Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

112

 


ภาพตลาดและแนวโน้ม Market wrap & Outlook

แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ อัปเดตแนวโน้มตลาดหุ้นโลกและทองคำ
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกยังคงเผชิญแรงกดดัน ส่งผลให้สินทรัพย์ลงทุนหลักปรับตัวลดลงถ้วนหน้า โดยดัชนี MSCI ACWI ปรับตัวลง 2.5% ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ Brent และทองคำ ปรับตัวลดลง 2.7% และ 0.4% ตามลำดับ
ด้านตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบในทิศทางเดียวกัน ดัชนี SET ปิดลบ 1.2% จนหลุดแนวรับสำคัญของเส้นค่าเฉลี่ย EMA 200 วัน ที่ระดับ 1,261 จุด ท่ามกลางแรงเทขายใน 14 จาก 20 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยกลุ่มที่ปรับตัวลงแรงที่สุด ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ (-4.7%) และปิโตรเคมี (-3.7%)

ประเด็นสำคัญในต่างประเทศที่น่าสนใจ

ในช่วงที่ข้อมูลเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการขาดหายไปจากเหตุ Government Shutdown ทาง Chicago Fed ได้นำแบบจำลองพิเศษที่ประมวลผลจาก ข้อมูลความถี่สูง (High-frequency data) อาทิ ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต, ธุรกรรมออนไลน์, ราคาน้ำมัน, ปริมาณลูกค้าหน้าร้าน (Store Traffic) และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค มาใช้ประเมินทิศทางยอดค้าปลีกสหรัฐฯ
ผลลัพธ์ในเดือนกันยายนชี้ว่า แม้ยอดค้าปลีกในรูปตัวเงิน (Nominal Sales) จะขยายตัว +0.3% (MoM) แต่เมื่อปรับปรุงด้วยอัตราเงินเฟ้อ (Real Sales) กลับพบว่าหดตัวลง -0.2% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตัวเลขการเติบโตดังกล่าวถูกผลักดันด้วยระดับราคาสินค้าที่ทรงตัวในระดับสูง อันเป็นผลสืบเนื่องจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์

อย่างไรก็ดี แม้คาดการณ์เดือนตุลาคมจะเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากการฟื้นตัวทั้ง Nominal Sales (+0.4%) และ Real Sales (+0.3%) แต่ภาพรวมเศรษฐกิจยังคงเปราะบาง เนื่องจากต้นทุนแฝงทางภาษีได้กัดกร่อนกำลังซื้อที่แท้จริงของผู้บริโภค สร้างความไม่แน่นอนที่เฟดต้องนำมาพิจารณาอย่างรอบคอบในการกำหนดนโยบายการเงินต่อไป

แนวโน้มราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในสัปดาห์นี้

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดือนพฤศจิกายนเผชิญแรงกดดันตามที่เราคาดการณ์ไว้ โดยดัชนี Nasdaq100 ได้ปรับตัวลงจากจุดสูงสุดของเดือนตุลาคมราว 7% ซึ่งช่วยลดความร้อนแรงของสัญญาณทางเทคนิคให้ลงมาอยู่ในระดับที่ไม่ตึงตัวจนเกินไป
เรามองว่าการปรับฐานในรอบนี้กำลังเข้าสู่ช่วงท้าย (Late Stage Correction) และคาดว่าจะกินเวลาอีกเพียง 1-2 สัปดาห์ โดยมีสัญญาณบ่งชี้สำคัญคือ ดัชนี CNN Fear & Greed Index ที่ลงมาแตะระดับ Extreme Fear ซึ่งสถิติในอดีตชี้ว่าเป็นภาวะขายมากเกินไป (Oversold) และมักตามมาด้วยการฟื้นตัวของตลาด
เราจึงแนะนำให้ใช้จังหวะการปรับตัวลงในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า ทยอยสะสมหุ้นเข้าพอร์ต โดยยังคงน้ำหนักการลงทุนหลักในกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI Value Chain ที่พื้นฐานยังแข็งแกร่ง โดยประเมินจุดเข้าซื้อที่น่าสนใจใกล้แนวรับที่สำคัญของ Nasdaq100 บริเวณเส้นค่าเฉลี่ย EMA 200 วัน ที่ 22,900 จุด (Drawdown ราว -12% จากจุดสูงสุด) ซึ่ง ณ ระดับราคานี้ Valuation จะไม่ตึงตัว โดย Forward PER ปี 2026 จะลดลงเหลือ 23.4 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ที่ระดับ 25.3 เท่า

แม้ท่าทีของคณะกรรมการ Fed เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมจะยังไม่มีความชัดเจน แต่เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี
เราประเมินว่าทิศทางอัตราผลตอบแทน (Yield) ยังเป็นขาลง และมีโอกาสที่จะปรับตัวสู่ระดับ 3.9% ในช่วงสิ้นปี โดยมีแรงหนุนจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งเอื้อให้ Fed สามารถดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไปได้
ในส่วนของประเด็นความไม่แน่นอนจากการขาดข้อมูลเศรษฐกิจเนื่องจากเหตุ Government Shutdown ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจในการประชุมเดือนธันวาคม 2025 นั้น เราไม่ได้มีความกังวล เนื่องจากเชื่อมั่นว่า Fed ยังคงอยู่บนเส้นทางของการลดดอกเบี้ย การที่ไทม์ไลน์อาจขยับออกไปเพียง 1 เดือนสู่การประชุมเดือนมกราคม 2026 ไม่ถือเป็นนัยสำคัญที่จะกระทบต่อภาพรวมการลงทุน ดังนั้น การถกเถียงถึงผลการประชุมในเดือนธันวาคมจึงอาจไม่ใช่สาระสำคัญที่ต้องกังวล

ราคาทองคำ (Gold Spot) แม้จะเผชิญกับแรงกดดันในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ความผันผวนเริ่มลดลง ไม่ได้สวิงรุนแรงเหมือนกับช่วงก่อนหน้า สำหรับแนวโน้มสัปดาห์นี้ เราคาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งตัวออกข้าง (Sideways) เพื่อสร้างฐานราคาในกรอบ 3,900-4,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ในมิติทางเทคนิค แม้กราฟรายวันจะสะท้อนภาพการพักตัวเพื่อสะสมกำลัง (Base Building) แต่เมื่อพิจารณาภาพใหญ่ใน Timeframe รายเดือน ทิศทางหลักยังคงเป็นขาขึ้นที่แข็งแกร่ง และเมื่อเทียบเคียงกับ Supercycle รอบก่อน (ปี 1976-1980 และ 2002-2011) ภาพปัจจุบันยังเป็นเพียงช่วงกลางของเทรนด์ขาขึ้นและยังไม่ใกล้จุดสิ้นสุด
นอกจากนี้ ปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง จากแรงซื้อสะสมต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลกที่ได้รับแรงขับเคลื่อนจากความเปราะบางทางภูมิรัฐศาสตร์ ผสานกับทิศทางนโยบายการเงินของ Fed ที่ยังคงอยู่ในโหมดผ่อนคลาย จึงเป็นแรงส่งที่สำคัญต่อราคาทองคำในปีหน้า
เรามีมุมมองเป็นกลางต่อทองคำในระยะสั้นจากแนวโน้มการสร้างฐานของราคา แต่ประเมินว่าการพักตัวนี้จะส่งผลดีต่อภาพระยะกลาง-ยาว เนื่องจากช่วยลดความร้อนแรงจากการเก็งกำไร จึงแนะนำให้ใช้จังหวะที่ราคาอ่อนตัวเป็นโอกาสในการทยอยสะสม โดยเรายังคงเป้าหมายราคาทองคำปี 2026 ไว้ที่ระดับ 5,000 ดอลลาร์ ตามเดิม

ดัชนี SET ยังมีแนวโน้มผันผวนสูง โดยเครื่องมือชี้วัดจังหวะตลาด (Market Timing Indicators) ทั้ง Momentum Strength และ Volume Index ต่างส่งสัญญาณอ่อนตัวลง
ภาพดังกล่าวสะท้อนว่าแรงกดดันฝั่งขาลงยังคงมีอยู่สูง ทำให้ดัชนี SET อาจปรับตัวลงไปทดสอบแนวรับระดับ 1,230 จุดในสัปดาห์นี้
Quant Focus List (สัปดาห์นี้):
Bank: KTB, SCB, TTB
ICT: TRUE
Transportation: AOT
Utility: WHAUP



สรุปภาพตลาดวานนี้
SET ลบตามตลาดโลกในศุกร์ที่แล้ว กดดันโดย DELTA และการลงของหุ้นบลูชิปกระจายกลุ่มทั้ง GULF AOT CPALL ADVANC CPN PTT PTTGC THAI เป็นต้น และแรงขายมาจาก นลท. ต่างชาติ ขณะที่ นลท. ในประเทศ พบว่าใช้จังหวะนี้เข้าไปซื้อสวน Net Buy ราว 4.8 พัน ลบ.

แนวโน้มตลาดวันนี้
ผ่านจุดปรับฐาน...เตรียมเดินหน้าต่อ
หุ้นไทยกระทบจากอิทธิพลการปรับฐานของตลาดหุ้นโลก และสินทรัพย์เสี่ยง/ ไม่เสี่ยง ตลอดสัปดาห์ที่แล้ว แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าตลาดหุ้นไทยลงน้อยกว่า และใช้เวลาสั้นเพื่อการฟื้นตัว...

ดังนั้นตั้งแต่สัปดาห์นี้ไป เราคาดว่าอิทธิพลความผันผวนในตลาดหุ้นโลก และสินทรัพย์ต่างๆ จะเริ่มส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยลดลง ตามลำดับ ขณะที่ปัจจัยมีผลต่อราคาหุ้นไทย จะเหลือเพียงแต่ MSCI Rebalance มีผล 24 พ.ย.นี้ (อาจมีหุ้นที่ถูกลดน้ำหนัก เพิ่มเข้าคำนวณ ซึ่งจะกระทบราคา และบรรยากาศแค่ในวันที่มีผลใช้คำนวณ), การปรับหุ้นเข้าออก SET50

ส่วนแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ ในช่วงที่เหลืออีก 1 เดือนข้างหน้าก่อนหมดปี เราคาดว่าอาจจะยังมีผลต่อแรงกดดันหุ้นไทยระยะสั้น แต่ควรจะเบาลงเมื่อเทียบกับ ปัจจัยหนุนในประเทศ เช่น การเดินหน้าสู่การเลือกตั้งในประเทศ, ปีหน้าหาก มาตรการส่งเสริมตลาดหุ้นไทยปีหน้าเริ่มใช้-เห็นผล เช่น ออมเงินในหุ้นไทยลดหย่อนภาษีโดยตรง “TISA”, โครงการ Jump plus ของทางตลท. ส่งเสริมให้ บจ.เติบโตได้ตามแผนงานที่วางไว้ เป็นต้น
ด้านปัจจัยสนับสนุนราคาหุ้นรายตัว ยังคงมีให้เห็น เช่น การปรับขึ้นค่าภาษีสนามบิน, ปิดดีลคิงพาวเวอร์ (AOT), ราคาสินค้าเกษตรปรับขึ้น (เศรษฐกิจฐานรากเริ่มฟื้น), ราคาเนื้อสุกร และไก่ดีขึ้น-ต้นทุนเริ่มลดลง (CPF TFG BTG GFPT) ส่วนที่เหลือคือ ติดตามตัวแปรที่มีผลต่อสมมุติฐาน เช่น ค่าการกลั่น, ยอดขายธุรกิจค้าปลีก, ตัวเลข ผู้โดยสาร-นักท่องเที่ยว (TOP CENTEL)

กลยุทธ์ลงทุน แนะนำ เลือกถือหุ้นตามแนวทางพอร์ตจำลอง คือ 50% และเก็บเงินสด 50% ไว้รอช้อนซื้อหุ้นไทยรายตัวที่มี ปัจจัยหนุนราคาหุ้น…

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ “รอ” สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลง ไม่ไล่ราคา เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร

วิเคราะห์ทางเทคนิค
2 Senario หาก SET หลุดเส้น EMA 200 วัน 1) โครงสร้างระยะกลางมีโอกาสเปลี่ยนเป็นลง จับตา price pattern “Bearish Megaphone” ชี้จุดรับ อาจลงไปได้ถึง 1,187 จุด แต่ถ้าเป็นกรณี 2) หลุดแล้วดึงกลับ ” false signal” คล้ายเหตุการณ์เมื่อเดือนส.ค. ลงแล้วดีดขึ้นทันทีสามารถรักษาโมเมนตัมขาขึ้นเอาไว้ได้ เพิ่มเติ่มมุมมอง RSI ล่าสุดเข้าใกล้เขต oversold ขณะที่ดัชนีคาดว่าอยู่ในคลื่นขาลง “Corrective wave “C”

สรุป: แนวโน้ม SET จุดวัดใจ ต้องดีดกลับให้ได้โดยเร็ว มิเช่นนั้นจะทำให้รูปแบบเปลี่ยนเป็นลง

แผนการเทรด: ถ้า SET ลงต่อ หรือ หุ้นหลุดจุดคัทที่ให้ไว้ แนะวางแผนปิดความเสี่ยงไว้ด้วยครับ

ไฮไลท์หุ้น: AOT ท้ายสุดไม่ทะลุ แต่อาจไม่ใช่บทสุดท้าย / DELTA พระเอกกลายเป็นผู้ร้าย/ CPALL: double bottom (or) new low / GULF โซนรับ….ตรงไหนห้ามหลุด/ COM7 test แนวรับ….ลุ้นปิดเขียวได้หรือไม่….ติดตามแผนเทรด+มุมมองกราฟเทคนิคในหน้าถัดไป

What to watch
ตลาดคาดหุ้นเพิ่มเข้าคำนวณดัชนี SET50 ม.ค.-มิ.ย.69: GLOBAL, ITC, SAWAD หุ้นออกได้แก่ BCP, KKP, VGI โดยคาดประกาศกลางเดือน ธ.ค.69 / ดัชนี SET100 คาดหุ้นเข้า BPP, CKP, SAPPE ส่วนหุ้นถูกถอด คาดได้แก่ JTS, MBK, WHAUP
เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนธ.ค. โดยเครื่องมือ CME FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักกว่า 70% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้นหลังจากที่ให้น้ำหนักไม่ถึง 40% ในช่วงก่อนหน้านี้
MSCI ประกาศทบทวนดัชนีรายไตรมาส MSCI Global Small Index หุ้นเข้ามี 1 ตัว คือ M ส่วนหุ้นออกมี 5 ตัว คือ AAV, CKP, JTS, QH, TPIPP โดยจะมีผลต่อราคาปิดของวันที่ 24 พ.ย.
"อนุทิน" แจ้งพรรคร่วมรัฐบาลสแตนด์บายรอฟังสัญญาณยุบสภา 12 ธ.ค.
ขณะนี้ยังเกิดสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ 3 จังหวัด แต่ที่หนักสุดคือ จ.พัทลุง และสงขลา แต่อาจจะมีสถานการณ์เพิ่มมากขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยปีนี้สถานการร์ที่ อ.หาดใหญ่ หนักเป็นพิเศษ มีปริมาณน้ำไหลเข้ามา ซึ่งขณะนี้มีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม พร้อมด้วย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ลงไปดูแลในพื้นที่ และในช่วงบ่ายวันนี้ตนเองจะเดินทางลงพื้นที่
และในส่วนที่รัฐบาลจะทำ คือ การจ่ายเงินเยียวยา ดูจากสภาพแล้วเข้าหลักเกณฑ์ทั้งหมด หลังคาเรือนละ 9,000 บาทจะเร่งดำเนินการให้

หุ้นแนะนำวันนี้
CPF ราคาเนื้อหมูเริ่มเห็นสัญญาณดีหลังจากคุมราคาขายได้-ไม่ให้ลงต่ำกว่าต้นทุน ด้านต้นทุนมีแนวโน้มลดลงจากการนำเข้าต้นทุนข้าวโพดและอาหารสัตว์ PE เหลือ 6 เท่า ต่ำสุดรอบ 20 ปี ผลตอบแทนเงินปันผลพุ่ง 4.6% สูงสุดรอบ 15 ปี
แนวรับ 21.2 ต้าน 22.5 Stop loss 20

 

 

 

 

 

รายงานพื้นฐานวันนี้

Bank Sector
ยังไม่เห็นการฟื้นตัวของสินเชื่อ
ภาพรวมสินเชื่อกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นเดือนต.ค. 25 อยู่ที่ 10.4 ล้านล้านบาท ลดลง 0.8% MoM กดดันจากสินเชื่อองค์กรและ SME ปรับลดลง โดยธนาคารที่รายงานสินเชื่อลดลง MoM นำโดย KTB, KKP, TTB, SCB และ KBANK ส่วน TISCO และ BBL เป็น 2 ธนาคารที่รายงานสินเชื่อเติบโตได้จากเดือนก่อนหน้า
เราคาดว่าสินเชื่อน่าจะทรงตัว MoM ในเดือนพ.ย. เพราะเรายังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของสินเชื่อมากนัก และธนาคารน่าจะยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ทั้งนี้ ปัจจุบันเราเห็นความเสี่ยงจากสมมติฐานสินเชื่อปี 2025 ของกลุ่มธนาคารราว 1-2% เนื่องจากประเมินว่าสินเชื่อของ BBL, KBANK, KTB, SCB และ TTB น่าจะมีความเสี่ยงของสินเชื่อในปีนี้ราว 1-3% จากสมมติฐานของเรา ส่วนแนวโน้มสินเชื่อของ KKP และ TISCO น่าจะสอดคล้องกับสมมติฐานของเรา
เราได้ไปศึกษาข้อมูลในอดีตตั้งแต่ 1Q21 ถึง 3Q25 เราพบว่าทิศทางกำไรจากการ mark to market เงินลงทุนของกลุ่มธนาคารมี correlation กับ 1) ทิศทาง bond yield อายุ 5 ปีของไทยมีความสัมพันธ์ตรงข้ามกันที่ -49% และ 2) ทิศทาง MSCI World index ที่ 80% ซึ่งทำให้เราประเมินว่าแนวโน้มกำไรจากการ mark to market เงินลงทุนของกลุ่มธนาคารน่าจะปรับลดลง QoQ ใน 4Q25 เพราะเราเห็นทิศทาง bond yield อายุ 5 ปี ล่าสุดปรับเพิ่มขึ้น 20bps จากสิ้น 3Q25 และดัชนี MSCI world index และ SET index ที่ล่าสุดปรับลดลงจากสิ้น 3Q25 ด้วยเช่นกัน
จากการคำนวณของเรา เราคาดว่ากำไรสุทธิสำหรับเดือนต.ค. 25 ของกลุ่มธนาคารจะอยู่ที่ราว 1.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% YoY นำโดยกำไรสุทธิของ KKP และ KTB โดยเราคาดกำไรสุทธิเดือนต.ค. ของ BBL น่าจะทรงตัว YoY และแนวโน้มกำไรสุทธิเดือนต.ค. ของ SCB, TTB, TISCO และ KBANK น่าจะลดลง YoY

MOSHI
(Visit Note)
โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น
จุดตั้งหลักรอบใหม่ หลัง SSS ฟื้น + ปันผลหนุน
MOSHI รายงานกำไรหลัก 3Q25 ที่ 137 ลบ. เพิ่มขึ้น 27% YoY และ 3% QoQ เกิดจากจากปริมาณคนเข้าร้านที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 10%, จำนวนสาขาที่เปิดเพาใ และสัดส่วนสินค้านำเข้าซึ่งมีมาร์จิ้นสูงเพิ่ม
ราคาหุ้นที่ปรับลงในช่วงที่ผ่านมา เราประเมินสะท้อนโมเมนตัมกำไร 4Q25 ที่จะโตช้าลงจากฐานที่สูงและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นไปแล้ว โดย MOSHI พยายามสร้างความแตกต่างในสินค้า ในช่วงการแข่งขันรุนแรงนี้ ด้วยการให้ความสำคัญกับการทำการตลาดสินค้า High value ที่สอดคล้องกับช่วงเทศกาลซื้อของขวัญ
แม้ SSS ทั้ง 4Q25 คาดจะติดลบเล็กน้อย 1-3% แต่ก็เห็น SSS เดือนพ.ย. ที่กลับมาโต นอกจากนี้ มีโอกาสการปรับเพิ่มอัตราจ่ายปันผลต่อกำไรจาก 50% ของกำไร เป็น 60-70% ซึ่งจะทำให้ประเมินปันผลราว 1.15-1.35 บาท หรือคาด Yield เป็น 3.8% ซึ่งจะช่วยจำกัด downside หุ้น

 

 

AU
(Visit Note)
อาฟเตอร์ ยู
รอการฟื้นตัวของ SSS และรายได้จากสินค้าใหม่
AU รายงานกำไรสุทธิ 3Q25 ที่ 52 ล้านบาท ลดลง 37% YoY และ คงตัว QoQ ถูกกดดันจากการลดลงของรายได้ กำไรขั้นต้น และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
เราคาดกำไร 4Q25 มีแนวโน้มดีขึ้น QoQ แต่ยังลดลง YoY จาก SSS ที่ยังคงติดลบมากกว่า 20% YoY จากยอดขายในร้านขนมหวานและเครื่องดื่ม After You เป็นหลัก โดยปัจจัยสนับสนุนใน 4Q25 คือ การเพิ่มสินค้า เช่น ชา After You และอื่นๆ เข้าไปในร้านสะดวกซื้อ และเตรียมนำเสนอแบรนด์ใหม่สู่ตลาดด้วย
อย่างไรก็ตาม เราคาดการฟื้นตัวของกำไรยังใช้เวลา โดยบริษัทมีแผนในการปรับภาพลักษณ์และ concept ร้านขนมในปัจจุบันให้ได้ลูกค้าชาวไทยกลุ่มใหม่และลูกค้าชาวต่างชาติ เน้น ตะวันออกกลาง และเอเชีย เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ ไต้หวันและจีน
Consensus: ปรับลดประมาณการณ์กำไรของ AU มาโดยตลอด และปรับลด PER ที่ราคาเป้าหมายด้วยเช่นกัน โดย consensus คาดกำไรปี 2025 หดตัว 21% YoY และฟื้นตัว 21% YoY ในปี 2026 เราจึงมองว่ามีความเสี่ยงที่ประมาณการกำไรในปี 2026 จะถูกปรับลดลง

 



รายงานผลประกอบการวันนี้

AOT
ท่าอากาศยานไทย (
0) AOT รายงานกำไรสุทธิงวด 4Q25 (ก.ค.-ก.ย. 2025) ที่ 3,863 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 4,225 ล้านบาท ลดลง 4% YoY (จากรายได้ Duty free และจำนวนผู้โดยสาร) แต่เพิ่มขึ้น 14% QoQ เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด เราคาดกำไรงวด 1Q26 (ต.ค.-ธ.ค. 2025) กำไรจะลดลง YoY (ตามจำนวนผู้โดยสาร) แต่เพิ่มขึ้น QoQ ต่อ (จาก High Season การท่องเที่ยว) เราปรับลดกำไรลงเล็กน้อย 5% สำหรับปี 2026 จากการสะท้อนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น แต่ภาพระยะยาวยังไม่เปลี่ยนแปลง จึงคงราคาเป้าหมายที่ 47 บาท แนะนำซื้อ มองปัจจัยบวกจากการขึ้นค่า PSC จะเริ่มใช้ในช่วง เม.ย. 2026 เป็นต้นไป

 


สรุปประเด็นจาก Quick take

WHAUP
ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
สัญญาขายน้ำปริมาณ 28 ล้าน ลบม./ปี จะรับรู้ excess capacity charge ในปี 2026 มากกว่าปี 2025 อย่างมีนัยสำคัญ อยู่ระหว่างเจรจากับกลุ่ม Data Center เพิ่มอีก 17–29 ล้าน ลบม./ปี หากเซ็นสำเร็จ จะสร้าง excess capacity charge เพิ่มเติมในช่วงปี 2026–2027
View from fundamental: เราคาดกำไร WHAUP ปี 2026 เติบโตแข็งแกร่งจากการรับรู้ excess capacity charge ที่เพิ่มขึ้น และการฟื้นตัวของ Gheco-I คงคำแนะนำ “ซื้อ”


WHA
ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
คงเป้ายอดขายที่ดินปี 2025 ที่ 2,350 ไร่ โดยน่าจะเห็นการเร่งตัวของยอดขายใน 4Q25 (ลูกค้าจีนเริ่มกลับมาคุย) Data Center ยังสนใจลงทุนต่อเนื่อง หลังจากที่รัฐบาลเริ่มดำเนินการแก้ไขปัญหาคอขวดระบบส่งไฟฟ้า
View from fundamental: เราชอบ WHAUP มากกว่า WHA เนื่องจากแนวโน้มปี 2026 ที่เติบโตชัดเจนกว่า


Commerce
ผลกระทบน้ำท่วมภาคใต้ต่อผู้ประกอบการร้านค้าปลีก
สรุปผลกระทบต่อผู้ประกอบการค้าปลีกยังอยู่ในวงจำกัดส่วนใหญ่เป็นร้านขนาดเล็กและทั้งหมดมีประกันความเสียหายด้านทรัพย์สิน BJC ปิดทำการสาขามินิ บิ๊กซี 22 แห่ง (จากทั้งหมดมี 1.5 พันสาขา) CPAXT ปิดทำการร้านโลตัส โก เฟรช 9 แห่ง (จากทั้งหมดมี 2.1 พันสาขา) CRC ปิดทำการโรบินสันหาดใหญ่ (จากห้างทั้งหมดในไทย 76 แห่ง) ส่วนเวียดนามมีปิด Go Mall 1 แห่ง (จาก 44 สาขาในเวียดนาม) CPN เปิดทำการปกติแต่มีขยับเวลาให้บริการและเลื่อนจัดกิจกรรมสาขาเซ็นทรัล หาดใหญ่
View from fundamental: ราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีกระยะสั้นถูกกดดันจาก SSS ช่วง 4QTD ที่ยัง
ฟื้นช้า ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตอยู่ที่การปรับปรุงอัตราทำกำไร เราเลือก CPN (ราคาเป้าหมายปี 69 ที่ 62 บ.) และ COM7 (ราคาเป้าหมายปี 69 ที่ 30 บ.) เป็นหุ้นเด่น

 

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

น้ำท่วมใต้ By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ปีนี้ ฟ้าฝน ดีเกินไป ล่าสุด ถึงรอบ ถึงคิวภาคใต้ ฝนตก ครั้งนี้ สาหัส น้ำท่วมหลายพื้นที่ใน...

ซบเซาอีกนาน By : นายกล้วยหอม

นายกล้วยหอม เห็นเศรษฐกิจไทย มองไปข้างหน้าแล้ว เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ต้องใช้ยากระตุ้นตลอดเวลา เรียกว่า ชีวตอยู่ได้....

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : NKT เปิดโรงพยาบาลนครธน2เดือนธันวาคมนี้ เติมรายได้

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : NKT เปิดโรงพยาบาลนครธน2เดือนธันวาคมนี้ เติมรายได้

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้