สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 19 พฤศจิกายน 2568 )------หุ้นไทย underperform หุ้นอื่นในภูมิภาค YTD มองการปรับเพิ่มประมาณการกำไรและเงินทุนต่างชาติไหลเข้าจะช่วยขับเคลื่อนหุ้นไทย คงเป้าดัชนี SET สิ้นปี 69 ที่ 1,400 จุด
ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ในไตรมาส 3/68 บริษัทจดทะเบียนที่ฝ่ายวิเคราะห์ฯศึกษาทำกำไรสุทธิรวม 196,053 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% yoy แต่ลดลง 29% qoq โดยกลุ่มที่กำไรสุทธิเติบโตแข็งแกร่งสุด yoy ได้แก่ กลุ่มโรงแรม, กลุ่มก่อสร้าง, กลุ่มโทรคมนาคม และกลุ่มปิโตรเคมี ส่วนกลุ่มที่มีกำไรสุทธิเติบโตสูงสุด qoq คือ กลุ่มเทคโนโลยี, กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มเกษตร ในทางกลับกันกลุ่มที่กำไรสุทธิเติบโตต่ำสุด yoy ได้แก่ กลุ่มขนส่ง, กลุ่ม REIT และกลุ่มอาหาร ขณะที่กลุ่มที่มีกำไรสุทธิเติบโตต่ำสุด qoq คือ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง, กลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มสาธารณูปโภค
ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนที่ฝ่ายวิเคราะห์ฯศึกษา มีกำไรในไตรมาส 3/68 สูงกว่าคาด 32%, ต่ำกว่าคาด 13% และสอดคล้องกับประมาณการ 55% เทียบกับไตรมาส 2/68 มีกำไรสูงกว่าคาด 24%, ต่ำกว่าคาด 20% และสอดคล้องกับประมาณการ 56% โดยกลุ่มที่ผลประกอบการดีกว่าคาดได้แก่ กลุ่มธนาคาร, กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มเทคโนโลยี ส่วนกลุ่มที่ผลประกอบการอ่อนตัวกว่าคาดคือ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค, กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มขนส่ง และกลุ่มสาธารณูปโภค ทั้งนี้งวด 9 เดือนปีนี้ บริษัทที่ฝ่ายวิเคราะห์ฯศึกษามีกำไรสุทธิเติบโต 31% yoy
ฝ่ายวิเคราะห์ฯ ระบุว่า หลังบริษัทจดทะเบียนประกาศงบการเงินไตรมาส 3/68 ได้ปรับประมาณการ EPS ของตลาดลง 0.7% เป็น 81.8 บาทในปี 68 แต่ยังคงประมาณการที่ 88.7 บาทในปี 69 เท่ากับคาดว่า EPS ของตลาดหุ้นไทยในปี 68 จะเติบโต 10% yoy และในปี 69 จะเติบโต 8% เทียบกับที่ลบ 3% yoy ในปี 67 ที่ผ่านมา
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI เชื่อว่าการที่ GDP ไทยขยายตัวเพียง 1.2% yoy ในไตรมาส 3/68 และเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวในปี 69 ทำให้มีโอกาสค่อนข้างสูงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bp เป็น 1.25% ในการประชุมวันที่ 17 ธ.ค.68 และอาจปรับลดอีกสองครั้งในปี 69 มาอยู่ที่ 0.75% ซึ่งเชื่อว่ากลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากการปรับลดดอกเบี้ยมากที่สุด นอกจากนี้ รัฐบาลอาจมีมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับการจับจ่ายซื้อสินค้าช่วงเทศกาล มองว่าจะส่งผลดีต่อกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
ส่วนนโยบายซื้อหนี้เสีย (NPL) วงเงินต่ำจากธนาคารและผู้ให้บริการสินเชื่อจะเป็นผลดีต่อทั้งสองกลุ่มนี้ ขณะเดียวกันเชื่อว่าบริษัทโทรคมนาคมและโรงพยาบาลขนาดใหญ่ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง เพราะ ผู้ประกอบการยังสามารถทำกำไรแม้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะชะลอตัว ดังนั้น จึงเลือกหุ้น ADVANC, BCPG, BDMS, CPN, MINT, MTC, PR9, SCB และ TRUE เป็นหุ้น Top pick
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI คงเป้าดัชนี SET สิ้นปี 69 อยู่ที่ 1,400 จุด โดยปัจจุบัน SET ซื้อขายอยู่ที่ P/E 15.5 เท่าในปี 69 แต่หากไม่รวม DELTA ดัชนี SET จะซื้อขายอยู่ที่ P/E 11.8 เท่าในปี 69 หรือประมาณ -1.5SD จากค่าเฉลี่ย 10 ปี และเนื่องจากตลาดหุ้นไทย underperform ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ YTD จึงเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังมีการประเมินมูลค่าน่าสนใจ ทั้งนี้จากภูมิทัศน์ทางการเมืองที่ชัดเจนขึ้น, อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาเพิ่มเติม รวมทั้งเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ น่าจะช่วยกระตุ้นการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย
ขณะที่ downside risk อาจมาจากการที่สหรัฐฯจะปรับขึ้นภาษีนำเข้า หลังไทยระงับปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพกับกัมพูชา, การปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชา, การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (sovereign rating) และเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว เช่น น้ำท่วมใหญ่