ยุบสภา กดดัน SET แค่ไหนก่อนเลือกตั้ง
HORIZON MARKET VIEW
• วานนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยดัชนี DOW JONES ปรับตัวสูงขึ้นราว+1.3% จากแรงหนุนในการปรับลดดอกเบี้ยของ FED พร้อมคาดการณ์ DOT PLOTส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปี 2569 แต่ตลาดฯ กลับมองว่าจะมีปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง หลังตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังดูอ่อนแอ ซึ่งตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานล่าสุดอยู่ที่ 236,000 ราย สูงกว่าตลาดคาด นอกจากนี้ ยังมีความคาดหวังว่าKEVIN HASSETT จะเป็นประธาน FED คนใหม่ เพิ่มโอกาสนโยบายผ่อนคลายมากขึ้น
• อย่างไรตาม หากมองในมุมของดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง เมื่อนับตั้งแต่ตั้นเดือนธ.ค. 68 ดอลลาร์ -1.1% ล่าสุดอยู่ที่ 98.4 หลังแรงกดดันจาก FED เดินหน้าลดดอกเบี้ย ขณะที่ BOJ เตรียมขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากเงินเฟ้อญี่ปุ่นยังสูงกว่าเป้าหมาย2% ทำให้ส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ-ญี่ปุ่นแคบลง
REGION RADAR
• ORACLE (ORCL US)-10.93% โดยบริษัทรายงานกำไรแข็งแกร่ง แต่ตลาดมีความกังวลถึงเรื่องงบการลงทุน CAPEX ซึ่งไตรมาสล่าสุดใช้งบลงทุน CAPEX อยู่ที่ $1.20 หมื่นล้าน ส่งผลให้ FREE CASHFLOW ติดลบสูงถึง $9.9 พันล้าน
• วานนี้หุ้นกลุ่ม FINANCE ปรับตัวขึ้นแรง นำโดยกลุ่ม PAYMENTอาทิ VISA (V US) +6.11% และ MASTERCARD (MA US) +4.55%หลังได้ SENTIMENT หนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ FEDแนะนำเก็งกำไร MASTERCARD (DR: MA80)
THAI FOCUS
• สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เกิดวิกฤตความเชื่อมั่น โดยเม็ดเงินต่างชาติขายต่อเนื่อง 8 ใน 10 ปี และขายหนักขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนมุมมองว่าตลาดหุ้นไทย "ขาดเสน่ห์" หรือ "ขาดGROWTH STORY" เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เวียดนามไต้หวัน เกาหลีใต้
• อีกทั้งขาดแรงพยุงจากสถาบัน ผ่านการยกเลิก LTF ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทำให้เม็ดเงินระยะยาวหายไป จึงยากที่จะทำเห็นดัชนีปรับตัวขึ้นแรงๆ ได้ หากไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาดึงดูด FUND FLOW
SYNAPSE STRATEGY
• วานนี้ยุบสภา จัดเลือกตั้งใหม่เร็วสุด 1 ก.พ. 69 ความไม่แน่นอนทางการเมือง-นโยบายที่ชะงักงันเสี่ยงกดดันเศรษฐกิจไทย 4Q68 และเพิ่มโอกาสเกิด RECESSION หาก GDP โตต่ำกว่า 0.6% YOY
• สถิติในอดีตชี้ให้เห็นว่า การยุบสภามักส่งผลกระทบในเชิงลบต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น และทำให้เงินทุนต่างชาติไหลออก กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ เลือก SCB (ปันผลสูงราว 8%) ERW (EARNING CYCLEดีต่อเนื่อง) TOP(เกิดความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่,อากาศที่หนาวขึ้น หนุนการใช้เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น)
HORIZON MARKET VIEW
ยังวนเวียนอยู่กับการปรับลดดอกเบี้ยของ FED
วานนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยดัชนี DOW JONES ปรับตัวสูงขึ้นราว +1.3% จากแรงหนุนในการปรับลดดอกเบี้ยของ FED ติดต่อกัน 3 ครั้ง พร้อมคาดการณ์DOT PLOT ส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยอีก 1ครั้งในปี2569 อย่างไรก็ดี ตลาดฯ กลับมองว่าจะมีปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง หลังตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังดูอ่อนแอซึ่งตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานล่าสุดอยู่ที่ 236,000 ราย สูงกว่าตลาดคาดที่ 220,000 ราย นอกจากนี้ จากผลสำรวจของ POLYMARKET มีความคาดหวังว่า KEVIN HASSETT จะเป็นประธาน FED คนใหม่ เพิ่มโอกาสนโยบายผ่อนคลายมากขึ้น
อย่างไรตาม หากมองในมุมของดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง (เงินบาทแข็งค่าขึ้นในเชิงเปรียบเทียบ) เมื่อนับตั้งแต่ตั้นเดือน ธ.ค. 68 ดอลลาร์ -1.1% ล่าสุดอยู่ที่ 98.4 หลังแรงกดดันจาก FED เดินหน้าลดดอกเบี้ย ขณะที่ BOJเตรียมขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากเงินเฟ้อญี่ปุ่นยังสูงกว่าเป้าหมาย 2% ทำให้ส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐญี่ปุ่นแคบลง
REGION RADAR
ORACLE รายงานกำไรแข็งแกร่ง แต่ตลาดมีความกังวลเรื่องงบ CAPEX
ผลประกอบการไตรมาส 2 ปีบัญชี 2026 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ $1.60 หมื่นล้าน +14% YOY (ต่ำกว่าคาด0.9%) หลังได้รับแรงกดดันจากรายได้ของธุรกิจหลักอย่าง CLOUD & SOFTWARE ออกมาที่ระดับ $1.38 หมื่นล้าน (ต่ำคาด 2.0%) อีกทั้งรายได้ที่รอการรับรู้ (RPO) เปรียบเสมือน BACKLOG ของบริษัทมีการเติบโตในระดับที่สูงช่วง 2 ไตรมาสล่าสุด โดยไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทรายงาน RPO อยู่ที่ $5.23 แสนล้าน +437% YOY
จากการใช้งบลงทุนที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างสูงของบริษัทส่งผลให้ FREE CASH FLOW ติดลบสูงถึง $9.9 พันล้าน ในไตรมาสที่ผ่านมา โดยบริษัทรายงานการใช้งบลงทุน CAPEX อยู่ที่ $1.20 หมื่นล้าน
CDS SPREAD อายุ 5 ปีของบริษัท ORACLE ปรับตัวสูงขึ้นมากตั้งแต่เดือน ก.ย. ที่ผ่านมา สะท้อนความกังวลของตลาดถึงความเสี่ยงที่ ORACLE อาจผิดนัดชำระหนี้มีมากขึ้น
กลุ่ม FINANCE ได้แรงหนุนจาก FED ลดดอกเบี้ย
วานนี้หุ้นกลุ่ม FINANCE ปรับตัวขึ้นแรง นำโดยกลุ่ม PAYMENT อาทิ VISA (V US) +6.11% และMASTERCARD (MA US) +4.55% หลังได้ SENTIMENT หนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ FED ลงสู่ระดับ 3.50%-3.75% นอกจากนี้ MASTERCARD ได้ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนมูลค่า $1.4 หมื่นล้าน คิดเป็นประมาณ 3% ของมูลค่าตลาด
THAI FOCUS
FLOW ต่างชาติ และ สถาบันรุมเร้าหุ้นไทย กดดันดัชนีไม่ไปไหน
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2016 – 2025YTD) ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยรวมกว่า -25,819 ล้านเหรียญฯ (ประมาณ8.4 แสนล้านบาท) ขายหนัก 3 ปีหลัง(ปี 2023, 2024 และ 2025) ต่างชาติเทขายอย่างหนักต่อเนื่อง (-5,507, -4,132, -3,256 ล้านเหรียญฯ ตามลำดับ) ส่งผลให้ผลตอบแทนสะสม 10 ปี ของไทยอยู่ที่ -2% ซึ่งสวนทางกับประเทศอื่นอย่างสิ้นเชิง เช่น ไต้หวัน +238% เวียดนาม +195% ญี่ปุ่น +164% (แม้แต่ประเทศที่ต่างชาติขายเหมือนกัน ตลาดก็ยังบวกได้ แสดงว่าเม็ดเงินในประเทศช่วยเหลือแทน) โดยปีนี้YTD สถาบันขาย -32,581 ล้านบาท สาเหตุหลักที่สถาบัน (กองทุน) ขายหุ้นไทย ส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีโดยในอดีตกองทุน LTF (LONG TERM EQUITY FUND) คือเม็ดเงินหลักที่ช่วยพยุงหุ้นไทย เพราะบังคับถือครองระยะยาวเพื่อลดหย่อนภาษี แต่เมื่อ LTF หมดอายุโครงการและเปลี่ยนเป็น SSF/THAIESG ซึ่งเงื่อนไขไม่จูงใจเท่าเดิม
สรุปสถานการณ์ตลาดหุ้นไทย เกิดวิกฤตความเชื่อมั่น โดยต่างชาติขายต่อเนื่อง 8 ใน 10 ปี และขายหนักขึ้นเรื่อยๆสะท้อนมุมมองว่าตลาดหุ้นไทย "ขาดเสน่ห์" หรือ "ขาด GROWTH STORY" เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และขาดแรงพยุงจากสถาบัน ผ่านการยกเลิก LTF เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เม็ดเงินระยะยาวหายไป จึงยากที่จะทำเห็นดัชนีปรับตัวขึ้นแรงๆ ได้ หากไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาดึงดูด FUND FLOW
SYNAPSE STRATEGY
ยุบสภา ส่งผลอย่างไรต่อ SET INDEX
วันนี้ (12 ธ.ค.2568) ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชกฤษฎีกายุบสภา พ.ศ.2568 เตรียมเดินหน้าเลือกตั้งใหม่ไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน ซึ่งวันสุดท้ายที่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ ไม่เกินวันอังคารที่10 ก.พ.69 (12ธ.ค. + 60 วัน) ทั้งนี้ ตามประเพณีปฏิบัติของไทย การเลือกตั้งทั่วไป มักจะถูกกำหนดให้เป็น “วันอาทิตย์” ทำให้การเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ (หากไม่มีการเลื่อน/ยกเลิก) อาจเป็นวันที่ 1 ก.พ.69 หรือ 8 ก.พ.69ขณะที่ผลกระทบต่อเศรษฐไทยอาจเกิดความไม่แน่นอนขึ้นในหลายประเด็น อาทิ การเดินหน้าโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2, โครงการ TISA, นโยบายรถไฟฟ้า 40 บาท ตลอดทั้งวัน, MEGA PROJECT ใหม่ๆรวมถึงการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และการเจรจาภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ เป็นต้น ทำให้4Q68 มีความเสี่ยงมากขึ้นจากนโยบายชะงักงันก่อนเลือกตั้งใหม่อาจกดดันความเชื่อมั่น และกรณีที่GDP GROWTH ไทย โตต่ำกว่า 0.6%YOYมีโอกาสเห็นภาพ TECHNICAL RECESSION ได้ (GDP ติดลบต่อกัน 2 ไตรมาส)
ขณะที่สถิติการยุบสภาในอดีต ต่อค่าเงินบาท ในช่วง 1 เดือนก่อน และ 1 เดือนหลังการยุบสภา โดยค่าเงินบาทมีความผันผวนทั้งก่อนและหลังการยุบสภา มีแนวโน้มอ่อนค่าเล็กน้อย โดยเฉลี่ยทั้งก่อนและหลังการยุบสภา ราว0.8% และ 0.6% ตามลำดับ อีกทั้งในช่วง 1 เดือนนี้ ค่าเงินบาท แข็งค่ามากกว่า2.0% ยิ่งเป็นแรงส่งให้สามารถดีดตัว หรืออ่อนค่าลงได้บ้าง ส่วนสถิติหลังการยุบสภา 1 เดือน ต่อ FLOW ต่างชาติเงินทุนไหลออก (NET SELL)เกิดขึ้นบ่อยครั้งหลังการยุบสภา ไหลออก : เกิดขึ้น 5 ครั้ง จาก 6 ครั้ง มีค่าเฉลี่ยไหลออกสุทธิ-10,859 ล้านบาท
ส่วนภาพการเคลื่อนไหวของ SET ในอดีตตั้งแต่ พ.ศ. 2539 ถึง 2566 ผลตอบแทนของ SET หลังยุบสภา 1 เดือนมีค่าเป็นลบแทบทุกครั้ง ยกเว้นครั้งเดียวในปี 2556 ค่าเฉลี่ย : ผลตอบแทน SET หลังยุบสภา 1 เดือน เฉลี่ยติดลบ-6.7%
โดยสรุปแล้ว สถิติในอดีตชี้ให้เห็นว่า การยุบสภามักส่งผลกระทบในเชิงลบต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น และทำให้เงินทุนต่างชาติไหลออก กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ เลือก SCB (ปันผลสูงราว 8%, เผชิญแรงขายของกอง LTF น้อย) ERW(PE ถูกเมื่อเทียบกับตัวเองในอดีต ,EARNING CYCLE ดีต่อเนื่อง) TOP(เกิดความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่, อากาศที่หนาวขึ้น หนุนการใช้เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น)
Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์