Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

80

 


ภาพตลาดและแนวโน้ม Market wrap & Outlook

Sentiment Tracker
Sentiment ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังคงมีสัญญาณมิกซ์ แต่ไทยแย่ลง
KEY FINDINGS:

สหรัฐฯ: ดัชนี S&P500 ปรับลง 3% จากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีบนความกังวลในฟองสบู่ AI ขณะที่เครื่องชี้วัดภาวะอารมณ์ตลาด (Sentiment Indicators) ยังคงส่งสัญญาณมิกซ์ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง โดยดัชนี Fear & Greed Index ปรับตัวแย่ลงจากโซน Fear สู่โซน Extreme Fear คะแนนลดลงจาก 33 จุดเป็น 14 จุด สวนทางกับผลสำรวจ AAII ที่มี Bull-Bear Spread ที่เพิ่มขึ้น

ไทย: ขณะเดียวกัน ดัชนี SET ปรับตัวลง 0.4% สอดคล้องกับมาตรวัด BLS Greed & Fear Barometer ที่แย่ลงต่อเนื่องและอยู่ในโซน Fear เป็นสัปดาห์ที่สอง โดยคะแนนปรับลงจาก 34 คะแนน เหลือ 28 คะแนน

US MARKET SENTIMENT TRACKER:
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลง 3% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จากความของตลาดกังวลเกี่ยวกับฟองสบู่ AI ขณะที่เครื่องมือชี้วัด Sentiment ยังคงส่งสัญญาณมิกซ์ โดย CNN Fear & Greed Index ปรับตัวแย่ลงจากโซน Fear กลับเข้าสู่โซน Extreme Fear อีกครั้ง คะแนนปรับลดลงจาก 33 จุด เป็น 14 จุด ฉุดจากองค์ประกอบด้าน Market Momentum, Stock Price Strength และ Market Breadth ที่ปรับตัวแย่ลง ขณะที่ Put/call Ratio พุ่งขึ้นแรงสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2025 สะท้อนว่านักลงทุนมีการป้องกันความเสี่ยงจากการปรับลงของตลาด มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนของ AAII สะท้อนถึงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดในช่วง 6 เดือนข้างหน้าที่เพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนมีมุมมองฝั่ง Bullish เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 31.6% เป็น 32.6% (แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 37.5%) ขณะที่มุมมองฝั่ง Bearish ลดลงจาก 49.1% เป็น 43.6% (สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 31.0%) ส่งผลให้ Bull-Bear Spread ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก -17.5% สู่ระดับ -11.0% แต่ตัวเลขยังติดลบและต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 6.5%

THAI MARKET SENTIMENT TRACKER:
ในส่วนของตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET แกว่งตัวในกรอบ ปิดปรับตัวลดลง 0.4% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า โดยในช่วงแรกดัชนีปรับตัวลง แต่ฟื้นตัวกลับมายืนเหนือแนวรับระดับ 1,270 จุด ขณะที่มาตรวัด BLS Greed & Fear Barometer ปรับตัวลงต่อเนื่องและยังคงอยู่ในโซน Fear เป็นสัปดาห์ที่สอง คะแนนลดลงจาก 34 คะแนนสู่ 28 คะแนน โดยมีองค์ประกอบย่อยแย่ลงในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดัชนี Volume Index ที่ปรับลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ห้า ดัชนี Momentum Strength ที่ปรับลงจาก 3.0 จุด สู่ -7.1 จุด และ ดัชนี Bull-to-bear ที่ปรับลงจากระดับ 22.6% สู่ 18.4%

IMPLICATION:
การที่ Sentiment ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่งสัญญาณมิกซ์ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สองจะทำให้ตลาดยังคงความผันผวนยังท่ามกลาง Sentiment ที่ผสมผสาน สะท้อนความไม่มั่นใจของนักลงทุน

สำหรับตลาดหุ้นไทย สัญญาณ Sentiment Tracker ยังคงบ่งชี้ถึงแรงกดดันที่ยังมีอยู่ โดยแม้ว่าดัชนี Bull-to-Bear จะเริ่มเข้าใกล้กรอบล่างแล้ว แต่การปรับลงของ Volume Index เริ่มแรงขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา อีกทั้ง Market Momentum ก็เพิ่งเข้าสู่โซน Negative ชี้ถึงแรงกดดันที่มากขึ้น ส่วน Market Breadth ก็ยังอ่อนแอ ชี้ว่าการรีบาวด์ของตลาดยังคงเปราะบางและน่าจะมีอัพไซด์ที่จำกัด

สรุปภาพตลาดวานนี้
SET บวกตามตลาดโลก นำโดยหุ้นใหญ่นอกจาก DELTA ที่ส่งก่อนย่อ แล้วมี AOT THAI GULF CPALL และกลุ่มธนาคารช่วยหนุน ส่วนฝั่งแรงขาย BDMS CPAXT SCGP TOP TPIPP เป็นต้น

แนวโน้มตลาดวันนี้
ผ่านจุดปรับฐาน...เตรียมเดินหน้าต่อ
หุ้นไทยสามารถผ่านเงื่อนไข เพื่อหยุดการปรับฐานได้ตามที่เราประเมิน 1.) อิทธิพลความผันผวนของสินทรัพย์ทั่วโลกต่อตลาดหุ้นไทยเริ่มลดลง 2.) แรงขายหุ้นไทยเบาลงพร้อมวอลุ่มที่หดในช่วงที่ตลาดลบ และ มีการหมุนกลุ่มขึ้นมาเล่นสลับไม่ใช่ ลงกระจายกลุ่ม 3.) หุ้นที่โดนเทขายหนักเพราะงบไตรมาส 3 แย่ ยืนได้แล้ว และเมื่อมองไปไตรมาส 4 ตามรายงานปัจจัยพื้นฐาน BLS Research พบยังมีโอกาสเห็นกำไรที่ดีขึ้นในหุ้นหลายตัว ขณะที่ไตรมาส 3 กำไรดีกว่าตลาดคาดไปถึง 6.8%
กลยุทธ์คงคำแนะนำ ถือเงินสด และหุ้น 50/50 (สามารถอิงตามพอร์ตจำลอง กลยุทธ์: นักลงทุนควรถือเงินสด 50% เพื่อรอช้อนซื้อหุ้นเมื่อมีสัญญาณซื้อ / และถือหุ้น 50% ตามพอร์ตกลยุทธ์ที่มีของเดิมไว้ก่อน)

โดยธีมการเลือกหุ้นเล่นรอบ จะเปลี่ยนไปเน้นที่ Catalysts (ปัจจัยหนุนราคาหุ้น) แทนการหาหุ้นตามผลการดำเนินงาน (ยกตัวอย่างหุ้นที่เรา ถือตามพอร์ตจำลอง AOT CENTEL TOP WHAUP CPF เป็นต้น

ปัจจัยที่เหลือ แต่ไม่ได้เป็นเงื่อนไขสำคัญ-เหมือนช่วงที่ผ่านมา คือติดตาม การปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยของ MSCI ซึ่งจะมีผล 24 พย.นี้, สัญญาณเลือกตั้งในประเทศ อาจมาเร็วก่อนกำหนด, อานิสงส์ฤดูกาลท่องเที่ยวบวกกับ กรณีตึงเครียดจีน ญี่ปุ่น มีลุ้นหนุนตัวเลข นทท. ผดส. เข้าไทยตามเป้าหมาย

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ “รอ” สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลง ไม่ไล่ราคา เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร

วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET ส่งสัญญาณฟื้นตัว (เริ่มชัดขึ้น)บริเวณเส้น EMA 200 วัน & ตำแหน่งตัวเลข Fibonacci retracement 23.6% มีโอกาสจบคลื่นขาลง “Corrective wave C” ขณะที่ RSI return จ่อทะลุเส้น signal line บ่งชี้สัญญาณกลับตัว ขาขึ้นรอบใหม่ ภายหลังดัชนีสร้างฐานแกว่งตัวออกข้าง สะสมพลังมาแล้ว 4 วันทำการ สรุปแนวโน้มตลาดจบรูปแบบขาลง เตรียมตัวนับ 1 2 3 กันอีกครั้ง
แผนการเทรด: ตลาดฟื้นมีโอกาสกลับตัวเป็นขาขึ้น อาจต้องมีหุ้นติดพอร์ตไว้บ้าง
ไฮไลท์หุ้น: AOT “price pattern & volume “ ชี้จุดกลับตัว!/ CPALL “triple bottom” / GULF “divergence & ราคาใกล้ฐาน / SPA “reversal pattern จุดกลับตัวขาขึ้น” / COM7 ลงลึก...ลุ้นเด้งแรง

 

What to watch
ตลาดคาดหุ้นเพิ่มเข้าคำนวณดัชนี SET50 ม.ค.-มิ.ย.69: GLOBAL, ITC, SAWAD หุ้นออกได้แก่ BCP, KKP, VGI โดยคาดประกาศกลางเดือน ธ.ค.69 / ดัชนี SET100 คาดหุ้นเข้า BPP, CKP, SAPPE ส่วนหุ้นถูกถอด คาดได้แก่ JTS, MBK, WHAUP
ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงสถานการณ์นักท่องเที่ยวช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (10-16 พ.ย.) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 689,431 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 8,958 คน หรือ 1.28% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 98,490 คน
ภาพรวมนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-16 พ.ย. 68 มีจำนวนทั้งสิ้น 28,277,276 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1,308,132 ล้านบาท
MSCI ประกาศทบทวนดัชนีรายไตรมาส MSCI Global Small Index หุ้นเข้ามี 1 ตัว คือ M ส่วนหุ้นออกมี 5 ตัว คือ AAV, CKP, JTS, QH, TPIPP โดยจะมีผลต่อราคาปิดของวันที่ 24 พ.ย.
พรรคภูมิใจไทย เตรียมเสนอรายชื่อ แคนดิเดตนายกฯ สำหรับการเลือกตั้งสมัยหน้า โดยโผรายชื่อล่าสุดมี ครม.ปัจจุบันติด เช่น คุณศุภจี และ คุณเอกนิติ ด้านพรรคเพื่อไทย เตรียมเสนอชื่อแคนดิเดตนายก เดือน ธ.ค.นี้

หุ้นแนะนำวันนี้
CPF ราคาเนื้อหมูเริ่มเห็นสัญญาณดีหลังจากคุมราคาขายได้-ไม่ให้ลงต่ำกว่าต้นทุน ด้านต้นทุนมีแนวโน้มลดลงจากการนำเข้าต้นทุนข้าวโพดและอาหารสัตว์ PE เหลือ 6 เท่า ต่ำสุดรอบ 20 ปี ผลตอบแทนเงินปันผลพุ่ง 4.6% สูงสุดรอบ 15 ปี
แนวรับ 21 ต้าน 22.5 Stop loss 20

 

 

 

รายงานพื้นฐานวันนี้

Utilities Sector
โรงไฟฟ้า SPP จะกลับมาเฉิดฉาย จากอะไร?
ปี 2026 จะเป็นปีที่ SPP เข้าสู่รอบฟื้นตัวชัดเจนที่สุดในรอบหลายปี จากแรงหนุนใหญ่สองด้าน จากต้นทุนก๊าซลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ค่าไฟฟ้าปรับลงน้อยมาก แม้ต้นทุนเชื้อเพลิงลดแรง ทั้งยังกดดันให้ spark spread กว้างขึ้นตามธรรมชาติของระบบที่ต้องการ IPP ใหม่ทดแทนโรงไฟฟ้าเก่า ส่งผลบวกต่อโครงสร้างกำไร SPP แบบยาวๆ มากกว่ารอบสั้น
ด้านต้นทุนก๊าซ กกพ. (ERC) ปรับลดสมมติฐานราคา pooled gas ปี 2026 ลง 8–10% YoY เหลือ 270 บาท/MMBtu แต่ค่าไฟฟ้าแทบไม่ขยับ โดย ม.ค.-เม.ย. 2026 คงค่าไฟต่ำสุดที่ 3.94 บาท/หน่วย เท่ากับช่วงปัจจุบัน ทำให้ค่าไฟลงช้ากว่าต้นทุนก๊าซอย่างมีนัยสำคัญ จากการศึกษาของเราชี้ว่าก๊าซลงเร็วกว่าค่าไฟ หนุนกำไรปี 2026 ของ BGRIM เพิ่มราว 244 ล้านบาท, GPSC เพิ่ม 386 ล้านบาท และ WHAUP เพิ่ม 37 ล้านบาท
อีกแรงหนุนเชิงโครงสร้างคือ ต้นทุนโรงไฟฟ้าก๊าซทั่วโลกที่พุ่งตามกระแส data center ทำให้ต้นทุน AP ของการสร้าง IPP ใหม่ทดแทนสูงขึ้น (จาก 0.03 เป็น 0.05–0.06 บาท/หน่วย/1GW) และถ้า PDP ใหม่ เพิ่มกำลังผลิต 1GW บวกกับ 3GW ที่ทดแทนของเดิมที่ครบอายุในปี 2028–30 จะดันภาพระยะยาวของค่า spark spread เพิ่มอีกราว 0.11–0.15 บาท/หน่วย หนุนกำไรระยะยาวของ SPP ขึ้นอีกของ BGRIM 9-13%, GPSC 10–14% และ WHAUP 3–4%
Fundamental view: เรามอง BGRIM และ GPSC เป็นผู้ได้ประโยชน์มากที่สุดตามการ leverage กับ spread มากสุด ขณะที่ WHAUP ได้แรงหนุนน้อยกว่า แต่ยังเป็นทิศทางบวกต่อเนื่อง

Retails Finance Sector
ใส่เกียร์เร่งเพิ่มในปี 2026
กลุ่มไฟแนนซ์เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวชัดใน 3Q25 โดยมีกำไรรวมเติบโต 12% YoY นำโดย TIDLOR และ MTC จากการขยายสินเชื่อและการตั้งสำรอง (LLP) ที่เบาลง แม้สินเชื่อทั้งระบบยังโตช้า (+4.6% YoY) แต่ NIM เฉลี่ยดีขึ้นเป็น 14.46% (+13bps QoQ) จาก loan yield ที่สูงขึ้น และคุณภาพสินทรัพย์เริ่มดีขึ้นใน TIDLOR และ KTC
แนวโน้ม 4Q25 คาดว่าสินเชื่อจะเร่งตัวขึ้นเป็น +5.5% YoY จากการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดีขึ้น ทำให้แต่ละรายกล้าปล่อยกู้มากขึ้น พร้อมกับต้นทุนทางการเงินที่น่าจะลดลง QoQ ส่งผลให้กำไรกลุ่มคาดโต 7% YoY แต่ลด 4% QoQ ตามฤดูกาลและ loan yield ที่อาจอ่อนตัว ทั้งนี้แรงขับเคลื่อนหลักยังมาจาก TIDLOR และ MTC ที่รักษาการเติบโตของสินเชื่อและ credit cost ได้ดี
มองไปปี 2026 กลุ่มไฟแนนซ์มีโอกาสกลับมาเปิดเกมรุกอีกครั้ง หลังใช้ปี 2025 ในการเคลียร์ NPL โดยการเติบโตจะเน้นการปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียน (auto title loan) เป็นหลัก ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำกว่า personal loan และเช่าซื้อฯ เราคาด NIM เฉลี่ยปี 2026 ขยายขึ้นเป็น 14.18% (+11bps YoY) จากต้นทุนเงินที่ลดลง โดย KTC, SAWAD, และ TIDLOR จะเป็นผู้นำด้าน NIM
Fundamental view: เรามอง TIDLOR และ MTC เด่นที่สุดเชิง Momentum ขณะที่ SAWAD และ KTC ได้ประโยชน์จาก NIM และกลุ่มฯ ยังอยู่ในช่วง “re-rating early cycle” ต่อเนื่องใน 2026

 

 


Property Sector
ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว และขาลงยาวนานขึ้น
ผู้ประกอบการ 6 บริษัทที่ศึกษาในกลุ่มอสังหาฯ รายงานกำไรหลักรวมลดลงเกือบ 30% YoY รายได้ลดลงกว่า 20% YoY อัตรากำไรขั้นต้นที่ 30.6% ต่ำกว่าปีก่อน ตอกย้ำว่ากลุ่มอสังหาฯ ยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัวอย่างแท้จริง วงจรขาลงยืดเยื้อกว่าที่คาด การแข่งขันด้านราคาเริ่มกลายเป็นโครงสร้างใหม่ ท่ามกลางอุปสงค์อ่อนตัวและเงื่อนไขสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งคาดว่าจะลากยาวไปจนถึงปี 2026
มาตรการปลดล็อค LTV 100% แม้จะช่วยผู้ซื้อบางกลุ่ม แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนสูง ดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแรง ในภาวะแบบนี้ “ฐานะการเงินและวินัย” กลายเป็นปัจจัยชี้ชะตา ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีทุนแข็งแรงและพอร์ตสินค้าที่หลากหลายจะยังคงทำได้ดีกว่าตลาด ส่วนรายที่อ่อนแอจะเผชิญแรงกดดันด้านสภาพคล่องจากรอบโปรโมชั่นที่ยืดเยื้อ
แนวโน้ม 4Q25 อาจเห็นการฟื้นตัวเล็กน้อยจากการรับรู้ยอดรอโอนและแคมเปญปลายปี แต่ยังไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนทิศทางอุตสาหกรรม
Fundamental view: ภาพรวมทั้งหมดทำให้เรายังคงมุมมองเชิงลบต่อกลุ่มอสังหาฯ และมองว่าการฟื้นตัวจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปและสะดุดเป็นช่วงๆ มากกว่าจะกลับตัวอย่างชัดเจนในระยะสั้น จึงไม่มีหุ้นแนะนำซื้อ

 

PTG
(Visit Note)
พีทีจี เอ็นเนอยี
แนวโน้ม 4Q25 ดีขึ้น QoQ และเติบโตต่อเนื่องในปี 2026
PTG รายงานกำไรสุทธิ 3Q25 ที่ 211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 185% YoY (กำไรจากธุรกิจ oil & non-oil สูงขึ้น, ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น) แต่ลดลง 32% QoQ (กำไรจากธุรกิจ oil ลดลง, ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง) ภาพแยกรายธุรกิจ ดังนี้
ธุรกิจ Oil: ใน 3Q25 ปริมาณขายน้ำมัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1% YoY แต่ลดลง 6% QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล กำไรขั้นต้นของธุรกิจ Oil เพิ่มขึ้น 2% ทั้ง YoY และ QoQ ส่วนแนวโน้ม 4Q25 คาดว่าปริมาณขายจะปรับตัวสูงขึ้น YoY & QoQ (การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจากมาตรการของภาครัฐและปัจจัยฤดูกาล) ในขณะที่ค่าการตลาดเฉลี่ยคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY (ทรงตัว QoQ)

ธุรกิจ Non-Oil: ใน 3Q25 รายได้เติบโต 42% YoY และ 9% QoQ หนุนโดยการเติบโตของธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทย ซึ่งรายได้เติบโต 163% YoY และ 24% QoQ อัตรากำไรขั้นต้นของอยู่ที่ 28.4% เพิ่มขึ้นจาก 21.4% ใน 3Q24 และ 27.0% ใน 1Q25 สำหรับแนวโน้ม 4Q25 คาดว่ายอดขายและกำไรของธุรกิจ Non-Oil จะเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง
แผนธุรกิจ: ปี 2026 บริษัทคาดว่าปริมาณขายน้ำมันจะเติบโต 4-5% YoY หนุนโดยการปรับปรุงสถานีบริการและการขยายระบบสมาชิก และคาดว่าจะขยายสาขาร้านกาแฟพันธุ์ไทยอีก 1,000 สาขา

Our view: มูลค่าหุ้นไม่แพง ปัจจุบันซื้อขายที่ PE ปี 2026 ที่ 9.5 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีอยู่ที่ 18.6 เท่าอยู่ 49%) เราจึงมองว่าเป็นระดับที่น่าสนใจลงทุน

 

 

 

 


สรุปประเด็นจาก Quick take

OR
ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
ธุรกิจ Mobility มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในปี 2026 หนุนโดยส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูงขึ้น (บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดอีก 1% จากปีนี้) ในขณะที่คาดว่า gross oil margin จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีนี้ที่ราว 1 บาท/ลิตร
View from fundamental: แม้แนวโน้มระยะสั้นจะไม่น่าตื่นเต้น แต่ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของ OR น่าจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลให้อยู่ในระดับ 4.0% ต่อไปในอนาคตได้ ซึ่งน่าจะช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลงของราคาหุ้น นอกจากนั้นอาจมีอัพไซด์ต่อประมาณการกำไรระยะยาวจากการลงทุนใหม่ๆ เราจึงยังคงคำแนะนำ “ถือ”

 


HANA
ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
ธุรกิจ PMS ยังไม่ดี อยู่ระหว่างปรับไปผลิตในจีนเพื่อแข่งในตลาดจีน ระดับการขาดทุนที่เกิดขึ้นน่าจะต่อเนื่องไปจนถึง 2Q26 และดีขึ้นใน 2H26 ธุรกิจ OSAT อยุธยา อุปสงค์ยังอ่อนแอจากลูกค้ารายใหญ่ แม้รายเล็กจะเริ่มฟื้นบ้าง คาดจะกลับมาทำกำไรได้ใน 2Q26 (1Q25 ขาดทุน 2Q25 กำไร 3Q25 กลับมาขาดทุน)
View from fundamenta l: ภาพรวมเรายังมองกำไร 4Q25 ฟื้นตัวได้ จากผลของค่าเงินบาท กำไรน่าจะกลับมาระดับ 200 ล้านบาท+/- ได้ แต่การฟื้นตัวน่าจะต้องดูใน 2Q26-2H26 มากกว่า

 

MINT
ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
บริษัทยังพิจารณาการขายสินทรัพย์เข้า REITs และจะ IPO ใน 2Q26 โดยรายละเอียดของสินทรัพย์ และขนาด REITs $1.2-1.5bn จะเปิดเผยภายหลัง และเงินไปใช้ในการลดหนี้และลงทุนที่มีผลตอบแทนเติบโต
View from fundamental: เรายังมองบวก การขายสินทรัพย์โรงแรมเข้า REITs และ การนำธุรกิจอาหารออกมา IPO รวมถึงการปรับปรุงทรัพย์สิน และแบรนด์โรงแรมและร้านอาหาร คงคำแนะนำ ซื้อ

 

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

หาตัวเขียว By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษเช้านี้ หาตัวเขียว ในกระดานหุ้นไทยแทบไม่เจอ หุ้นใหญ่มีแรงขาย หุ้นเล็กยังพอมีตัวบวก ......

ขึ้นภาษี... By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง เสพข่าว รัฐบาลมีแผนปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แบบขั้นบันได โดยจะเพิ่มเป็น 8.5% ในปี 2571 ....

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : NKT เปิดโรงพยาบาลนครธน2เดือนธันวาคมนี้ เติมรายได้

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : NKT เปิดโรงพยาบาลนครธน2เดือนธันวาคมนี้ เติมรายได้

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้