเทศ โดยเรามองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตประมาณ 1.9% และมีพลวัตที่สมดุลมากขึ้น
 
ยูโรโซน คาดว่าจะขยายตัวราว 1.1% จากอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะเยอรมนีที่เดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มงบกลาโหม ประกอบกับสภาวะการเงินที่ผ่อนคลายและการลดดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งช่วยเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อและหนุนการลงทุนของภาคธุรกิจ ขณะที่การใช้จ่ายครัวเรือนจะปรับตัวดีขึ้นตามรายได้ที่แท้จริง หลังเงินเฟ้อชะลอและตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง
 
จีน คาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอลงเล็กน้อยในปีหน้า ตามภาคการส่งออกที่จะเป็นแรงส่งเศรษฐกิจได้น้อยลง แต่รัฐบาลยังมีแนวโน้มใช้นโยบายการคลังเชิงรุกเพื่อกระตุ้นการบริโภค เพิ่มโครงข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Safety Nets) ฟื้นความเชื่อมั่นผู้บริโภค และยกระดับอุตสาหกรรมไฮเทค ส่วน ญี่ปุ่น คาดเศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่มีความเสี่ยงมากขึ้น ตามสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์กับจีนที่เข้มงวดขึ้น ขณะที่นโยบายการคลังยังมุ่งไปยังการบรรเทาภาระค่าครองชีพของครัวเรือน
 
ด้าน นโยบายการเงิน คาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยลง 0.25–0.50% ตามเงินเฟ้อที่ชะลอตัวในครึ่งปีหลัง ขณะที่ ECB มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยที่ 2.0% จากเงินเฟ้อเข้าใกล้ระดับเป้าหมายและอุปสงค์ในประเทศฟื้นตัว ส่วนญี่ปุ่นแตกต่าง คาดว่า BoJ จะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 1.00% ตามเงินเฟ้อที่ทรงตัวใกล้เป้าหมาย
 
AI Boom vs Dotcom Bubble ทำไมรอบนี้ไม่เหมือนเดิม
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr. Komsorn Prakobphol , Head of Economic Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit) กล่าวว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับแรงหนุนจากกระแสเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จนหลายคนตั้งคำถามว่า เรากำลังเข้าสู่ฟองสบู่แบบยุค Dotcom หรือไม่ โดย TISCO ESU ประเมินความแตกต่างเชิงโครงสร้างระหว่างสองยุค และเหตุผลว่าทำไมการปรับขึ้นของตลาดครั้งนี้มีความยั่งยืนมากกว่าเดิม
1. มูลค่าหุ้นไม่ได้สูงเกินจริงเหมือนอดีต: ในยุค Dotcom ปี 2000 หุ้นผู้นำเทคโนโลยีมีค่า P/E เฉลี่ยสูงถึง 95.6 เท่า ขณะที่ปัจจุบันกลุ่ม Magnificent 7 รวม Microsoft, Apple, Nvidia และ Amazon มีค่าเฉลี่ยเพียง 35.5 เท่า ไม่นับรวม Tesla  ที่มีค่า P/E สูงถึง 308.7 เท่า แต่โดยรวมตลาดไม่ได้อยู่ในระดับฟองสบู่แบบเดิม
2. IPO Activity ไม่มีความร้อนแรงแบบ FOMO: ปัจจุบันจำนวนและมูลค่า IPO ยังอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับปี 1999–2000 ที่มีการระดมทุนอย่างบ้าคลั่ง สะท้อนว่าการปรับขึ้นของตลาดครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความตื่นตระหนกหรือการเก็งกำไรแบบสุดโต่ง (FOMO : Fear of Missing Out)
3. โครงสร้างเงินทุนแข็งแกร่ง: ยุค Dotcom ใช้เงินทุนจากหนี้สินเป็นหลัก ทำให้ความเสี่ยงสูงเมื่อกระแสเงินสดไม่เป็นไปตามคาด แต่รอบนี้บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่มีงบดุลแข็งแกร่งและใช้เงินสดลงทุน โดยสัดส่วนหนี้ต่อมูลค่าตลาดของ S&P 500 ลดลงต่อเนื่อง แสดงถึงความมั่นคงทางการเงิน
4. สภาพคล่องและเครดิตยังแข็งแรง: Credit Spread อยู่ในระดับต่ำ ไม่มีสัญญาณความตึงเครียดในตลาดตราสารหนี้ ขณะที่ดอกเบี้ยเป็นขาลงและสภาพคล่องยังคงผ่อนคลาย ซึ่งต่างจากช่วงก่อนฟองสบู่แตกในอดีต
5. แนวโน้มกำไรยังหนุนตลาด: EPS ของ S&P500 คาดว่าจะเติบโตในระดับสูงต่อเนื่องใน 2 ปีข้างหน้า หากกำไรยังเป็นขาขึ้น ความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับฐานแรงจะต่ำลง
"การปรับขึ้นของตลาดที่ขับเคลื่อนด้วย AI แตกต่างจากยุคฟองสบู่ Dotcom อย่างชัดเจน ดังนั้น แม้จะมีความผันผวนตามธรรมชาติของตลาด แต่โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งทำให้รอบนี้มีความยั่งยืนมากกว่าเดิม"
 
เมื่อเศรษฐกิจโลกผูกโยง "สงครามพิมพ์เงิน" สหรัฐฯ–จีน
นายธนธัช ศรีสวัสดิ์ นักกลยุทธ์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr. Thanathat Srisawast, Strategist, TISCO Economic Strategy Unit) กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนโลกในช่วงหลายปีข้างหน้า ไม่อาจแยกออกจากการแบ่งแยกห่วงโซ่เศรษฐกิจโลก (Decoupling) และการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสองมหาอำนาจ "สหรัฐ ฯ และจีน" จากเดิมที่เน้นสงครามการค้าและเทคโนโลยี ปัจจุบันสมรภูมิใหม่เริ่มชัดเจนขึ้น นั่นคือ "สงครามพิมพ์เงิน" ที่ทั้งสองประเทศใช้เป็นเครื่องมือเร่งสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ
 
ฝั่งสหรัฐฯ ระบุในยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติชัดว่า ความมั่นคงทางเศรษฐกิจถูกยกระดับให้เป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงแห่งชาติ โดยจะเน้นเสริมศักยภาพการผลิต การพึ่งพาตนเอง และการสร้างห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมสำคัญ ความพยายามลดการพึ่งพาจีนและดึงฐานการผลิตกลับประเทศ ทำให้สหรัฐฯ ต้องใช้โมเดลเศรษฐกิจที่เรียกว่า "4F" ที่อาศัยความยืดหยุ่นของระบบการเงินแบบ Fiat Currency เพื่อผลักดันนโยบายการคลังเชิงขยายตัว จนนำไปสู่ภาวะ Fiscal Dominance ที่ภาระหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ธนาคารกลางจึงถูกกดดันให้ใช้นโยบาย Financial Repression กดอัตราดอกเบี้ยแท้จริงให้อยู่ในระดับต่ำ จูงใจเงินทุนเข้าสู่การลงทุนมากกว่าการออม ส่งผลให้เกิด Passive Flows ที่หล่อเลี้ยงตลาดทุนสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากเงินออมในประเทศและเงินทุนต่างชาติ
 
"ปัจจัยทั้งหมดนี้ทำให้เศรษฐกิจจริงของสหรัฐฯ เชื่อมโยงกับตลาดทุนอย่างแนบแน่น และขยายตัวแรงกว่าศักยภาพ เพื่อเร่งยกระดับขีดความสามารถแข่งขันกับจีน ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างสำคัญเช่นกัน"
 
ด้านจีน เคยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่เมื่อทศวรรษก่อน โดยลดบทบาทอสังหาริมทรัพย์ และย้ายทรัพยากรสู่ภาคอุตสาหกรรม จนกลายเป็นผู้นำการผลิตโลกที่สามารถยืนหยัดต้านทานแรงกดดันจากสงครามการค้ารอบใหม่ได้ ล่าสุดจีนส่งสัญญาณเปลี่ยนทิศอีกครั้ง ผ่านมาตรการ Anti-Involution และแผน 19 ประการ เน้นพัฒนาธุรกิจขนาดย่อม กระตุ้นการบริโภค ฟื้นความมั่งคั่งครัวเรือน และกระจายรายได้ออกจากภาคการผลิต ขณะเดียวกันต้องขยายปริมาณเงินเพื่อสกัดแรงแข็งค่าของเงินหยวน ท่ามกลางดอลลาร์ที่อ่อนค่าจากกลยุทธ์ 4F ของสหรัฐฯ
 
"เมื่อทั้งสองมหาอำนาจต่างเร่งสร้างในสิ่งที่ตนเองขาด สภาพคล่องโลกจึงยังถูกคงไว้ในระดับสูงในฐานะเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ และจะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะตลาดหุ้นของทั้งสองประเทศ ในโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากยุคโลกาภิวัตน์สู่ยุคภูมิภาคนิยม"
 
เศรษฐกิจไทยปีม้าไฟยังไม่พ้นปากเหว
นายเมธัส รัตนซ้อน หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) (Mr. Methas Rattanasorn, Head of Economics, TISCO Economic Strategy Unit) กล่าวว่า ปี 2569 เศรษฐกิจไทยยังคงเปราะบาง และประเมินว่าจะเป็น "ปีม้าไฟ" ที่ยังไม่พ้นจากปากเหว โดยคาดว่าทั้งปีจะเติบโตเพียง 1.6% ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำกว่าศักยภาพมาก โดยมองครึ่งปีแรกยังคงอ่อนแรง ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในครึ่งหลัง แรงกดดันสำคัญมาจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่จะมีผลเต็มปี ความไม่แน่นอนทางการเมือง ความขัดแย้งชายแดน ตลอดจนภาคการผลิตที่อ่อนแอและสูญเสียความสามารถในการแข่งขันจากการขาดการลงทุนและพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ ขณะที่การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวเท่าระดับก่อนโควิด สวนทางกับคู่แข่งคนสำคัญอย่างญี่ปุ่น และเวียดนาม ทำให้เครื่องยนต์หลักทั้งสองอย่างการท่องเที่ยวและการส่งออกแผ่วลงจนไม่สามารถจะเป็นแรงส่งที่สำคัญได้เหมือนในอดีต
 
ขณะเดียวกัน แรงขับเคลื่อนจากภายในก็เผชิญข้อจำกัดจากภาระหนี้สินต่อจีดีพีที่สูง ทั้งหนี้ครัวเรือนที่แม้จะลดลงต่อเนื่องแต่ยังสูงเกือบ 90% ของจีดีพี และหนี้สาธารณะที่ใกล้ชนเพดาน 70% ของจีดีพีแล้ว ทำให้การบริโภคภาคเอกชนและการใช้จ่ายภาครัฐเผชิญกับข้อจำกัด และมีแนวโน้มชะลอลงจากปีนี้ นอกจากนี้ หากไม่มีการปฏิรูปแผนการใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี ก็จะทำให้อันดับเครดิตของประเทศมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกปรับลดอันดับลงในปี 2570
 
สำหรับปัจจัยบวกนอกเหนือไปจากดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะต่ำลงแล้ว คือการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) หากมาตรการ Fast Pass สามารถดึงเม็ดเงินลงทุนได้ตามเป้าราว 4.8 แสนล้านบาท คาดว่าส่งผลบวกต่อเสรษฐกิจได้ราว 0.6 ppt. แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงจากประเด็นการเมืองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบายและระยะเวลาในการตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ตลอดจนกระบวนการจัดทำงบประมาณปี 2570 ที่มีแนวโน้มจะล่าช้าไปไม่น้อยกว่า 2-3 เดือน นอกจากนี้ การยุบสภาก่อนกำหนดเวลาเดิมส่งผลให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะทยอยออกมาช่วยฟื้นกำลังซื้อในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้าอย่าง "คนละครึ่งพลัสเฟสสอง" หรือ "ช็อปดีมีคืน" เป็นอันต้องสะดุด ไปทำให้กำลังซื้อในไตรมาสแรก และภาพรวมเศรษฐกิจอาจซึมกว่าที่คาด นอกจากนี้ สถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนกับกัมพูชา หากยืดเยื้ออาจทำให้มีความเสี่ยงที่การเลือกตั้งอาจล่าออกไป โดยประเด็นความไม่แน่นอนเหล่านี้ อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการตัดสินใจลงทุนได้ ดังนั้นจึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
 
ด้านนโยบายการเงิน หลัง กนง. มีมติเอกฉันท์ให้ลดดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ 1.25% ตามที่คาด และเน้นย้ำว่านโยบายต้องสอดประสานกันทั้งการคลัง และการเงิน ซึ่งภายใต้สถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ต่ำกว่าศักยภาพ และมีความเสี่ยงเพิ่มเติมเข้ามา ตลอดจนอัตราเงินเฟ้อที่จะยังต่ำกว่าเป้าหมายต่อเนื่อง คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจพิจารณาลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เหลือ 1.00%  ในการประชุมวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2569 เพื่อดูแลค่าเงินบาทและลดภาระหนี้ รวมถึงภาวะการเงินที่ตึงตัวเกินไป อีกทั้งเพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจในช่วงที่นโยบายการคลังเผชิญกับข้อจำกัด ขณะเดียวกันหากเศรษฐกิจเผชิญแรงกดดันด้านลบ (Negative Shocks) ที่รุนแรงเพิ่มเติม ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกราว 1-2 ครั้งเป็น 0.50% ได้

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : อัพเดทชีวิต WGE

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : อัพเดทชีวิต WGE

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้