สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(21 พฤศจิกายน 2568)------------บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด (บลจ. แอสเซท พลัส) เดินหน้าขยายโอกาสการลงทุนในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่กำลังอยู่บนวัฏจักรขาขึ้น ด้วยการเปิดตัว 2 กองทุนใหม่ ได้แก่ กองทุนเปิด เอแทรคเกอร์ส โกลบอล ไมเนอร์ส อิควิตี้ (A-RING) ที่ลงทุนในหุ้นเหมืองทองคำทั่วโลก และกองทุนเปิด เอแทรคเกอร์ส ซิลเวอร์ ไมเนอร์ส อิควิตี้ (A-SLVP) ที่มุ่งลงทุนในหุ้นเหมืองโลหะเงิน เพื่อตอบรับแนวโน้มของตลาดทองคำและเงินที่กำลังขยายตัวทั้งในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” และ “วัตถุดิบหลักในอุตสาหกรรมอนาคต”

นายคมสัน ผลานุสนธิ กรรมการผู้จัดการ บลจ. แอสเซท พลัส เปิดเผยว่า “ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลก ธนาคารกลางหลายประเทศได้ปรับพอร์ตทุนสำรองครั้งใหญ่ โดยเพิ่มสัดส่วนทองคำขึ้นสู่ระดับสูงสุดในประวัติการณ์ พร้อมลดน้ำหนักดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐฯ นักลงทุนทั่วโลกจึงหันกลับมามองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่สามารถรักษามูลค่าได้ดีที่สุดในช่วงดอกเบี้ยขาลง”
ราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องยิ่งสนับสนุนให้หุ้นเหมืองทองคำเด่นชัดกว่า โดยมีสถิติเห็นได้ว่า เมื่อเข้าสู่รอบขาขึ้น หุ้นเหมืองทองคำมีแนวโน้มปรับตัวสูงกว่าราคาทองคำเฉลี่ยถึง 2 เท่า และในปีนี้ยังเป็นหนึ่งในหมวดหุ้นที่ทำผลตอบแทนได้ดีที่สุดในตลาดสหรัฐฯ จากกระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยและสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์ต่ำกับตลาดหลักทรัพย์ทั่วไป

นายคมสันกล่าวต่อว่า “แม้หุ้นเหมืองทองคำจะปรับตัวขึ้นกว่า 100% ตั้งแต่ต้นปี แต่ Valuation ยังมีส่วนต่างให้เติบโต โดยค่า P/E ของอุตสาหกรรมเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 11.69 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 20 ปีราว -1 S.D. สะท้อนว่าตลาดยังไม่ได้ให้น้ำหนักศักยภาพการเติบโตเต็มที่”

การปรับโครงสร้างธุรกิจเหมืองทองคำตั้งแต่ปี 2015 ช่วยให้บริษัทเหมืองทองคำขนาดใหญ่ลดภาระหนี้ ควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด และสร้างกระแสเงินสดได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เมื่อรวมกับโครงสร้างต้นทุนแบบ Fixed Cost หากราคาทองคำปรับเพิ่มเพียงเล็กน้อย จะสามารถผลักดันอัตรากำไรให้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์และยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องถึงปี 2026

นอกจากทองคำแล้ว นายคมสันยังชี้ว่า “เงิน” (Silver) กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในเศรษฐกิจยุคใหม่ และถูกมองเป็นทั้งสินทรัพย์ปลอดภัยและวัตถุดิบหลักที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก เช่น โซลาร์เซลล์, เซมิคอนดักเตอร์, รถยนต์ไฟฟ้า และ ดาต้าเซนเตอร์ อุตสาหกรรมเหล่านี้ใช้ ‘เงิน’ ในปริมาณสูงกว่าสินแร่โลหะอื่นหลายเท่า ทำให้ความต้องการเติบโตเฉลี่ยปีละ 10–20% ขณะที่ฝั่งอุปทานกลับผลิตเพิ่มได้เพียง 1% ต่อปี ส่งผลให้ตลาดเงินเข้าสู่ภาวะ ขาดดุลเชิงโครงสร้าง ตั้งแต่ปี 2021 และยังคงต่อเนื่องไปถึงปี 2026

“หุ้นเหมืองเงินเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวทั้งอัตรากำไรและกำไรต่อหุ้น ขณะที่ Forward P/E ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนให้เห็นว่าตลาดยังไม่ได้สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของรอบวัฏจักรเงินในครั้งนี้” นายคมสันกล่าว

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มนี้ยังไม่สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงคือ โครงสร้างอุตสาหกรรมที่ถูกประเมินต่ำกว่ามูลค่ามาอย่างยาวนาน เนื่องจากเหมืองเงิน “บริสุทธิ์” ทั่วโลกมีไม่ถึง 20% ส่วนใหญ่เป็นผลพลอยได้จากการทำเหมืองทองแดง ตะกั่ว และสังกะสี ทำให้ตลาดมักไม่ให้น้ำหนักเต็มที่แม้ราคาเงินจะทำจุดสูงสุดใหม่ก็ตาม

นายคมสันกล่าวเสริมว่า “การเปิดตัวกองทุน A-RING และ A-SLVP เป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ลงทุนเข้าถึงธีมเหมืองแทองคำและเงินที่กำลังก้าวเข้าสู่วัฏจักรเติบโตครั้งใหม่ จากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค ความต้องการที่เพิ่มขึ้น ขณะที่อุปทานของทองคำและเงินยังคงตึงตัว ซึ่งล้วนเป็นแรงหนุนสำคัญต่อการเติบโตของหุ้นกลุ่มเหมืองทองคำและเงินในระยะข้างหน้า”

บลจ.แอสเซท พลัส เสนอขาย2 กองทุนใหม่ ได้แก่ 1. กองทุนเปิดเอแทรคเกอร์ส โกลบอล ไมเนอร์ส อิควิตี้ ( A-RING) เป็นกองทุน Passive Fund ลงทุนผ่าน iShare MSCI Global Gold Miners ETF (RING) โดยจะคัดเลือกบริษัทอย่างน้อย 30 แห่ง ในทั้งตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ ที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวข้องกับเหมืองทองคำ กองทุนนี้จะมุ่งสร้างผลตอบแทนโดยล้อไปกับดัชนี MSCI ACWI Select Gold Miners Investable Market Index (IMI) 2. กองทุนเปิด เอแทรคเกอร์ส ซิลเวอร์ ไมเนอร์ส อิควิตี้ (A-SLVP) เป็นกองทุน Passive Fund ลงทุนผ่าน iShare MSCI Global Silver and Metals Miners ETF (SLVP) โดยจะคัดเลือกหุ้นทั่วโลกของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจหลักเกี่ยวกับการสำรวจ การทำเหมือง หรือการผลิตโลหะเงินและโลหะมีค่าอื่นๆ และกองทุนมีเป้าหมาย มุ่งสร้างผลตอบแทนโดยล้อไปกับของดัชนี MSCI ACWI Select Silver Miners Investable Market Index (IMI) ซึ่งทั้ง 2 กองทุน มีกำหนดเสนอขายครั้งแรก (IPO) 21 – 27 พฤศจิกายน 2568 นี้