หุ้น TECH หกล้ม กดดันตลาดผันผวน

HORIZON MARKET VIEW
• วานนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนหนัก ร่วงลงราว -0.8% ถึง -2.1% ซึ่งเกิดการกลับตัวในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดตั้งแต่เดือน เม.ย. 68 ทำให้ดัชนีหลักร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 เดือน ขณะที่ตลาดหุ้นฝั่งเอเชียเช้านี้ปรับตัวลงเช่นกัน นำโดยเกาหลีใต้ -3.3%, ญี่ปุ่น -2.2%
• ปัจจัยสำคัญที่กดดันมีทั้งความกังวลว่าโครงการ AI สร้างรายได้และกำไรไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับการลงทุนมหาศาล (การลงทุนใน AI อาจไม่ยั่งยืน) ซึ่งอุตสหกรรม AI มีความเสี่ยงจากข้อจำกัดส่งออกไปจีน, ดีลลงทุนกับสตาร์ทอัพ AI อาจสร้างอุปสงค์เทียม, มูลค่าหุ้นสูงเกินจริง นอกจากนี้ โอกาสลดดอกเบี้ยของ FED ในเดือน ธ.ค. 68ดูยากขึ้น หลังรายงานการจ้างงานสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง
• จับตาข้อพิพาทระหว่างจีน-ญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด หลังจีนเริ่มใช้หลายมาตรการตอบโต้

REGION RADAR
• WALMART รายงานรายได้รวมอยู่ที่ $1.79 แสนล้าน +5.8% YOY(สูงกว่าคาด 1.1%) และ EPS อยู่ที่ $0.62 +6.9% YOY (สูงกว่าคาด3.2%) อีกทั้งบริษัทได้มีการปรับเป้ารายได้และกำไรขึ้นจากเดิมแนะนำเก็งกำไร WALMART (WMT US)
• งาน CHINA BIOPHARMA INVESTOR TRIP (10-13 พ.ย.) ทีมผู้บริหารของ ASTRAZENECA แสดงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มตลาดยาในจีน โดยระบุว่า จีนยังคงเป็นตลาดเชิงกลยุทธ์หลักของบริษัทและมั่นใจว่ายังคงเติบโตได้ในระยะยาว

THAI FOCUS
•ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในมุมมองการคลัง คือ รัฐบาลมีรายจ่ายมากกว่ารายได้มาอย่างยาวนาน และต้องกู้เงินมาอุดรอยรั่วนี้ทุกปีโดยรายได้หลักของประเทศฝากความหวังไว้ที่ "ภาษี VAT" เป็นสำคัญ
• ดังนั้นเมื่อใดที่รัฐต้องการเงินเพิ่ม "การขึ้น VAT" จะเป็นตัวเลือกแรกๆที่ถูกหยิบมาพิจารณาทางทฤษฎีเสมอ แต่ในทางปฏิบัติและทางการเมืองแล้ว เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะจะกระทบค่าครองชีพของประชาชนโดยตรงจึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป

SYNAPSE STRATEGY
• ตลาดหุ้นโลกผันผวน หลังหุ้น TECH ที่ VALUATION เริ่มแพง ถูกขายทำกำไรออกมา ขณะที่หุ้นไทยหลายบริษัท อาจได้อานิสงส์ จากพิพาทจีนกับญี่ปุ่น อย่างกลุ่มท่องเที่ยวที่มักขึ้นได้ดีสุดในตลาด ช่วงพิพาทจีนกับญี่ปุ่น ปี 2005 และปี 2012 ระยะ 5 – 7 เดือนSETTOURISM +55% VS SET +12.5%
• แนะนำหลบความผันผวนจากประเด็นต่างโดยถือเงินสดเพิ่ม 20% -30% และเลือกลงทุนหุ้นธีม พิพาทจีนกับญี่ปุ่น ERW, CENTEL,MINT, CPN, BA, AAV, AOT, BEM,TU, CPF

HORIZON MARKET VIEW
ความผันผวนกลับมาสู่ตลาดหุ้นอีกครั้ง
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนหนัก ร่วงลงราว -0.8% ถึง -2.1% ซึ่งเกิดการกลับตัวในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดตั้งแต่เดือน เม.ย. 68 ทำให้ดัชนีหลักร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 เดือน ขณะที่ตลาดหุ้นฝั่งเอเชียเช้านี้ปรับตัวลงเช่นกัน นำโดยเกาหลีใต้ -3.3%, ญี่ปุ่น -2.2%

ปัจจัยสำคัญที่กดดันมีทั้งความกังวลว่าโครงการ AI สร้างรายได้และกำไรไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับการลงทุนมหาศาล (การลงทุนใน AI อาจไม่ยั่งยืน) ซึ่งอุตสหกรรม AI มีความเสี่ยงจากข้อจำกัดส่งออกไปจีน, ดีลลงทุนกับสตาร์ทอัพ AI อาจสร้างอุปสงค์เทียม, มูลค่าหุ้นสูงเกินจริง นอกจากนี้โอกาสลดดอกเบี้ยของ FED ในเดือน ธ.ค.68 ดูยากขึ้น หลังรายงานการจ้างงานสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง โดยการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (NONFARMPAYROLLS) เพิ่มขึ้น 119,000 ตำแหน่ง สูงกว่าตลาดคาดที่ 53,000 ตำแหน่ง

อีกประเด็นหนึ่งยังต้องจับตาข้อพิพาทระหว่างจีน-ญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด หลังคำพูดของนายกฯ SANAE TAKAICHIเชื่อมโยงความมั่นคงของญี่ปุ่นกับความขัดแย้งไต้หวัน ทำให้จีนใช้มาตรการตอบโต้ อาทิ หยุดนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่น, เตือนนักท่องเที่ยวไม่ให้เดินทางไปญี่ปุ่น, ยกเลิกการแสดงของศิลปินญี่ปุ่นในจีน, ขู่จะดำเนินการเพิ่มเติม หากญี่ปุ่นไม่ถอนคำพูดเรื่องไต้หวัน ฯลฯ

อย่างไรก็ตามตอนนี้แต่ยังไม่ได้มีการใช้ “อาวุธแร่หายาก” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เคยใช้ในปี 2010 ระหว่างข้อพิพาทดินแดน ทั้งนี้ หากสถานการณ์รุนแรง บริษัทญี่ปุ่นในจีน อาทิTOYOTA, UNIQLO อาจถูกกระทบหนัก

REGION RADAR
WALMART รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมาสูงกว่าคาด
WALMART รายงานรายได้รวมอยู่ที่ $1.79 แสนล้าน +5.8% YOY (สูงกว่าคาด 1.1%) และ EPS อยู่ที่ $0.62+6.9% YOY (สูงกว่าคาด 3.2%) โดยยอดขายสาขาเดิมในสหรัฐฯ (SAME-STORE SALES) เพิ่มขึ้น 4.5% YOY(สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ระดับ 4% YOY) ซึ่งได้แรงหนุนจากจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น 1.8% YOY และยอดใช้จ่ายต่อบิล
เพิ่มขึ้น 2.7% YOY อีกทั้งบริษัทได้ปรับเพิ่มเป้าหมายการเติบโตของรายได้ทั้งปีสู่ระดับ 4.8%-5.1% (จากเดิมที่ระดับ 3.75-4.75%)

ด้าน DOUG MCMILLON ซึ่งเป็น CEO ของบริษัทกล่าวว่า “ความแข็งแกร่งของการใช้จ่ายจากทุกกลุ่มรายได้โดยเฉพาะกลุ่มรายได้สูง” พร้อมยืนยันแผนเกษียณอายุในต้นปีหน้า และจะส่งต่อบทบาทให้ JOHN FURNERประธาน WALMART US คนปัจจุบันขึ้นเป็น CEO แทนแนะนำเก็งกำไร WALMART หลังผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมาแข็งแกร่งและแนวโน้มในไตรมาส 4 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ WALMART ยังเป็นหุ้นในกลุ่ม DEFENSIVE ที่น่าสนใจในช่วงที่ตลาดมีภาวะกังวลฟองสบู่ในหุ้นกลุ่ม AI

ASTRAZENECA มองตลาดยาจีนเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว
สำหรับงาน CHINA BIOPHARMA INVESTOR TRIP (10-13 พ.ย.) ทีมผู้บริหารของ ASTRAZENECA แสดงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มตลาดยาในจีน โดยระบุว่า จีนยังคงเป็นตลาดเชิงกลยุทธ์หลักของบริษัทและมั่นใจว่ายังคงเติบโตได้แม้มีการแข่งขันจากผู้ผลิตท้องถิ่น ซึ่งบริษัทมั่นใจการเติบโตระยะยาวของตลาดจีนจะได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัวยานวัตกรรมราคาสูงที่รัฐบาลเตรียมขยายการคุ้มครองผ่านระบบประกันสุขภาพ และการขยายความครอบคลุมของประกันเอกชนที่จะเพิ่มการเข้าถึงยาใหม่ โดย ASTRAZENECA มีสัดส่วนรายได้จากจีนราว15%

ภาษีมูลค่าเพิ่มในมุมของรายได้รัฐบาลเป็นอย่างไร
หากดูข้อมูลจากสำนักเศรษฐกิจการคลังะเห็นภาพรวมสุขภาพทางการเงินของประเทศไทยที่น่ากังวล โดยไทยขาดดุลงบประมาณมาโดยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 2556 - 2567) หมายความว่า รัฐบาล "หาเงินได้ น้อยกว่า เงินที่ใช้ไป"โดยเฉพาะช่วงวิกฤตโควิด (ปี 2563-2564) ที่ยอดขาดดุลพุ่งสูง8 แสนล้านบาท ส่วนปี 2567 รัฐมีรายจ่ายสูงถึง 3.54 ล้านล้านบาท แต่หารายได้เข้ามาเพียง 2.79 ล้านล้านบาท ขาดดุลราว 7.5 แสนล้านบาทดังนั้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องหารายได้เพิ่ม ซึ่งภาพโครงสร้างรายได้ของรัฐบาล พบว่า กรมสรรพากร เป็นหน่วยงานที่หาเงินได้มากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 69% ของรายได้ทั้งหมด ราว 2.33 ล้านล้านบาท ซึ่งเมื่อเจาะไส้ในรายได้ของกรมสรรพากร จะพบว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คือรายได้อันดับ 1 ของรัฐบาล

โดย VAT คิดเป็นสัดส่วน 29% ของรายได้ทั้งหมด (ประมาณ 9.9 แสนล้านบาท) มากกว่าภาษีเงินได้นิติบุคคล(24%) และมากกว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (13%) ตามลำดับ โดยแนวโน้มรายได้จาก VAT มีอัตราเติบโตเฉลี่ย3% ต่อปี ซึ่งสะท้อนตามสภาพเศรษฐกิจและการบริโภคของประชาชนที่มากขึ้นตามกลไก

ดังนั้น เนื่องจากรัฐบาลขาดดุลต่อเนื่อง และพึ่งพา VAT เป็นหลัก จึงเกิดแนวคิดจากทางภาคข้าราชการประจำหรือนักวิชาการการคลังว่า "ควรขึ้นภาษี VAT" โดยมีข่าวการเสนอแผนขยับ VAT จากปัจจุบัน 7% ขึ้นเป็น 8.5%ในปี 2571(เพิ่มขึ้น 21.4%) เพื่อเพิ่มรายได้เข้ารัฐบาล อย่างไรก็ตาม กระแสข่าวกลับทิศทันทีหลังนายกฯได้ออกมา "คัดค้าน" ทันที โดยยืนยันว่า "ไม่มีการขึ้นภาษีแน่นอน" ตราบใดที่ยังบริหารประเทศอยู่ โดยให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจอยู่ในช่วงฟื้นตัว การขึ้นภาษีจะเป็นการซ้ำเติมประชาชน ซึ่งต้องติดตามว่าหลังการยุบสภาช้าสุด 31ม.ค.69 รัฐบาลจะแก้ไขการขาดดุลงบประมาณอย่างไร และจะใช้วิธีการขยับ VATขึ้นจริงหรือไม่

SYNAPSE STRATEGY
จังหวะเหมาะๆ เข้าสะสมหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว
ตลาดหุ้นโลกผันผวน หลังหุ้น TECH ที่ VALUATION เริ่มแพง ถูกขายทำกำไรออกมา ขณะที่หุ้นไทยหลายบริษัทอาจได้อานิสงส์ จากพิพาทจีนกับญี่ปุ่น (ความขัดแย้งเชิงรัฐศาสตร์ นายกญี่ปุ่นพูดถึง “การคุกคามต่อการอยู่รอด” หากจีนโจมตีไต้หวัน) อย่างกลุ่มท่องเที่ยวที่มักขึ้นได้ดีสุดในตลาด ช่วงพิพาทจีนกับญี่ปุ่น ปี 2005(ความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ เรื่อง ปรับแก้ลดทอนความโหดร้ายสมัยสงคราม ในหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น)และปี 2012(ความขัดแย้งทางเชิงดินแดน พิพาทเรื่อง ญี่ปุ่นซื้อหมู่เกาะ SENKAKU)

ประเด็นดังกล่าวกลับเห็นนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยเพิ่มขึ้นอย่างล้นหลาม +67%YOY (5 เดือน ช่วงก.ย. 05– ก.พ. 06) และ +134%YOY (7เดือน ช่วงก.ย. 12– เม.ย. 13)

ในเชิงราคาคาหุ้น 2 ช่วงที่เกิดเหตุทะเลาะระหว่างจีน-ญี่ปุ่น (ก.ย.05 และ ก.ย.12) ผลตอบแทนหลังจากนั้น 5-7เดือน SETTOURISM บวกแรงสุดเฉลี่ย +55% ขณะที่ SET บวกเฉลี่ย +12.5%

กลยุทธ์แนะนำหลบความผันผวนจากประเด็นต่างโดยถือเงินสดเพิ่ม 20% - 30% และเลือกลงทุนหุ้นธีม พิพาทจีนกับญี่ปุ่น ERW อดีต +123%, CENTEL 88%, MINT 85%, CPN 73%, AAV 59%, AOT 33% รวมถึง TU, CPF

Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์