สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (25 พฤศจิกายน 2568 )-----ไอเดียแล็บ ตั้งเป้ามีส่วนแบ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดในฐานะบริษัท MarTech สัญชาติไทย และวางแผนเข้าตลาดหุ้นในอีก 5 ปี พร้อมต่อยอดไปสู่ตลาดระดับอาเซียน ตั้งป้าหมายสร้างระบบนิเวศของ MarTech ไทยที่แข็งแรงและยั่งยืน

เผยมูลค่าตลาด MarTech ในไทยปัจจุบันโดยเฉพาะ KOL & Influencer และสื่อ Publisher อยู่ที่ 5,000 ล้านบาท จากปัจจัยหนุนพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนนไปสู่การชอปปิ้งออนไลน์นับตั้งแต่ยุคโควิด ส่งผล KOL ระดับ Nano–Micro เติบโตแบบก้าวกระโดดเพราะเป็นกลุ่มที่สะท้อนความต้องการจริงของผู้บริโภคได้ชัดเจน

ตั้งเป้าหมายปีนี้รายได้แตะ 250 ล้านบาท โต 25% ด้วยกลยุทธ์การใช้ Data-Driven Operating Model ที่เชื่อมโยงข้อมูลเชิงลึกกับจุดประสงค์ทางการตลาดอย่างเฉพาะเจาะจง ช่วยให้ออกแบบกลยุทธ์และแคมเปญที่สะท้อนความต้องการจริงของผู้บริโภค

นายธนดล พิทยานุวัฒน์ กรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท ไอเดียแล็บ จำกัด (IdeasLabs) MarTech สัญชาติไทย กล่าวว่า มูลค่าตลาด ตลาด Social และ KOL และสื่อ Publisher มีมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาทในปีนี้ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดดังกล่าว ในไทยเติบโตเกิดจากการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคหันไปสู่การชอปปิ้งออนไลน์มากขึ้นนับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ส่งผลให้ IdeasLabs เติบโตไปตามเทรนด์อย่างมีนัยสำคัญ โดยในปีนี้คาดว่าจะทำรายได้รวมประมาณ 250 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 25 % จากปี 2567 ที่ทำรายได้รวม 200 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการขยายตัวอย่างก้าวกระโดดของตลาด KOL ระดับ Nano–Micro ซึ่งส่งผลให้แคมเปญเชิง Community เติบโตตามไปด้วย ขณะที่ผลิตภัณฑ์เชิง Mass Product ภายใต้ Publisher ยังคงรักษาระดับยอดขายได้อย่างมั่นคง

โดยกลยุทธ์หลักที่สนับสนุนการเติบโตของ IdeasLabs มากจากการมุ่งสร้างแพลตฟอร์มและเครื่องมือ MarTech สัญชาติไทย ที่ช่วยให้แบรนด์และครีเอเตอร์ทำงานอย่างเป็นธรรม มีโครงสร้างราคาที่โปร่งใส และสะท้อนคุณค่าของครีเอเตอร์ได้อย่างแท้จริง หัวใจสำคัญของการเติบโตมาจากการใช้ Data-Driven Operating Model ที่เชื่อมโยงข้อมูลเชิงลึกกับจุดประสงค์ทางการตลาดได้อย่างเฉพาะเจาะจง ช่วยให้บริษัทฯ สามารถออกแบบกลยุทธ์และแคมเปญที่สะท้อนความต้องการจริงของผู้บริโภค ซึ่งหลายครั้งเป็นเทรนด์ที่แตกต่างจากทิศทาง Mass Marketing ทั่วไป ทำให้ลูกค้าได้ผลลัพธ์ที่มีความเฉพาะเจาะจงและชัดเจนในเชิงธุรกิจมากกว่า

ส่วนภาพรวมในปีหน้าบริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโตต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 25 % ตามสภาวะตลาดและพฤติกรรมการลงทุนของแบรนด์ และในอีก 2–3 ปีข้างหน้า บริษัทตั้งเป้ารายได้ 400 – 450 ล้านบาท พร้อมก้าวขึ้นเป็น MarTech สัญชาติไทยที่มีมาร์เกตแชร์ใหญ่ที่สุดในตลาดให้ได้ภายใน 5 ปี ไปพร้อมกับการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงการต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้สามารถขยายในระดับภูมิภาค โดยมีเป้าหมายสร้างระบบนิเวศของ MarTech ไทยที่แข็งแรงและยั่งยืน

“จุดแข็งของเราคือโครงสร้าง Ecosystem ที่เชื่อมโยง Business Units ภายในเข้าด้วยกัน และสามารถให้บริการครบวงจรตั้งแต่แพลตฟอร์ม การซื้อสื่อ การบริหาร KOL การทำแคมเปญ ไปจนถึงบริการเชิง Enterprise Solutions ทำให้ลูกค้าสามารถแก้ Pain Point ได้ในระบบเดียว ทั้งด้านต้นทุน การเข้าถึงครีเอเตอร์ ความโปร่งใส และประสิทธิภาพการวัดผล แม้บริษัทพัฒนาเครื่องมือด้าน Data, AI และระบบ Automation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการ แต่เรามองว่าการใช้เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวไม่สามารถตอบโจทย์การตลาดที่ซับซ้อนและต้องอาศัยการตัดสินใจเชิงมนุษย์ได้ครบถ้วน ดังนั้นระบบของเราจึงถูกออกแบบให้ใช้ AI เป็นกลไกสนับสนุน ขณะที่การควบคุมเชิงกลยุทธ์และการตัดสินใจสำคัญยังคงต้องอาศัยบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ผลลัพธ์มีทั้งความแม่นยำ ประสิทธิภาพ และความเหมาะสมทางบริบทเชิงตลาด” นายธนดล กล่าว