ภาพตลาดและแนวโน้ม Market wrap & Outlook
แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ Sentiment ตลาดหุ้นสหรัฐฯแย่ลงเล็กน้อย ขณะที่ไทยขยับดีขึ้น
KEY FINDINGS:
สหรัฐฯ: ดัชนี S&P500 ปรับลง 2.4% จากแรงขายของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่เครื่องชี้วัดภาวะอารมณ์ตลาด (Sentiment Indicators) ส่งสัญญาณแย่ลงเล็กน้อย โดยดัชนี Fear & Greed Index ยังคงยืนในโซน Fear ที่ระดับ 40 คะแนน ขณะที่ผลสำรวจ AAII มี Bull-Bear Spread ที่ลดลง
ไทย: ดัชนี SET ปรับตัวเล็กน้อย สวนทางกับมาตรวัด BLS Greed & Fear Barometer ที่ขยับขึ้นได้ สะท้อนหุ้นส่วนใหญ่ฟื้นตัวดีขึ้น แม้ภาพรวมดัชนีจะยังคงถูกกดดันจากหุ้นขนาดใหญ่อย่าง DELTA ก็ตาม
US MARKET SENTIMENT TRACKER:
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลง 2.4% จากสัปดาห์ก่อนหน้า กดดันจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นที่เชื่อมโยงกับ AI จากความกังวลเรื่องงบลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI กับความสามารถในการสร้างกำไรได้จริง ขณะที่เครื่องมือชี้วัด Sentiment ส่งสัญญาณแย่ลงเล็กน้อย โดย CNN Fear & Greed Index ยังคงยืนในโซน Fear ที่ระดับ 40 คะแนน ซึ่งเท่ากับสัปดาห์ก่อนหน้า องค์ประกอบที่แย่ลงได้แก่ Market Momentum และ ความผันผวนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้ถูกหักล้างโดยองค์ประกอบด้าน Stock Price Strength และ Stock Price Breadth ที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ Put/call Ratio ได้ปรับลดลงจากระดับสูงสุดที่ทำไว้ในวันที่ 21 พ.ย. ที่ 0.82 สู่ระดับต่ำสุดในวันที่ 15 ธ.ค. 0.60 และล่าสุดเริ่มเห็นสัญญาณการดีดตัวกลับ สะท้อนว่านักลงทุนได้กลับมาเพิ่มสถานะการป้องกันความเสี่ยงจากการปรับลงของตลาดอีกครั้ง
ส่วนผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนของ AAII สะท้อนถึงมุมมองเชิงลบต่อตลาดในช่วง 6 เดือนข้างหน้าที่เพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนมีมุมมองฝั่ง Bullish ลดลงเล็กน้อยจาก 44.6% เป็น 44.1% (สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 37.5%) ขณะที่มุมมองฝั่ง Bearish เพิ่มขึ้นจาก 30.6% เหลือ 33.2% (สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 31.0%) ส่งผลให้ Bull-Bear Spread ปรับตัวลดลงจาก 14.0% สู่ระดับ 10.9%
THAI MARKET SENTIMENT TRACKER:
ในส่วนของตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET แกว่งตัวในกรอบใกล้เส้นค่าเฉลี่ย EMA 200 วัน โดยปรับตัวลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่มาตรวัด BLS Greed & Fear Barometer ฟื้นตัวดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงอยู่ในโซน Fear ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่หก คะแนนปรับเพิ่มขึ้นจาก 36 คะแนนสู่ 38 คะแนน หนุนจากองค์ประกอบด้าน Bull-to-Bear ที่ปรับขึ้นจาก 33.9% สู่ 35.9% และ Market Breadth ที่ฟื้นตัวจากระดับต่ำได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นของ Sentiment นั้นยังถูกถ่วงบางส่วนโดยดัชนี Volume Index ที่กลับมาปรับลงอีกครั้ง รวมถึงความผันผวนของตลาดที่ปรับเพิ่มขึ้น
IMPLICATION:
การที่ Sentiment ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาส่งสัญญาณแย่ลงอีกครั้ง หลังจากปรับตัวดีขึ้นมาต่อเนื่องสามสัปดาห์ ชี้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐมีแนวโน้มผันผวนในระยะสั้น
สำหรับตลาดหุ้นไทย แม้ดัชนี SET จะถูกกดดันจากการปรับลงของ DELTA แต่การที่ Sentiment Indicator ยังคงปรับตัวดีขึ้นสวนทางดัชนีหลัก สะท้อนให้เห็นว่าการฟื้นตัวเริ่มกระจายตัวไปสู่หุ้นในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกของตลาดโดยรวม
สรุปภาพตลาดวานนี้ หุ้นไทยก็ไม่รอด กดดันโดย DELTA THAI GULF CPALL BDMS ขณะที่ไฟแนนซ์อย่าง MTC SAWAD ก็ลงแรง แม้จะมีเรื่องลดดอกเบี้ย (ล็อคกำไรแรง จน MTC ทำ New Low) ส่วนหุ้นบวกดันเป็นธนาคาร KBANK SCB TTB KTB
แนวโน้มตลาดวันนี้ Holds
หุ้นไทยหลุดปิดต่ำ จากแรงขายหุ้นโมเมนตั้มบัวใต้น้ำ เช่น IVL BDMS GULF KTC MTC CPALL (เล่นต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน) และหุ้นเล่นตรงข้าม บาทแข็งค่า กระทบส่งออกอาหาร, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ DELTA CPF แต่เราไม่กังวลแม้ทรงตลาดหุ้นไทยจะอ่อนแอ เพราะยังมีหุ้นกลุ่มธนาคารที่วิ่งบวกทยอยทำนิวไฮท์ นำตลาด และหุ้นที่บวกบางๆตามโมเมนตั้มช่วยค้ำบรรยากาศลงทุน เช่น กลุ่ม PTT AOT…
เราคงคำแนะนำ “เลือกที่จะถือหุ้นที่พาเข้าแล้ว...ราคาหุ้น-ปิดพ้นน้ำ” หรือเล่นหุ้นที่ราคาปิดหนีพ้นเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว และสัญญาณยังไม่เสีย...
ซึ่งหุ้นแนะนำส่วนใหญ่เป็นหุ้นโมเมนตั้มแบบกลางๆ ที่เราชอบในภาวะที่เรายังกล้าๆกลัวๆ คือ หาหุ้นซื้อที่ไม่ได้ขึ้นแรงสุด, ไม่ ดักเก็บหุ้นนอนเป็นผักอยู่ข้างล่าง แต่เน้นไปที่หุ้นกำลังเปลี่ยนโมเมนตั้ม เช่น CENTEL CPN PTT TOP PTTEP ที่เราแนะนำ
กลยุทธ์ จึงคงคำแนะนำ เล่นหุ้นแบบระมัดระวัง ไม่ไล่หุ้นขึ้นแรง, ไม่ดักหุ้นที่นอนเป็นผักแถวล่าง และเราฟันธง ตลาดหุ้นไทยจะยืนได้เหนือ 1245 จุด (เมื่อวาน แค่เกือบหลุด) เพื่อรีบาวด์สั้นกลับไปที่โซน 1280 จุด อีกครั้ง แล้วค่อยมาลุ้นกันต่อว่าจะเดินหน้าขึ้นต่อได้อีกไกลแค่ไหน จากความคาดหวัง Window dressing!
กลยุทธ์การลงทุน กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ “รอ” สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลง ไม่ไล่ราคา เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร
วิเคราะห์ทางเทคนิค วันนี้นำดัชนี SETHD เปรียบเทียบ SET Index เริ่มเห็นความแตกต่าง จุดสังเกตนับตั้งแต่ต้นปีทั้ง 2 ดัชนีขึ้นลงไปในทิศทางเดียวกัน แต่!ช่วงปลายเดือนพ.ย.พบว่า SETHD outperform ขึ้นได้ดีกว่าดัชนี SET ( ช่วง DELTA เริ่มลง) บ่งชี้อะไรได้บ้าง?
คำตอบ: หุ้นใหญ่ + ปันผลสูง มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้โดดเด่น ขยายความ…..SETHD ชื่อเต็ม SET High Dividend 30 Index คือ ดัชนีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดทำขึ้นเพื่อรวมรวบหุ้น "ตัวท็อป" จำนวน 30 ตัว ที่มีจุดเด่นเรื่องการจ่าย เงินปันผลสูงและสม่ำเสมอ อาจต้องเน้นหุ้นกลุ่มเหล่านี้เป็นพิเศษครับ
Note: เกณฑ์การเลือกหุ้นที่จะเข้ามาอยู่ในดัชนีนี้จะต้องมีเงื่อนไขดังนี้ เช่น มีกำไร สภาพคล่องดีและปันผลสูง เช่น กลุ่มธนาคาร (BBL KBANK, KTB, SCB และ TTB) พลังงาน (PTT, PTTEP และ TOP) อสังหา (AP, LH, QH, SIRI และ SPALI) เป็นต้น
ไฮไลท์หุ้น: แผนเทรดเมื่อ AOT กดไม่ลง!/ จังหวะกระชับพอร์ต:ปล่อย BJC แล้วไปสะสม CPN / "ห้องพักเต็มตลอด...พอร์ต CENTEL กำลังรอจังหวะเต็มกราฟ/ PTTEP น้ำมันย่อ แต่หุ้นขึ้น/ AMATA แนะ Short against port
What to watch
ประธาน กกต.ยืนยัน ไม่มีเลื่อนวันเลือกตั้ง วางแผนจัดเลือกตั้งในสถานการณ์พิเศษไว้แล้ว แม้จะมีเหตุปะทะตามแนวชายแดน ไทย กัมพูชา
เฟดลดดอกเบี้ย 0.25% ลงมาเป็น 3.5-3.75% ตามที่ตลาดคาด โดยเหตุผลสนับสนุนหลักจากแรงกดดันตลาดแรงงาน แต่มติ 9 ต่อ 3 ถูกหยิบมาเป็นประเด็นตีความถึงเสียงที่แตก รวมทั้งการให้ภาพแนวโน้มที่ชี้ว่าโอกาสข้างหน้ายากขึ้น โดย Dot plot ปี 2026 ลดอีก 1 ครั้ง และ 2027 ลด 1 ครั้ง จบที่ราว 3% ระยะยาว
SET50 ตลาดแจ้งหุ้นเข้าคำนวณรอบใหม่ ได้แก่ CENTEL SAWAD
FTSE rebalance: เพิ่มหุ้น THAI เข้า FTSE Large Cap ถอด AWC มีผล 22 ธ.ค.นี้ (ราคาปิด 19 ธ.ค.)
การประชุมดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง: ไทย (วันที่ 17 ธ.ค.) กนง.ลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 1.25% ตามคาด
ทรัมป์ลงนามคำสั่งจัด "เฟนทานิล" เป็นอาวุธทำลายล้างสูง เล็งใช้กำลังทหารปราบปราม ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยังระบุว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อจัดประเภทของกัญชาใหม่ ซึ่งจะเอื้อต่อการผ่อนปรนข้อจำกัดของรัฐบาลกลาง ทั้งนี้ การจัดประเภทใหม่นี้จะย้ายกัญชาออกจากกลุ่มเดียวกับเฮโรอีนไปอยู่ในกลุ่มที่มีอันตรายน้อยกว่า เช่น สเตียรอยด์และยาไทลินอลผสม โคเดอีน และจะนับเป็นครั้งแรกที่กฎหมายรัฐบาลกลางรับรองการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์อย่างเป็นทางการ
*ผู้ว่า ธปท.จับตา Paper Trade ทอง 4 เจ้าใหญ่พุ่งพรวดทำบาทแข็งค่าหนัก สั่งเช็กบิล"เงินเทา"คริปโทฯ ธปท.ได้หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อยกระดับการกำกับดูแลธุรกิจร้านทองและการซื้อขายทองคำผ่านแอปพลิเคชัน หลังพบว่าธุรกรรมการซื้อขายทองคำในรูปแบบ Paper Trade ของผู้ประกอบการรายใหญ่เพียง 3-4 รายมีมูลค่าสูงมาก คิดเป็นราว 50% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งขอให้ธนาคารพาณิชย์ในการตรวจเอกสารและแสดงแหล่งที่มาเข้มงวดขึ้น
ขณะเดียวกัน สกุลเงินดิจิทัล (คริปโทฯ) ก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่ต้องมีการดูแล โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีข้อจำกัดในการดูแลเรื่องนี้ สิ่งที่ต้องการคือการนำกฎหมายที่เรียกว่า "Travel Rule" มาใช้ ซึ่งต้องอาศัยกฎหมายของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อให้เห็นว่าเงินคริปโทฯ (เช่น USDT) มีแหล่งที่มาต้นทางจากไหน เพื่อแยกแยะว่าเป็นเงินเทา เงินดี หรือเงินไม่พึงประสงค์
หุ้นแนะนำวันนี้
CPN Traffic คนเดินห้างปรับตัวขึ้นดีสวนภาวะเศรษฐกิจ ทั้งจากการเปิด Mix used กระบี่, ดุสิต และปิดโอนโครงการอสังหาฯหนุน งบ 4Q
แนวรับ 53.75 ต้าน 56.5 Stop loss 53
รายงานพื้นฐานวันนี้
Thai Market Strategy
กลยุทธ์หุ้นปันผลปี 2026 | ปลดล็อกกับดักปันผลสูง สร้างพอร์ตรับกระแสเงินสด 4 ฤดู
The Reality: ไม่ว่ามาตรการหนุนตลาดทุน (เช่น TISA) จะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ธีม Dividend Play จะยังคงเป็นแกนหลักของการลงทุนปี 2026 เหตุผลสำคัญคือ Valuation ของตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับพันธบัตร (Dividend Yield Gap) ยังคงกว้างและอยู่ในระดับสูงสุดใกล้เคียงช่วงวิกฤตโควิด ซึ่งตามสถิติเป็นจุดที่ Downside risk ต่ำและเอื้อต่อการสะสมหุ้นปันผล
Income is King: ผลตอบแทนรวม (Total Return) ของ SET Index ในทศวรรษที่ผ่านมา (2015–2024) พบความจริงที่น่าสนใจว่า กว่า 70% ของผลตอบแทนมาจากเงินปันผล ขณะที่ Capital Gain มีสัดส่วนเพียง 15% ยืนยันว่าในยุคที่เศรษฐกิจและกำไรเติบโตต่ำ เงินปันผลคือเบาะรองรับและแหล่งผลตอบแทนที่แท้จริง
The Quality Screen: กลยุทธ์ปี 2026 ไม่ใช่แค่การหาหุ้นที่มีสถิติการจ่ายปันผลสูง แต่คือการหลีกเลี่ยงกับดักปันผล (Dividend Trap) เพื่อสร้างพอร์ต 4 ฤดูกาล ให้นักลงทุนได้กระแสเงินสดเกือบทั้งปี
โดบเกณฑ์คัดกรองเชิงคุณภาพ (Quality Screening) เพื่อข้ามผ่าน "กับดักปันผล (Dividend Trap)" สู่คุณภาพที่ยั่งยืน ได้แก่
1) Yield Visibility: คาดการณ์ปันผลปี 2026-27 สูงกว่า 4% ต่อปี
2) Consistency: มีประวัติจ่ายปันผลสม่ำเสมอและไม่ลดลงตลอด 3 ปีที่ผ่านมา (Dividend Stability)
3) Earnings Resilience: ความเสี่ยงต่ำจากการถูกปรับลดประมาณการกำไร (Earnings Downgrade) โดยกำไรต้องไม่ถูกหั่นลงมากเกินไปในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
4) Cash Flow Defensibility: เน้นธุรกิจที่มีรายได้มั่นคงหรือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ากำไรผันผวนต่ำในช่วง 20 ไตรมาสย้อนหลัง
แผนระยะสั้น: จังหวะสะสมเพื่อเก็บเกี่ยวรอบกุมภาพันธ์ เราได้ 5 บริษัทเด่นที่เป็น Top Picks สำหรับการดักเก็บเงินปันผลรอบใหญ่ที่จะประกาศในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ ได้แก่ SCB (Div. Yield H1 ~6.3%) TISCO (Yield ~5.4%) KTB (Yield ~4.5%) WHAUP (Yield ~4.1%) และ CPN (Yield ~4.0%)
แผนระยะยาว: พอร์ต "4 ฤดู"...สร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอตลอดปีด้วยหุ้นปันผล 11 บริษัทเข้าด้วยกัน เป้าหมายคือการสร้าง Passive Income Stream ที่ไหลเข้าพอร์ตอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส (ครอบคลุมการจ่ายปันผลถึง 8 จาก 12 เดือนต่อปี) กลยุทธ์นี้ไม่เพียงช่วยบริหารสภาพคล่อง แต่ยังทำหน้าที่ลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
(รายละเอียดติดตามอ่านในรายงานฉบับเต็ม)
Transport Sector
ปี 2026 แนวโน้มดีขึ้นจากทั้งปริมาณ-ต้นทุน
เรามองแนวโน้มกลุ่มขนส่งในปี 2026 ปรับดีขึ้นจากทั้งฝั่งปริมาณผู้โดยสารเพิ่มและต้นทุนลดลง สรุปเป็นแต่ละกลุ่มย่อย ดังนี้
สายการบิน: คาดว่าการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะหนุนปริมาณผู้โดยสารของ AAV, BA และ THAI ในปี 2026 ต่อเนื่องจากช่วง high season ที่ลากยาวถึง 1Q26 ขณะที่โครงสร้างต้นทุนมีโอกาสลดลงจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัว
ทางด่วนและระบบราง: ตัวเลขผู้ใช้งานระบบฯ มีแนวโน้มขยายตัว YoY จากทั้งนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น การสิ้นสุดงานก่อสร้างบริเวณจุดขึ้น–ลงทางด่วน และการเติบโตเชิงโครงสร้างของเมืองตามแนวรถไฟฟ้า การเปิดโครงการพาณิชย์ใหม่ๆ รอบสถานีช่วยเสริม organic growth ให้กับระบบขนส่งมวลชน
การใช้ AI-Tech: กลุ่มขนส่งยังเป็นหนึ่งใน sector ที่เริ่มนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยผลสำรวจ EP.3 ชี้ว่าประมาณหนึ่งในสามของผู้ประกอบการสามารถวัดผลเชิงกำไรได้จริง และส่วนใหญ่เห็นผลบวกมากกว่า 10% สะท้อนศักยภาพในการควบคุมต้นทุนและเพิ่ม productivity ระยะยาว
Fundamental view: เรายังคงคำแนะนำ “เท่ากับตลาด” ต่อกลุ่มขนส่งฯ แม้ภาพปี 2026 จะดีขึ้น แต่ upside ยังขึ้นกับความแรงของนักท่องเที่ยวต่างชาติและความผันผวนด้านพลังงาน
AAV เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม โดยสามารถเล่นไปกับการท่องเที่ยวที่ฟื้น และต้นทุนที่ลดลง โดยเฉพาะช่วง high season ท่องเที่ยว (4Q25 ถึง 1Q26) ซึ่งก็เป็นจังหวะที่สามารถเก็งกำไรใน BA และ THAI (เราไม่ได้ Cover) ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์การบินไปด้วยได้
BJC
เบอร์ลี่ ยุคเกอร์
ถูกแต่ยังไม่ถึงเวลา
แม้ Valuation ของ BJC จะอยู่ในระดับถูก แต่เรายังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของกำไรในระยะใกล้ โดยจากการตรวจสอบล่าสุด SSS ของ BigC (65% ของรายได้ BJC) ในช่วง 4Q25-to-date ยังติดลบ 3–4% YoY ใกล้เคียงกับ 3Q25 ที่ -3.8% YoY สะท้อนแรงซื้อที่หายไปหลังไม่มีมาตรการแจกเงิน 1 หมื่นบาทเหมือนปีก่อน รวมถึงผลกระทบจากน้ำท่วมภาคใต้และยอดขายที่อ่อนตัวบริเวณชายแดนกัมพูชา เบื้องต้นจึงประเมินกำไร 4Q25 ลดลง YoY (ฟื้น QoQ ตามฤดูกาล) นอกจากนี้ ยังเผชิญเรื่องการแข่งขันที่สูงอยู่ด้วย
เราปรับลดคาดการณ์กำไรหลักปี 2026 ลง 7% และปี 2027 ลง 8% เพื่อสะท้อนการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศที่ช้า และการแข่งขันที่สูงขึ้น โดยปรับสมมติฐาน SSSG เหลือเพียง 1% ต่อปี (จากเดิม 2%) และการเติบโตค่าเช่าที่ 3% ต่อปี คาดกำไรหลักปี 2026 อยู่ที่ 4.62 พันล้านบาท (+6% YoY) โดยสมมติว่า SSS จะผ่านจุดต่ำสุดใน 1Q26 และค่อยๆ ดีขึ้นหลังจากนั้น
ส่วนการเข้าซื้อ MMVN (ธุรกิจค้าส่งในเวียดนาม) ช่วยขยายฐานในกลุ่มธุรกิจค้าส่ง แต่ผลบวกต่อกำไรปี 2026–27 มีเพียงราว 2% ขณะที่ราคาซื้อสูง (PER ปี 2024 ราว 41x) และเป็นการกู้เงินทั้งหมด ทำให้ D/E เพิ่มขึ้นเป็น 1.3–1.4x เรามองว่าดีลนี้ยังไม่สร้าง upside ที่มีนัยสำคัญในช่วง 1–2 ปีข้างหน้า
Fundamental view: BJC จะซื้อขายที่ PER ปี 2026 เพียง 12.4x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวและกลุ่มฯ อย่างมีนัย แต่ด้วยกำไรที่ยังฟื้นช้าและ SSS ที่ยังอ่อน เรามองว่า ยังไม่ใช่จังหวะเข้าลงทุน จึงปรับราคาเป้าหมายเหลือ 16.50 บาท และคงคำแนะนำ ถือ ทั้งนี้ กลุ่มค้าปลีกสินค้าจำเป็น เรายังชอบ CPALL มากกว่า จากความชัดเจนของแนวโน้มกำไรและการฟื้นตัวของ traffic
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน