Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

SCB EIC ทิศทางการลงทุนไทย ในยุคที่การลงทุนโลกไม่เหมือนเดิม

108

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(27 พฤศจิกายน 2568)-----------KEY SUMMARY
_____
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากระเบียบโลกใหม่ที่เกิดขึ้น ได้เร่งให้การลงทุนทั่วโลกต้องปรับเปลี่ยนทิศทางการลงทุนเพื่อรับมือกับความเสี่ยงและโอกาสระเบียบโลกใหม่ที่เกิดขึ้นภายใต้ “ทรัมป์ 2.0” ประกอบกับการใช้นโยบายกีดกันทางการค้า (Protectionism) ของหลายประเทศได้สร้างแรงกดดันและเร่งให้นักลงทุนทั่วโลกต้องปรับกลยุทธ์การลงทุน ซึ่งการประกาศนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจเร่งให้เกิด 4 กระแสการลงทุนของโลก ได้แก่ 1) Moving to the US : การลงทุนมีแนวโน้มไหลเข้าสหรัฐฯ เพื่อลดภาระภาษีนำเข้าทั้งจากบริษัทของสหรัฐฯ ที่ย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ บริษัทข้ามชาติที่ต้องการขยายตลาดในสหรัฐฯ และการลงทุนของประเทศพันธมิตรภายใต้ข้อตกลงทวิภาคีแลกเปลี่ยนกับการลดอัตราภาษีตอบโต้ 2) Global Competitive Relocation : เงินลงทุนมีแนวโน้มไหลเข้าประเทศที่ได้เปรียบทางการแข่งขันโดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นประเทศภายใต้ข้อตกลงการค้า USMCA และประเทศที่ถูกเก็บภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ ในอัตราที่ต่ำ 3) From China to Others : การลงทุนจากจีนกระจายไปประเทศอื่นเพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น และ 4) Reshoring/Nearshoring to home country : การกลับมาลงทุนในประเทศหรือในภูมิภาค เพื่อเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจผ่านมาตรการจูงใจที่ทยอยออกมาเพื่อสนับสนุนการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศหรือภูมิภาค

นอกจากนี้ แนวโน้มการลงทุนยังเน้น Strategic Investment Focus : การลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์แห่งอนาคตที่เชื่อมโยงเมกะเทรนด์ด้านดิจิทัลและความยั่งยืนมากขึ้น เช่น โครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ การผลิตขั้นสูง Data center เซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงพลังงานสะอาด


แม้นโยบายภาษีของสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในไทย แต่ในภาพรวมกระแสการลงทุนจากต่างประเทศยังไหลเข้าไทยต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เริ่มพบการเปลี่ยนแปลงในการลงทุนจากต่างประเทศทั้งในด้านแหล่งเงินทุน กลุ่มอุตสาหกรรม และรูปแบบของโครงการที่เข้ามา


ในภาพรวม นักลงทุนต่างชาติยังสนใจเข้ามาลงทุนในไทยต่อเนื่องจากมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2025 ที่ยังเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 4.70 แสนล้านบาท และเริ่มชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 3 มาอยู่ที่ 2.47 แสนล้านบาทจากมูลค่าการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลที่ลดลงหลังขยายตัวสูงในช่วงก่อนหน้า โดยในภาพรวม การขอรับการส่งเสริมการลงทุนส่วนใหญ่ยังกระจุกที่อุตสาหกรรมดิจิทัล เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงโลหะและวัสดุ โดยสิงคโปร์เป็นแหล่งเงินทุนที่เข้ามาลงทุนในไทยสูงสุด ตามด้วย จีน-ฮ่องกง และญี่ปุ่น ซึ่งแม้การลงทุนจากต่างประเทศจะยังเข้ามาไทยต่อเนื่อง แต่เริ่มเห็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ในด้านแหล่งเงินทุน สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) กลุ่มที่ชะลอการลงทุนเพื่อประเมินสถานการณ์ จากการขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่ลดลงจากเดิมที่เคยขยายตัวต่อเนื่อง 2) กลุ่มที่การลงทุนลดลงต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายของประเทศต้นทางที่ต้องการดึงการลงทุนกลับประเทศ 3) กลุ่มที่ยังเติบโตดี ชี้ให้เห็นถึงการวางบทบาทไทยในฐานะฐานการผลิตที่สำคัญของภูมิภาค นอกจากนี้ ยังพบสัดส่วนการลงทุนจากประเทศในยุโรปขยายตัวสูงขึ้น อีกทั้ง การลงทุนจากประเทศตะวันออกกลางยังเข้ามาไทยต่อเนื่องและมูลค่าการลงทุนขยายตัวสูงอย่างก้าวกระโดด ในด้านอุตสาหกรรม การลงทุนจากต่างประเทศขยายไปสู่กิจการย่อยที่มีมูลค่าเพิ่มสูงมากขึ้นทั้งเทคโนโลยีขั้นสูงและดิจิทัล, EV Ecosystem และอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับเทรนด์อนาคต นอกจากนี้ ยังเริ่มเห็นการลงทุนในบางอุตสาหกรรมที่ชะลอตัว อาทิ เหล็กสำหรับงานก่อสร้าง และโซลาร์เซลล์ จากการปรับลดหรือยกเลิกสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนของ BOI เพื่อบริหารความเสี่ยงจากการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และสอดรับกับกติกาด้านความยั่งยืนที่มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น ในด้านรูปแบบโครงการ มีแนวโน้มเปลี่ยนไปสู่โครงการขนาดเล็กมากขึ้น คาดว่าเป็นการลงทุนเพื่อเชื่อมต่อ Supply chain ในไทยหรือในอาเซียนที่มีความแข็งแกร่ง รวมถึงการเข้ามาลงทุนตามผู้ผลิตรายใหญ่ที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยในช่วงก่อนหน้า นอกจากนี้ ยังพบสัดส่วนมูลค่าการลงทุนในโครงการใหม่เพิ่มสูงขึ้นเป็น 78% จากค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 ที่เพียง 34% บ่งชี้ว่าไทยมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและยังคงรักษาระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้ไทยสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในโครงการใหม่ได้มากขึ้น

 

ในระยะข้างหน้า คาดว่าการลงทุนจากต่างประเทศในไทยจะยังมีโอกาสขยายตัวตามทิศทางการค้าโลกที่มีความชัดเจนมากขึ้นประกอบกับการดำเนินมาตรการเชิงรุกของ BOI ในการรักษาฐานนักลงทุนเดิมควบคู่กับการดึงแหล่งเงินทุนใหม่ อีกทั้ง ภาครัฐยังส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตสอดคล้องกับทิศทางการลงทุนโลก อย่างไรก็ตาม ไทยยังต้องเผชิญกับแรงกดดันหลายด้านในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

แม้การลงทุนจากต่างประเทศในไทยยังมีโอกาสขยายตัว แต่เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนแล้ว ไทยยังตามหลังหลายประเทศ


โดยการแข่งขันในภูมิภาคเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะจากฐานเงินทุนสำคัญอย่างจีนและสิงคโปร์ ซึ่งที่ผ่านมา มูลค่าการอนุมัติการลงทุนจากต่างประเทศของไทยยังตามหลังประเทศเพื่อนบ้านทั้งอินโดนีเซีย, มาเลเซีย และเวียดนาม อีกทั้ง สัดส่วนการลงทุนจากต่างประเทศต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (FDI ต่อ GDP) ในปี 2024 ของไทยอยู่ที่เพียง 2.7% ซึ่งต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค สอดคล้องกับข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ระบุว่า สัดส่วนการลงทุนรวมทั้งจากในและต่างประเทศต่อ GDP ในปี 2024 ของไทยอยู่ในระดับต่ำสุดในภูมิภาคที่ 22% และอาจลดลงอีกใน 5 ปีข้างหน้า สะท้อนว่าไทยยังมีข้อจำกัดในการสร้างแรงขับเคลื่อนการลงทุนทั้งจากในและต่างประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

การดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ซึ่งไทยต้องเร่งปรับตัวและยกระดับศักยภาพการแข่งขัน


ไม่ว่าจะเป็นความท้าทายจากการสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศที่ยังอยู่ในระดับต่ำและพึ่งพาการนำเข้ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในปี 2025 มูลค่าการนำเข้าจากจีนขยายตัวสูงถึง 133% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยช่วงปี 2015–2019 ขณะที่ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ยังทรงตัวใกล้ระดับเฉลี่ยในอดีต สะท้อนถึงการลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามายังเชื่อมโยงกับผู้ผลิตในประเทศได้ไม่มาก นอกจากนี้ ไทยยังเผชิญกับความเสี่ยงจากมาตรการ Transshipment ของสหรัฐฯ ซึ่งยังไม่ชัดเจนและมีโอกาสกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของกลุ่มที่จะเข้ามาลงทุนเพื่อส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ อีกทั้ง ปัจจัยเชิงโครงสร้างภายในประเทศ ยังคงเป็นข้อจำกัดต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ทั้งโครงสร้างการผลิตที่กระจุกตัวในอุตสาหกรรมกลาง-ปลายน้ำ ผลิตภาพแรงงานที่เติบโตช้ากว่าประเทศคู่แข่ง การพัฒนาแรงงานทักษะเทคโนโลยีขั้นสูงที่ยังไม่ทันต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และต้นทุนพลังงานที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจเป็นอุปสรรคต่อการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมขั้นสูงได้

อย่างไรก็ดี นโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทยยังมีศักยภาพดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้ดี แต่จำเป็นต้องทบทวนต่อเนื่องเพื่อพร้อมรับโอกาสและความท้าทายของการลงทุนโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการไทยควรต้องเร่งปรับตัวยกระดับสู่การเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมยุคใหม่


เมื่อเปรียบเทียบนโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทยกับประเทศอาเซียนอย่าง อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และเวียดนามแล้ว ไทยยังมีจุดแข็งสำคัญหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับการตั้งฐานการผลิตขั้นสูง อย่างไรก็ตาม ประเทศในอาเซียนก็มีจุดแข็งเฉพาะตัว เช่น เวียดนามที่มีความได้เปรียบด้านข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ครอบคลุมกว่า 60 ประเทศ หรืออินโดนีเซียที่มีทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญต่อระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น ไทยต้องเร่งเสริมความได้เปรียบและต่อยอดจุดแข็งอย่างต่อเนื่อง เช่น การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถยกระดับสู่ห่วงโซ่การผลิตใหม่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานและดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาแรงงานทักษะสูงเพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมขั้นสูงที่จะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น อีกทั้ง ภาครัฐอาจพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อลดอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ และให้ทันต่อบริบทของเศรษฐกิจและรูปแบบธุรกิจที่เปลี่ยนไป ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการไทยควรเร่งปรับตัวยกระดับสู่การเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมยุคใหม่ ได้แก่ 1) การยกระดับการผลิตผ่านการลงทุนด้านเทคโนโลยีทั้งระบบอัตโนมัติ และใช้ข้อมูลเพื่อปรับระบบการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงพร้อมทั้งลดต้นทุนให้สามารถแข่งขันได้ 2) ปรับบทบาททางธุรกิจให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลทั้งในด้านคุณภาพและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการต่อยอดการผลิตสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต และ 3) สร้างพันธมิตรกับผู้ผลิตต่างชาติ ผ่านการร่วมมือด้านเทคโนโลยี การพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วม และโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment : FDI) เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย โดยหลังจากการเคลื่อนย้ายของ FDI ทั่วโลกหยุดชะงักลงจากวิกฤตโควิด-19 ก็เริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ดีต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ระเบียบโลกใหม่ที่เกิดขึ้นภายใต้ “ทรัมป์ 2.0” ส่งผลให้ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับแนวโน้มการใช้นโยบายกีดกันทางการค้า (Protectionism) ของหลายประเทศทั่วโลกอาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนทิศทางการค้าและการลงทุนของโลกในระยะข้างหน้า

ทิศทาง FDI ของโลกมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร


สภาพแวดล้อมโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนได้เร่งให้การลงทุนทั่วโลกปรับทิศทางการลงทุนเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ราคาพลังงานที่ผันผวน หรือการปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าอย่างฉับพลันในหลายประเทศ ซึ่งความไม่แน่นอนเหล่านี้ได้สร้างแรงกดดันและเร่งให้นักลงทุนทั่วโลกต้องปรับกลยุทธ์การลงทุน โดยนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาเมื่อต้นเดือนเมษายน 2025 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ ซึ่งกระแสการลงทุนทั่วโลกมีแนวโน้มเคลื่อนย้ายไปใน 4 ทิศทางหลัก ประกอบด้วย


1. Moving to the US : เงินลงทุนมีแนวโน้มไหลเข้าสหรัฐฯ มากขึ้นเพื่อลดภาระภาษีนำเข้ารายสินค้า ข้อมูลล่าสุด (ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2025) จากเว็บไซต์ของทำเนียบขาว ระบุว่า ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ 2.0 มูลค่าการลงทุนรวมในสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 8.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่จะลงทุน
ในอุตสาหกรรมสำคัญ อย่างเช่น เทคโนโลยี AI และ Data center, พลังงาน, ยานยนต์, เหล็ก, อิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงเวชภัณฑ์และเทคโนโลยีชีวภาพ โดยแหล่งที่มาของเงินลงทุนหลักมาจากบริษัทสัญชาติอเมริกันที่ทยอยย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ บริษัทข้ามชาติที่ขยายการลงทุนเข้ามาในสหรัฐฯ และจากการลงทุนระยะยาวของประเทศพันธมิตร เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, UAE และอินเดีย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นข้อตกลงทวิภาคี
ที่แลกเปลี่ยนกับการลดอัตราภาษีตอบโต้จากอัตราเดิมที่เคยประกาศไว้ในเดือนเมษายน 2025
2. Global Competitive Relocation : การลงทุนมีแนวโน้มไหลเข้าสู่ประเทศที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันโดยเฉพาะในการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ เช่น เม็กซิโก เนื่องจากสินค้าราว 90% อยู่ภายใต้ข้อตกลงการค้า USMCA ที่ยังได้รับการยกเว้นภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ และยังมีความได้เปรียบในด้านต้นทุนการขนส่งด้วยพรมแดนที่ติดกัน รวมถึงญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปที่ได้ประโยชน์จากข้อตกลงลดอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ให้เหลือต่ำกว่าชาติอื่น (อัตราสูงสุดไม่เกิน 15% ) และยังได้รับเงื่อนไขพิเศษทางการค้าอื่นอีกด้วย (เช่น ยกเว้นภาษีนำเข้าตอบโต้เพิ่มเติมในสินค้าประเภทเครื่องบินและส่วนประกอบ) ส่งผลให้นักลงทุนมีแนวโน้มสนใจหันมาลงทุนในประเทศเหล่านี้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น กรณีผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เครื่องบินของญี่ปุ่น Nikkiso และ Jamco มีแนวโน้มเพิ่มการลงทุนในประเทศมากขึ้น หลังสหรัฐฯ ยกเว้นภาษีตอบโต้เพิ่มเติมสำหรับการนำเข้าชิ้นส่วนเครื่องบินจากญี่ปุ่น
3. From China to Others : การลงทุนจากจีนกระจายไปในประเทศอื่นมากขึ้นท่ามกลางกระแส China+1
และ China+Many เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาจีนเป็นศูนย์กลางการผลิตเพียงแห่งเดียวท่ามกลางความ
ตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่รุนแรงและขยายวงกว้างมากขึ้น โดยทั้งนักลงทุนจีนและนักลงทุนต่างชาติที่มีฐานการผลิตในจีนต่างเร่งปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานด้วยการทยอยย้ายหรือขยายฐานการผลิตบางส่วนออกจากจีนไปยังประเทศที่มีต้นทุนแข่งขันได้ ขณะเดียวกัน นักลงทุนในจีนเองยังมองหาโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเพื่อขยายตลาดส่งออกแทนตลาดสหรัฐฯ
และสร้างโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว โดยนักลงทุนจีนให้ความสนใจลงทุนในกลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงประเทศในกลุ่ม BRICS หรือ Global South อื่น ๆ อย่างแอฟริกา และอเมริกาใต้ มากขึ้นจากความสัมพันธ์ทางการเมืองที่มั่นคงกับจีนและมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
4. Reshoring/Nearshoring to home country : การกลับมาลงทุนในประเทศหรือในภูมิภาคเพื่อเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โดยหลายประเทศได้ออกนโยบายและมาตรการจูงใจเพื่อสนับสนุนการย้ายฐานการผลิต


กลับประเทศหรือภายในภูมิภาคของตนอย่างจริงจังโดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ

อย่างการผลิตอาหาร พลังงาน และเทคโนโลยีขั้นสูง ตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรปออกโครงการสนับสนุนการลงทุนในการผลิตเทคโนโลยีพลังงานสะอาดในภูมิภาคเพื่อลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงาน ขณะที่เกาหลีใต้
ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีขั้นสูงภายในประเทศ นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มของกระแส Friendshoring ที่มุ่งสร้างเครือข่ายการผลิตและนวัตกรรมร่วมกับประเทศพันธมิตร อย่างเช่น อินเดีย-ญี่ปุ่น ภายใต้กรอบความร่วมมือด้าน Economic security และ Supply chain resilience ในอุตสาหกรรมสำคัญอย่าง เซมิคอนดักเตอร์ พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีดิจิทัล
อีกทั้ง แนวโน้มการลงทุนยังเน้น Strategic Investment Focus : กระแสการลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์แห่งอนาคตซึ่งจะมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในระยะยาว แทนการลงทุนแบบเดิมที่มักเน้น
ในอุตสาหกรรมการผลิตขั้นพื้นฐาน เช่น วัสดุก่อสร้าง, เคมีภัณฑ์, พลาสติก, สินค้าอุปโภคบริโภค และสิ่งทอ ไปสู่อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์แห่งอนาคตที่เชื่อมโยงเมกะเทรนด์ด้านดิจิทัลและความยั่งยืน เช่น โครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ การผลิตขั้นสูง Data center เซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงพลังงานสะอาด อย่างเช่นจีนที่ยังคงผลักดันการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ผ่านโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ทั้งระบบพลังงาน การคมนาคมขนส่ง และโครงข่ายดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการขยายอิทธิพลทางการค้า

 

อย่างไรก็ดี กระแสการเปลี่ยนแปลงทิศทางการลงทุนดังกล่าวถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับประเทศที่มีความพร้อมในการรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นระบบโลจิสติกส์ พลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ตลอดจนกรอบกฎระเบียบและนโยบายที่ชัดเจนเอื้อต่อการเข้ามาลงทุน นอกจากนี้ ยังรวมถึงความสามารถในการพัฒนาแรงงานและการปรับตัวของผู้ประกอบการในประเทศให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งประเทศที่สามารถผสมผสานจุดแข็งเหล่านี้เข้าด้วยกันจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนระลอกใหม่เข้าสู่ประเทศได้มากขึ้นในระยะข้างหน้า

กระแสการเปลี่ยนแปลงของการลงทุนทั่วโลกส่งผลต่อ FDI ที่เข้ามาไทยอย่างไร?

ที่ผ่านมา ไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายการลงทุนสำคัญในภูมิภาคอาเซียนที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ในช่วงรัฐบาลทรัมป์ 1.0 ซึ่งส่งผลบวกให้บริษัทข้ามชาติหลายแห่งทยอยย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมายังไทยอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี การแพร่ระบาดของวิกฤตโควิด-19 ได้ส่งผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุนบางส่วนเพื่อรอดูสถานการณ์ ซึ่งภายหลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย กระแสการลงทุนจากต่างประเทศในไทยก็ฟื้นตัวได้ค่อนข้างเร็ว สะท้อนจากมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (The Board of Investment of Thailand : BOI) ที่กลับมาสูงกว่าปี 2019 ได้ในปี 2023 ที่ราว 6.7 แสนล้านบาท และขยายตัวต่อเนื่องสู่ 8.2 แสนล้านบาทในปี 2024


โดยการลงทุนส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สาธารณูปโภค เครื่องจักรและยานยนต์ รวมถึงโลหะและวัสดุ ขณะที่ สิงคโปร์ จีน-ฮ่องกง และญี่ปุ่น ยังเป็นแหล่งเงินทุนหลักที่เข้ามาลงทุนในไทย อย่างไรก็ดี การประกาศนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนเมษายนและมีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาได้ส่งผลให้การลงทุนทั่วโลกถูกปกคลุมไปด้วยความไม่แน่นอน และมีแนวโน้มเปลี่ยนทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในไทยด้วยเช่นกัน


นโยบายภาษีของสหรัฐฯ มีแนวโน้มส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในไทยทั้งในเชิงโอกาสและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยนโยบายภาษีดังกล่าว มีส่วนเพิ่มแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติกระจายฐานการผลิตออกจากจีนมาไทยมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ต้องการลดการพึ่งพาสินค้าจากจีน แต่การกระจายฐานมาไทยของนักลงทุนจีนโดยเฉพาะการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ อาจเผชิญกับความเสี่ยงแฝงที่เข้าข่าย Transshipment หรือการสวมสิทธิ์ที่ใช้ไทยเป็นเพียงทางผ่านในการส่งออกเพื่อลดภาระภาษี ในขณะเดียวกัน อาจเข้ามาเร่งการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในตลาดสหรัฐฯ แล้วหันมาจับตลาดอาเซียนมากขึ้น ทำให้เม็ดเงินลงทุนมีแนวโน้มกระจายตัวสู่ประเทศอาเซียนที่มีศักยภาพการเติบโตของตลาดสูง ซึ่งนอกจากไทยแล้ว หลายประเทศในอาเซียนก็ต่างแข่งขันกันดึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย นอกจากนี้ นโยบายภาษีดังกล่าวยังอาจส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนหรือปรับแผนชะลอการลงทุนในไทยออกไปจากความวิตกต่อการขยายวงของการกีดกันทางการค้าในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งอาจเพิ่มความไม่แน่นอนของสภาวะการค้าโลกและต้นทุนการดำเนินธุรกิจในระยะข้างหน้า ขณะเดียวกัน แรงกดดันจากการ Reshoring หรือการย้ายฐานการผลิตกลับไปยังกลุ่มประเทศ USMCA (เขตการค้าเสรีสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา) ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษียังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะส่งผลต่อทิศทางการลงทุน ซึ่งแม้ว่านักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในไทยในช่วงก่อนหน้าอาจไม่ได้มีแผนย้ายฐานการผลิตกลับไปยังภูมิภาคอเมริกา แต่อาจส่งผลต่อเม็ดเงินลงทุนใหม่ที่นักลงทุนอาจชะลอการตัดสินใจแล้วพิจารณาลงทุนในเขตการค้าเสรีดังกล่าวแทน

 

อย่างไรก็ดี หลังประกาศนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ยังเห็นสัญญาณบวกของนักลงทุนต่างชาติที่สนใจเข้ามาลงทุนในไทยต่อเนื่อง แต่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านแหล่งเงินทุน กลุ่มอุตสาหกรรม และรูปแบบโครงการ
ในภาพรวม ไทยยังคงเป็นจุดหมายการลงทุนที่น่าดึงดูดในสายตานักลงทุนต่างชาติ แม้จะเผชิญความท้าทายจากความไม่แน่นอนของภาวะการค้าโลก สะท้อนจากมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุน
จากต่างประเทศในไตรมาสที่ 2 ปี 2025 (หลังสหรัฐฯ ประกาศนโยบายภาษี) ที่ยังเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าจาก 2.67 แสนล้านบาท มาอยู่ที่ 4.70 แสนล้านบาท และเริ่มชะลอตัวในไตรมาสที่ 3 (สหรัฐฯ เริ่มใช้นโยบายภาษี) มาอยู่ที่ 2.47 แสนล้านบาทจากการลดลงของมูลค่าการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลหลังขยายตัวสูงในช่วงก่อนหน้า

อย่างไรก็ดี ในภาพรวม แนวโน้มการลงทุนจากต่างชาติในไทยยังเป็นบวก จากตัวเลขมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2025 อยู่ที่ 1.37 ล้านล้านบาทขยายตัวกว่า 94% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2024 โดยการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลยังมีมูลค่าสูงสุด ตามด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สาธารณูปโภค เครื่องจักรและยานยนต์ และโลหะและวัสดุ ซึ่งจากตัวเลขล่าสุดของการขอรับการส่งเสริมการลงทุนรายประเทศ (1H2025) สิงคโปร์ เป็นแหล่งเงินทุนที่เข้ามาลงทุนในไทยสูงสุด (สัดส่วนราว 40%) ผ่านการลงทุนใน Data center และการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ตามด้วย จีน-ฮ่องกง (สัดส่วนราว 29%) ที่ยังคงเน้นลงทุนในอุตสาหกรรมกลุ่มเดิมหรือกลุ่มที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมของจีนที่เข้ามาลงทุนในไทยในช่วงก่อนหน้า เช่น โลหะ อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบาย China+1 รวมถึงการเข้ามาเจาะตลาดอาเซียน และการลงทุนจาก ญี่ปุ่น (สัดส่วนราว 5%) ที่เริ่มเห็นการกระจายการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น เช่น ดิจิทัล และโลหะขั้นสูง ขณะที่การลงทุนในอุตสาหกรรมดั้งเดิมอย่างยานยนต์ยังทรงตัว และเริ่มชะลอการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งแม้แนวโน้มการลงทุนจากต่างประเทศในไทยในภาพรวมยังเป็นบวก แต่เริ่มเห็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน

 

ในด้านแหล่งเงินทุนเริ่มพบการเปลี่ยนแปลง ทั้งจากการตอบสนองต่อนโยบายภาษีของสหรัฐฯ และแนวโน้มการกระจายการลงทุนในต่างประเทศภายใต้สภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยเมื่อพิจารณาข้อมูลการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 จากแหล่งเงินทุนที่เข้ามาลงทุนในไทยต่อเนื่องตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่าแนวโน้มการลงทุนจากต่างประเทศมีการปรับทิศทางอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสามารถจำแนกได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. กลุ่มที่ชะลอการลงทุนเพื่อประเมินสถานการณ์ เช่น มาเลเซีย และสวีเดน ซึ่งก่อนหน้านี้

 

ทิศทางการลงทุนขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง แต่ในไตรมาส 2 การขอรับการส่งเสริมการลงทุนกลับปรับลดลงทั้งในเชิงมูลค่าการลงทุนและจำนวนโครงการ ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลต่อความไม่แน่นอนของทิศทางการค้าโลก 2. กลุ่มที่การลงทุนลดลงต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับเปลี่ยนนโยบายการลงทุนจากประเทศต้นทางที่ต้องการดึงการลงทุนกลับประเทศ อย่างเช่น อินเดียที่เร่งปฏิรูปเศรษฐกิจดันนโยบาย Made in India ด้วยการปรับโครงสร้างภาษีและบริการให้เอื้อต่อการผลิตในประเทศมากขึ้น 3. กลุ่มที่ยังเติบโตได้ดี ได้แก่ จีน, สิงคโปร์, สหราชอาณาจักร และโอเชียเนีย


จากการลงทุนในไทยที่ยังขยายตัวต่อเนื่องทั้งในเชิงมูลค่าและจำนวนโครงการ ชี้ให้เห็นถึงการวางบทบาทไทยในฐานะฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาคและต่อยอดโอกาสการเติบโตในตลาดเอเชีย นอกจากนี้ ยังพบว่าสัดส่วนการลงทุนจากประเทศในยุโรปขยายตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากในช่วงปี 2022-2024 เฉลี่ยอยู่ที่ราว 10% เพิ่มขึ้นมาเป็น 15% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ อีกทั้ง การลงทุนในกลุ่มประเทศจากตะวันออกกลางยังเข้ามาไทยอย่างต่อเนื่องและมูลค่าการลงทุนสูงอย่างก้าวกระโดด อย่างเช่น UAE ที่ในช่วงครึ่งปีนี้ มูลค่าการลงทุนในไทยเติบโตมาอยู่ที่ 1.56 พันล้านบาทหรือกว่า 383%YoY ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มดิจิทัล และบริการที่มีมูลค่าสูงอย่างการขนส่ง และการท่องเที่ยว


การลงทุนจากต่างประเทศขยายไปสู่กิจการย่อยที่มีมูลค่าเพิ่มสูงมากขึ้นทั้งการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงและดิจิทัล, การลงทุนใน EV Ecosystem รวมถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับเทรนด์อนาคต ซึ่งไม่เพียงช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมหลักของไทย แต่ยังสามารถต่อยอดดึงดูดการลงทุนในกิจการสนับสนุนและห่วงโซ่ที่เกี่ยวเนื่องให้เติบโตตามไปด้วย

 

1. การลงทุนเทคโนโลยีขั้นสูงและดิจิทัล ในปี 2025 การลงทุนในกลุ่มดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูงขยายตัวโดดเด่นจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Google และ TikTok ที่เข้ามาจัดตั้ง Data center ในไทยเพื่อรองรับการใช้งานเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งในภาคธุรกิจและกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นโอกาสในการช่วยดึงการลงทุนที่เกี่ยวเนื่องในกลุ่ม AI, Cloud computing และบริการดิจิทัลอื่น ๆ ให้เข้ามาลงทุนในไทยด้วย ตัวอย่างเช่น ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา กิจการพัฒนาซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มสำหรับการให้บริการดิจิทัลหรือดิจิทัลคอนเทนต์เริ่มเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น โดยมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนเติบโตกว่า 74%YoY ในครึ่งปีแรกของปีนี้สอดรับกับการลงทุนจัดตั้ง Data center ที่ขยายตัวสูง อีกทั้ง การเข้ามาลงทุนจัดตั้ง Data center ในไทยยังช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของไทยเข้มแข็งมากขึ้นรองรับการต่อยอดยกระดับการผลิตในประเทศไปสู่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงได้ง่ายขึ้น เช่น ระบบอัตโนมัติ และ AI


ขณะเดียวกัน การลงทุนในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงยังคงเติบโตต่อเนื่อง อาทิ แผงวงจรพิมพ์ (PCB) และชิปต้นน้ำ(Front end/Back-end) ที่ได้รับแรงหนุนจากมาตรการกีดกันการค้าและกฎหมาย CHIPS Act ของสหรัฐฯ ที่กระตุ้นให้เกิดการกระจายฐานการผลิตของผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่มาไทย และส่งผลต่อเนื่องในการดึงดูดผู้ผลิตใน Supply chain ที่เกี่ยวข้องเข้ามาลงทุนในไทยด้วย เช่น การผลิตแผงวงจร PCBA และการผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องที่ไม่ใช่โครงการขนาดใหญ่ ที่ขยายตัวกว่า 254%YoY ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 รวมถึงอุตสาหกรรมที่ต่อยอดจากกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงอย่างการผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์อัตโนมัติ (Automation) ที่ในครึ่งปีแรกของปีนี้เติบโตกว่า 74% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2024

 

2. การเปลี่ยนผ่านสู่การลงทุน EV Ecosystem ครบวงจร เพื่อขยาย Supply chain ให้ลึกมากขึ้น จากการเข้ามาตั้งฐานการผลิตของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลกในช่วงก่อนหน้า ทั้งการประกอบยานยนต์ EV การผลิตชิ้นส่วน และแบตเตอรี่ โดยเฉพาะการผลิตแบตเตอรี่ที่มูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 เติบโตมากกว่า 68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2024 รวมถึงการต่อยอดการผลิตไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ เช่น อุตสาหกรรมอากาศยานและชิ้นส่วน ที่มูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปี 2025 สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐในการผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค (Regional aviation hub)

 

3. การลงทุนในกลุ่มที่สอดคล้องกับเทรนด์อนาคต แม้ปัจจุบันมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมกลุ่มนี้จะยังไม่สูงนัก แต่เริ่มได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วง 2-3 ปีนี้ อาทิ การผลิตเครื่องมือแพทย์ การผลิตยา การผลิตอาหารที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (Food tech) และเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech) ซึ่งเข้ามาตอบโจทย์เทรนด์การใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภคยุคใหม่และการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging society) ในหลายประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ ยังรวมถึงกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับความยั่งยืน อย่างเช่น การผลิตพลังงานสะอาด โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ การแปรรูปวัสดุทั้ง Recycle และ Recovery เพื่อรองรับการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมยุคใหม่ที่ตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอน และให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น


อย่างไรก็ดี เริ่มเห็นสัญญาณการลงทุนที่ชะลอตัวในบางอุตสาหกรรม อาทิ เหล็กสำหรับงานก่อสร้าง โซลาร์เซลล์ และเฟอร์นิเจอร์ จากการปรับลดหรือยกเลิกสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนของ BOI เพื่อบริหารความเสี่ยงจากการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และสอดรับกับกติกาด้านความยั่งยืนที่มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าในกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกตั้งข้อกล่าวหาด้านการสวมสิทธิ์ใช้ไทยเป็นทางผ่าน (Transshipment) เพื่อลดภาระภาษีและยังต้องเผชิญกับความท้าทายของมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นทั่วโลก นอกจากนี้ แนวโน้มการลงทุนในกิจการผลิตไฟฟ้าจากขยะหรือเชื้อเพลิงจากขยะ (Refuse Derived Fuel : RDF) ยังมีทิศทางชะลอตัวลงเช่นกัน


จากข้อจำกัดด้านความเสถียรของปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้ รวมถึงข้อกังวลต่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบ


ขณะเดียวกัน ทิศทางการลงทุนในไทยมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปสู่โครงการขนาดเล็กมากขึ้น และสัดส่วนการลงทุนในโครงการใหม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในบางกลุ่มอุตสาหกรรมแม้มูลค่าการลงทุนโดยรวม
จะลดลง แต่จำนวนโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนกลับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องสะท้อนถึงมูลค่าการลงทุนต่อโครงการที่ไม่สูงมากนัก ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลการจดทะเบียนธุรกิจใหม่ต่อโครงการของภาคการผลิตในพื้นที่ EEC ในช่วงครึ่งปีแรกของปีที่ลดลงจาก 13.51 ล้านบาทต่อโครงการในปี 2024 เป็น 5.45 ล้านบาทต่อโครงการ ซึ่งคาดว่าจะเป็นการลงทุนเพื่อเข้ามาทดลองตลาด หรือเข้ามาเพื่อเชื่อมต่อ Supply chain ในไทยหรือในอาเซียนที่มีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว รวมถึงการเข้ามาลงทุนตามผู้ผลิตรายใหญ่ที่ได้ตั้งฐานการผลิตในไทยในช่วงก่อนหน้า

นอกจากนี้ ยังพบสัดส่วนมูลค่าการลงทุนในโครงการใหม่เพิ่มสูงขึ้นเป็น 78% จากค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 ที่เพียง 34% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในโครงการที่ขยายกิจการจากอุตสาหกรรมเดิมที่มีฐานการผลิตในไทยอยู่แล้ว บ่งชี้ว่าไทย มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมและยังคงรักษาระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติทำให้ไทยสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในโครงการใหม่ได้มากยิ่งขึ้น
ในระยะข้างหน้า คาดว่าการลงทุนจากต่างประเทศในไทยจะยังมีโอกาสขยายตัว จากทิศทางการค้าโลกที่มีความชัดเจนมากขึ้น ประกอบกับการดำเนินมาตรการเชิงรุกของ BOI ทั้งการรักษาฐานนักลงทุนเดิมจากสิงคโปร์, จีน–ฮ่องกง และญี่ปุ่น ควบคู่กับการดึงแหล่งเงินทุนจากประเทศอื่น ๆ ให้เพิ่มมากขึ้น เช่น สหรัฐฯ, ยุโรป และเกาหลีใต้ เพื่อกระจายความเสี่ยงด้านแหล่งเงินทุน รวมถึงภาครัฐยังส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง
และอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคอุตสาหกรรมของไทยที่สอดคล้องกับทิศทางการลงทุนทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับด้านเทคโนโลยีและความยั่งยืน

 

 

นอกจากนี้ นโยบายการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศของรัฐบาลหลายประเทศมีแนวโน้มเพิ่มโอกาสให้กับไทยในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น เช่น นโยบาย Going Global ของจีนที่เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีขั้นสูง และพลังงานสะอาดในต่างประเทศมากขึ้น รัฐบาลเกาหลีใต้สนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศผ่านโครงการของ KOTRA (Korea Trade-Investment Promotion Agency) เน้นการขยายธุรกิจในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี รถยนต์ไฟฟ้า และพลังงานหมุนเวียนโดยเฉพาะในอาเซียนและอินเดีย ขณะที่หลายประเทศในตะวันออกกลางได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศอย่างจริงจังเพื่อลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมันและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจระยะยาว อย่างเช่น ซาอุดีอาระเบีย ที่เน้นการขยายการลงทุนในเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน และ UAE ที่เน้นขยายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีชีวภาพ พลังงานหมุนเวียน รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ ในทางกลับกัน นโยบายบางประเทศอาจสร้างแรงกดดันต่อการลงทุนในไทย เช่น นโยบาย Reshoring/ Near-shoring ที่ผลักดันให้ผู้ผลิตรายใหญ่ของสหรัฐฯ รวมถึงบริษัทไต้หวันหลายรายประกาศแผนลงทุนขยายการผลิตในกลุ่มประเทศ USMCA ซึ่งมีข้อได้เปรียบเชิงภาษีและกฎแหล่งกำเนิดสินค้า (ROO) ที่สนับสนุนการส่งออกเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ได้โดยตรงโดยเฉพาะการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง อาทิ ชิปขั้นสูง และ AI server เป็นต้น

 

แม้การลงทุนจากต่างประเทศในไทยจะมีโอกาสขยายตัว แต่เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนแล้ว ไทยยังตามหลังหลายประเทศ จากตัวเลขมูลค่าอนุมัติการลงทุนจากต่างประเทศของประเทศจุดหมายการลงทุนสำคัญในอาเซียนอย่างอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, เวียดนาม และไทย พบว่ามูลค่าการอนุมัติการลงทุนในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 เริ่มชะลอตัวจากไตรมาสแรก แต่ในภาพรวมยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับปี 2024 สะท้อนได้ว่า ประเทศ
ในอาเซียนยังเป็นจุดหมายการลงทุนที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ แต่ในขณะเดียวกัน การแข่งขันในภูมิภาคก็มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการดึงดูดการลงทุนจากฐานทุนสำคัญอย่างจีน และสิงคโปร์ ซึ่งจะกดดันการขยายตัวของมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศในไทยในระยะข้างหน้า โดยที่ผ่านมา มูลค่าการอนุมัติการลงทุนจากต่างประเทศของไทยยังตามหลังประเทศเพื่อนบ้านทั้งอินโดนีเซีย, มาเลเซีย และเวียดนาม อีกทั้ง เมื่อพิจารณาสัดส่วนการลงทุนจากต่างประเทศต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (FDI ต่อ GDP) ในปี 2024 แล้ว ไทยอยู่ในระดับ 2.7% ซึ่งต่ำกว่ามาเลเซียกับเวียดนามที่อยู่ในระดับ 4% และสิงคโปร์ที่อยู่ราว 28% สอดคล้องกับข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ระบุว่า สัดส่วนการลงทุนรวมทั้งจากในและต่างประเทศต่อ GDP ในปี 2024 ของไทยอยู่ในระดับต่ำสุดในภูมิภาคที่ระดับ 22% เมื่อเทียบกับอินโดนีเซีย และเวียดนามที่มีสัดส่วนสูงถึง 31% อีกทั้ง IMF ยังประเมินว่าการลงทุนรวมของไทยอาจลดลงไปอยู่ที่ 21% ภายในปี 2030 สะท้อนว่าไทยยังมีข้อจำกัดในการสร้างแรงขับเคลื่อนการลงทุนทั้งจากในและต่างประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง


การดึง FDI เข้าสู่ไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ซึ่งภาครัฐและภาคธุรกิจต้องเร่งปรับตัวและยกระดับศักยภาพการแข่งขันเพื่อชิงโอกาสนี้

แม้นักลงทุนต่างชาติจะสนใจเข้ามาลงทุนในไทยต่อเนื่อง แต่ไทยยังเผชิญความท้าทายสำคัญในหลายด้าน โดยเฉพาะการสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศ ที่อาจจำกัดศักยภาพในการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ซึ่งปัจจุบันการสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำและไทยพึ่งพาการนำเข้ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในปี 2025 มูลค่าการนำเข้าจากจีนขยายตัวสูงถึง 133% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยช่วงปี 2015–2019 ขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ยังทรงตัวใกล้ระดับเฉลี่ยในอดีต (รูปที่ 5) โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ที่ยังคงพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าในสัดส่วนสูง สะท้อนถึงการลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมาก
ยังเชื่อมโยงกับผู้ผลิตในประเทศได้ไม่มากนักส่งผลให้การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ผลิตในประเทศและการต่อยอดสู่การพัฒนาการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงยังมีข้อจำกัด


นอกจากนี้ ไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากมาตรการ Transshipment ของสหรัฐฯ ซึ่งยังขาดความชัดเจนด้านรายละเอียดและมีโอกาสกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนในกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการเข้ามาลงทุนในไทยเพื่อส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐฯ โดยตรง ขณะเดียวกัน ปัจจัยเชิงโครงสร้างภายในประเทศยังคงเป็นข้อจำกัดต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างการผลิตที่กระจุกตัวในอุตสาหกรรมกลาง-ปลายน้ำ ซึ่งสร้างมูลค่าเพิ่มได้จำกัด ผลิตภาพแรงงานที่เติบโตช้ากว่าประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม และมาเลเซีย การพัฒนาแรงงานทักษะเทคโนโลยีขั้นสูงที่ยังไม่ทันต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และต้นทุนพลังงานที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจเป็นอุปสรรคต่อการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมขั้นสูงได้

 

อย่างไรก็ดี นโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทยยังมีศักยภาพดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้ดี แต่จำเป็นต้องทบทวนอย่างต่อเนื่องเพื่อพร้อมรับโอกาสและความท้าทายจากทิศทางการลงทุนของโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อเปรียบเทียบนโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทยกับประเทศคู่แข่งสำคัญอย่างอินโดนีเซีย, มาเลเซีย และเวียดนาม (รูปที่ 6) ไทยยังมีความสามารถในการแข่งขันสูง โดยมีจุดแข็งสำคัญหลายประการ เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุด 13 ปี พร้อมสิทธิลดหย่อนเพิ่มเติมอีก 5 ปี การอนุญาตให้ต่างชาติถือครองที่ดินภายใต้เงื่อนไข BOI และการนิคมอุตสาหกรรม (กนอ.) การออกวีซ่า LTR Visa และ Smart Visa ที่ช่วยดึงดูดบุคลากรทักษะสูงเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ที่พร้อมรองรับการตั้งฐานการผลิตขั้นสูง อย่างไรก็ตาม ไทยยังต้องเผชิญกับการแข่งขันจากประเทศในอาเซียนที่มีจุดแข็งเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม ที่มีความได้เปรียบด้านข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ครอบคลุมกว่า 60 ประเทศ มาเลเซียที่มีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงที่ชัดเจน เช่น การให้เงินสนับสนุนผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ผ่านแผนพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ และอินโดนีเซีย ซึ่งมีทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญต่อระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า

 

รูปที่ 6 : ตัวอย่างนโยบายดึงดูดการลงทุนของประเทศในอาเซียน

Indonesia
Malaysia
Vietnam
Thailand
อุตสาหกรรมเป้าหมายหลัก - เหมืองแร่และการผลิตโลหะขั้นพื้นฐาน
- EV Battery - อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง
- ดิจิทัล, AI
- เคมีภัณฑ์
- เครื่องมือแพทย์ - การผลิตที่ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น
- การผลิตไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์ - EV & parts
- อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง
- ดิจิทัล
- BCG
การยกเว้นภาษี
(Tax holiday) สูงสุด 20 ปี ยกเว้นบางส่วน 5 ปี
ลดหย่อนเงินลงทุน 60% เป็นเวลา 5 ปี 2-4 ปี +ลดหย่อน 50% อีก 4-9 ปี สูงสุด 13 ปี +ลดหย่อน 50% อีก 5 ปี
การถือครองที่ดิน สิทธิเช่าที่ดินสูงสุด 95 ปี สิทธิเช่าที่ดินสูงสุด 99 ปี สิทธิเช่าที่ดิน 50-70 ปี ต่างชาติถือครองได้ภายใต้เงื่อนไข BOI และ กนอ.
FTA 15 ฉบับ
24 ประเทศ 17 ฉบับ
25 ประเทศ 17 ฉบับ
>60 ประเทศ 17 ฉบับ
24 ประเทศ
Visa พิเศสำหรับผู้มีทักษะสูง N/A - EP สูงสุด 5 ปี
- RP-T สูงสุด 10 ปี N/A - LTR Visa 10 ปี
- Smart Visa 4 ปี

ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ BOI และสำนักข่าวต่าง ๆ

 

ทั้งนี้ทาง BOI ได้เริ่มปรับปรุงนโยบายส่งเสริมการลงทุน โดยมุ่งเน้นการลงทุนที่สร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะยาวและมีความยั่งยืนมากขึ้น อาทิ 1) การกำหนดสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local content) สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มการเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตต่างชาติและผู้ผลิตไทย (Domestic supply chain integration) 2) การเพิ่มความเข้มข้นในกระบวนการผลิต เพื่อให้การผลิตในไทยมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเชื่อมโยง Supply chain ในประเทศมากกว่าเดิม และสามารถรับมือกับข้อกำหนดด้านแหล่งกำเนิดสินค้าที่เข้มงวดขึ้นได้ 3) การงดส่งเสริมโครงการใหม่ที่กำลังเผชิญภาวะ Oversupply และมีความเสี่ยงจากการกีดกันการค้าของสหรัฐฯ เช่น การผลิตโซลาร์เซลล์ และเหล็กสำหรับก่อสร้าง 4) การจัดระเบียบพื้นที่อุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมสูง เช่น การผลิตโลหะ เคมีภัณฑ์ และพลาสติก ให้ตั้งในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเป็นหลักเพื่อให้สามารถบริหารจัดการผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 5) การส่งเสริมการจ้างงานคนไทยอย่างน้อย 70% เพื่อให้เกิดการจ้างงานและการพัฒนาทักษะของแรงงานไทยที่สามารถรองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมได้อย่างแท้จริง

 

อย่างไรก็ตาม ไทยยังจำเป็นต้องเร่งเสริมความได้เปรียบและต่อยอดจุดแข็งอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นภายใต้การแข่งขันที่มีโอกาสรุนแรงขึ้นได้อีกในระยะข้างหน้า เช่น

1. การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถยกระดับสู่ห่วงโซ่การผลิตใหม่ โดยอาจกำหนดมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับการปรับระบบการผลิตให้รองรับอุตสาหกรรมใหม่ที่เข้ามาไทยมากขึ้น เช่น มาตรการส่งเสริมการยกระดับสายการผลิตจากชิ้นส่วนยานยนต์เดิมเป็นชิ้นส่วนยานยนต์ EV หรือจากการผลิต HDD แบบดั้งเดิมสู่ HDD ความจุสูง, ชิป (Front-end) และ PCB ที่มีความซับซ้อนสูง
2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานและดิจิทัล เพื่อรองรับการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง โดยกำหนดแพ็กเกจพลังงานสะอาด (Utility Green Tariff / RE-PPA) ควบคู่กับพัฒนาคุณภาพโครงข่ายดิจิทัลในนิคมอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐาน ESG และความเสถียรของโครงสร้างพื้นฐาน
3. การยกระดับระบบการพัฒนาแรงงานทักษะสูง เพื่อรองรับความต้องการแรงงานของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงที่จะเข้ามาลงทุนในไทย เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และ AI โดยอาจกำหนดให้ผู้ได้รับสิทธิประโยชน์ต้องถ่ายทอด
องค์ความรู้ผ่านการร่วมพัฒนาหลักสูตรและโปรแกรมฝึกงานกับสถาบันการศึกษาในไทยเพื่อพัฒนาทักษะเชิงลึกให้กับบุคลากรในประเทศ
4. การปรับปรุงกฎระเบียบภาครัฐเพื่อลดอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ โดยพิจารณาแก้ไขหรือยกเลิกกฎระเบียบที่ซ้ำซ้อน ระยะเวลาในการพิจารณาที่ค่อนข้างนาน หรือไม่สอดรับกับสภาวการณ์ปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงการทบทวนกฎเกณฑ์ในทุก 3-5 ปี เพื่อให้ทันต่อบริบทของเศรษฐกิจและรูปแบบธุรกิจที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ในระยะยาว
ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการไทยควรต้องเร่งปรับตัวยกระดับสู่การเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมยุคใหม่ เนื่องจากการเข้ามาลงทุนของผู้ผลิตรายใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า
เซมิคอนดักเตอร์ และดิจิทัล ได้ดึงผู้ผลิตที่อยู่ใน Supply chain จากต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยที่ยังคงอยู่ในโครงสร้างการผลิตแบบดั้งเดิมอาจเสียโอกาสในการเชื่อมต่อ Supply chain ของผู้ผลิตรายใหญ่ที่เข้ามาลงทุนในไทย ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจะต้องเร่งปรับตัวเพื่อขยายบทบาทสู่การเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าโลก (Global value chain)


โดยผู้ประกอบการไทยควรพิจารณาการปรับตัวใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1. การยกระดับการผลิตผ่านการลงทุนด้านเทคโนโลยีทั้งระบบอัตโนมัติ และการใช้ข้อมูลเพื่อปรับระบบการผลิตสู่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและลดต้นทุนให้สามารถแข่งขันได้ 2. ปรับบทบาททางธุรกิจให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลทั้งในด้านคุณภาพและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการต่อยอดการผลิตสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีศักยภาพเติบโตเพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายรายได้ในระยะยาว
และ 3. สร้างพันธมิตรกับผู้ผลิตต่างชาติ ผ่านการร่วมมือด้านเทคโนโลยี การพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วม และโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยเร่งการยอมรับในห่วงโซ่มูลค่าโลกได้


ทั้งนี้แม้ไทยจะยังสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้ดี แต่การรักษาความได้เปรียบเชิงแข่งขันในระยะยาวจำเป็นต้องขับเคลื่อนผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อให้การลงทุนจากต่างประเทศสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจได้ในวงกว้างและการเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทยให้แข่งขันได้อย่างแท้จริง

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : NKT เปิดโรงพยาบาลนครธน2เดือนธันวาคมนี้ เติมรายได้

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : NKT เปิดโรงพยาบาลนครธน2เดือนธันวาคมนี้ เติมรายได้

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้