สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(24 พฤศจิกายน 2568)---------กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยเดือนตุลาคม 2568 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,165 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 21,778 ล้านบาท แม้ทุนจดทะเบียนจะลดลงจากปีก่อน แต่ทุนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือน ก.ย. 68 ขณะที่ 10 เดือนปี 2568 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่รวม 74,510 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 2.35 แสนล้านบาท ส่วนการลงทุนของต่างชาติ 10 เดือนปี 68 ยังขยายตัวต่อเนื่อง มีจำนวน 869 ราย เงินลงทุนรวม 276,736 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนราย 11% และมูลค่าการลงทุน 72% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 โดยญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์ ยังคงติดอันดับ 3 ประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนตุลาคม 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,165 ราย เมื่อเทียบแบบเดือนต่อเดือน (MoM) กับเดือนกันยายน 2568 (8,156 ราย) ลดลง 991 ราย คิดเป็น 12.15% และเมื่อเทียบแบบปีต่อปี (YoY) กับเดือนตุลาคม 2567 (7,267 ราย) ลดลง 102 ราย คิดเป็น 1.40%
ขณะที่ทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 21,778 ล้านบาท เมื่อเทียบแบบเดือนต่อเดือน (MoM) กับเดือนกันยายน 2568 (19,867 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 1,910 ล้านบาท คิดเป็น 9.62% และเมื่อเทียบแบบปีต่อปี (YoY) กับเดือนตุลาคม 2567 (30,149 ล้านบาท) ลดลง 8,371 ล้านบาท คิดเป็น 27.77%
จากสถิติข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในภาวะชะลอตัว ทั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์อัตราการเติบโตของการจัดตั้งธุรกิจใหม่ พบว่า มี 3 ประเภทธุรกิจที่ขยายตัวอย่างน่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบกับตุลาคม 2567 (YoY) คือ 1) ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด เพิ่มขึ้น 43 ราย คิดเป็น 62.32% ทุนจดทะเบียน เพิ่มขึ้น 288 ล้านบาท 2) ธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้า รวมถึงคนโดยสาร เพิ่มขึ้น 43 ราย คิดเป็น 36.44% ทุนจดทะเบียนลดลง 21.59 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป เพิ่มขึ้น 52 ราย คิดเป็น 9.08% ทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 413 ล้านบาท
การจัดตั้งใหม่ช่วง 10 เดือนของปี 2568 (มกราคม-ตุลาคม) มีจำนวน 74,510 ราย เมื่อเทียบกับช่วง 10 เดือนของปี 2567 (76,953 ราย) ลดลง 2,443 ราย คิดเป็น 3.17%
ขณะที่ทุนจดทะเบียนตั้งใหม่ 10 เดือน สะสมอยู่ที่ 235,992 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (238,630 ล้านบาท) ลดลง 2,639 ล้านบาท คิดเป็น 1.11%
การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนตุลาคม 2568 มีจำนวน 2,298 ราย เมื่อเทียบแบบเดือนต่อเดือน (MoM) กับเดือนกันยายน 2568 (2,150 ราย) เพิ่มขึ้น 148 ราย คิดเป็น 6.88% และเมื่อเทียบแบบปีต่อปี (YoY) กับเดือนตุลาคม 2567 (2,516 ราย) ลดลง 218 ราย คิดเป็น 8.66%
ด้านทุนจดทะเบียนเลิก อยู่ที่ 9,228 ล้านบาท เมื่อเทียบแบบเดือนต่อเดือน (MoM) กับเดือนกันยายน 2568 (5,556 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 3,672 ล้านบาท คิดเป็น 66.08% และเมื่อเทียบแบบปีต่อปี (YoY) กับเดือนตุลาคม 2567 (9,899 ล้านบาท) ลดลง 671 ล้านบาท คิดเป็น 6.78%
การจดทะเบียนเลิกช่วง 10 เดือนของปี 2568 (มกราคม-ตุลาคม) มีจำนวน 14,177 ราย ลดลง 585 ราย คิดเป็น 3.96% เมื่อเทียบกับช่วง 10 เดือนของปี 2567 (14,762 ราย)
ทุนจดทะเบียนเลิก 10 เดือน สะสมอยู่ที่ 77,818 ล้านบาท ลดลง 48,086 ล้านบาท คิดเป็น 38.19% เมื่อเทียบอัตราการจัดตั้งใหม่ต่อการจดเลิกธุรกิจเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ต่อ 1 ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 5 ปี ย้อนหลัง (2563-2567) อยู่ที่ 6 ต่อ 1
ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 2,039,339 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 31.39 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 979,928 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 23.04 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นบริษัทจำกัด 777,515 ราย คิดเป็น 79.35% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 17.25 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 200,911 ราย คิดเป็น 20.50% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.44 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด 1,502 ราย คิดเป็น 0.15% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.35 ล้านล้านบาท
สำหรับกลุ่มนิติบุคคลที่มีสัดส่วนการจดทะเบียนมากที่สุดคือ กลุ่มบริการ มีจำนวน 531,803 ราย ทุนจดทะเบียน 13.32 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มค้าส่ง/ค้าปลีก 321,202 ราย ทุนจดทะเบียน 2.62 ล้านล้านบาท และกลุ่มผลิต 126,923 ราย ทุนจดทะเบียน 7.09 ล้านล้านบาท คิดเป็น 54.27%, 32.78% และ 12.95% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ตามลำดับ
การลงทุนของชาวต่างชาติในไทยประจำเดือนตุลาคม 2568 และ 10 เดือนของปี 2568
การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 (เฉพาะธุรกิจที่กำหนดให้ต้องขออนุญาต) เดือนตุลาคม 2568 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย 99 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 27 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 72 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 23,621 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจากสิงคโปร์ จีน และญี่ปุ่น ตามลำดับ
สำหรับช่วง 10 เดือนของปี 2568 (มกราคม-ตุลาคม) มีจำนวน 869 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 228 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 641 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 276,736 ล้านบาท
โดยการอนุญาตฯ ในช่วง 10 เดือนของปี 2568 (มกราคม-ตุลาคม) มีจำนวนเพิ่มขึ้นจำนวน 83 ราย (11%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (786 ราย) และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 115,567 ล้านบาท (72%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (161,169 ล้านบาท)
ประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ญี่ปุ่น 158 ราย คิดเป็น 18% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 78,285 ล้านบาท 2) สหรัฐอเมริกา 127 ราย คิดเป็น 15% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 4,830 ล้านบาท 3) สิงคโปร์ 126 ราย คิดเป็น 14% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 92,318 ล้านบาท 4) จีน 116 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 25,404 ล้านบาท 5) ฮ่องกง 93 ราย คิดเป็น 11% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 13,198 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 249 ราย คิดเป็น 29% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 62,701 ล้านบาท
การลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ช่วง 10 เดือนของปี 2568 (มกราคม-ตุลาคม) ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มีจำนวน 253 ราย คิดเป็น 29% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้น 2 ราย จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (251 ราย) คิดเป็น 1% มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 90,791 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศจีน 65 ราย เงินลงทุน 17,882 ล้านบาท ญี่ปุ่น 57 ราย เงินลงทุน 30,369 ล้านบาท สิงคโปร์ 35 ราย เงินลงทุน 20,106 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 96 ราย เงินลงทุน 22,434 ล้านบาท” อธิบดีพูนพงษ์ฯ กล่าว