Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

วิจัยกรุงศรี เศรษฐกิจไทย ไตรมาส 3 หดตัวเทียบกับไตรมาสก่อนเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี แต่อาจหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยทางเทคนิคในไตรมาสสุดท้ายของปี

98

 


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(18 พฤศจิกายน 2568)---------เศรษฐกิจโลก

ทรัมป์สั่งยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารหลายรายการหวังลดค่าครองชีพ ด้านเศรษฐกิจจีนอ่อนแรงลงต่อเนื่อง


ความกังวลต่อเงินเฟ้อที่ยังสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด ลดทอนโอกาสลดดอกเบี้ยนโยบาย สภาผู้แทนราษฎรมีมติ 222 ต่อ 209 เสียง ผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อยุติภาวะชัตดาวน์จนถึงวันที่ 30 มกราคม 2569 โดยพรรครีพับลิกันให้คำมั่นว่าจะมีการพิจารณาร่างกฎหมายด้านสุขภาพที่พรรคเดโมแครตต้องการต่ออายุในภายหลัง

แม้ว่าสภาคองเกรสสามารถบรรลุข้อตกลงงบประมาณและช่วยให้หน่วยงานราชการกลับมาเปิดทำการได้ แต่เป็นเพียงการจัดสรรงบชั่วคราวเพื่อให้รัฐบาลทำงานได้จนถึงสิ้นเดือนมกราคม ท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังคงมีอยู่ อาจนำไปสู่ Government Shutdown ได้อีกครั้งในช่วงต้นปีหน้า ขณะเดียวกันข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เช่น อัตราเงินเฟ้อ การจ้างงาน รวมถึงยอดค้าปลีก ที่จะทยอยรายงานหลังการเปิดหน่วยงานราชการ จะช่วยให้การประเมินทิศทางเศรษฐกิจและนโยบายการเงินชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาทิศทางเงินเฟ้อหลังทรัมป์สั่งยกเว้นภาษีนำเข้าให้กับสินค้าเกษตรและอาหารหลายรายการ เช่น กาแฟ โกโก้ กล้วย และเนื้อวัว เพื่อบรรเทาค่าครองชีพ ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันอยู่ที่ 3% ซึ่งยังสูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2% เป็นปัจจัยที่ลดทอนความเป็นไปได้ในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้า

 


โมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้น อาจส่งผลให้ ECB คงดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง ในเดือนพฤศจิกายน ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ (ZEW) เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 25.0 จากเดือนก่อนหน้าที่ 22.7 ขณะที่ GDP ไตรมาส 3/2568 ขยายตัว 1.4% YoY สูงกว่าคาดการณ์ของตลาดที่ 1.3% ส่วนดุลการค้าเดือนกันยายนขยายตัวมากสู่ระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกสินค้าเคมีภัณฑ์ เวชภัณฑ์ และเครื่องจักร ที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนยังมีแนวโน้มเติบโตในระดับต่ำ แต่คาดว่าโมเมนตัมจะเริ่มเป็นบวกมากขึ้นในปีหน้าจาก

(i) แรงหนุนผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของเยอรมนี (ii) การลดลงของดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาและการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างที่จะช่วยหนุนการบริโภค และ (iii) ภาคบริการที่ยังโตดี สำหรับภาคการผลิตและส่งออกคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ แต่ผลกระทบอาจน้อยกว่าหลายประเทศเนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าที่เก็บจากยุโรปอยู่ที่ 15% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้ วิจัยกรุงศรีประเมินว่า ECB จะยังคงอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องท่ามกลางสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อที่เคลื่อนไหวใกล้ระดับเป้าหมายที่ 2%


ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญของจีนอ่อนแรงลง โดยการเติบโตของยอดค้าปลีกสินค้าชะลอลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 เหลือเพียง 2.9 % YoY ในเดือนตุลาคม ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวต่ำสุดในรอบ 1 ปีที่ 4.9% และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรหดตัวเร่งขึ้นจาก -0.5% ในช่วง 9 เดือนแรกเป็น -1.7% ในช่วง 10 เดือนแรก ขณะที่ราคาบ้านใหม่และบ้านมือสองในเดือนตุลาคมยังหดตัวต่อเนื่องที่ -2.6% และ -5.4% ตามลำดับ ส่วนยอดสินเชื่อใหม่ภาคครัวเรือนพลิกกลับมาลดลงอีกครั้งที่ -360.4 พันล้านหยวนในเดือนตุลาคมจากที่เคยเพิ่มขึ้น 389 พันล้านหยวนในเดือนกันยายน

เครื่องชี้ทางเศรษฐกิจล่าสุดส่งสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น แม้ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากวันหยุดยาว แต่การชะลอตัวสะท้อนถึงความเปราะบางของพื้นฐานเศรษฐกิจแม้จะมีมาตรการกระตุ้น เช่น การอุดหนุนการแลกซื้อสินค้าใหม่ และการอุดหนุนดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อการบริโภค ขณะที่การฟื้นตัวของตลาดหุ้นในระยะนี้ (ดัชนี CSI 300 เพิ่มขึ้น 19% นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน) ยังไม่เพียงพอต่อการชดเชยความมั่งคั่งของผู้บริโภคที่ลดลงอย่างมากจากวิกฤตในภาคอสังหาฯ ผู้บริโภคจึงยังคงระมัดระวังในการใช้จ่าย ภายใต้สถานการณ์ที่การบริโภค การลงทุน และการส่งออกอ่อนแรงลง จีนจึงมีความจำเป็นมากขึ้นในการออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมเพื่อประคองการเติบโตทางเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงที่ผ่านมา

 

เศรษฐกิจไทย

เศรษฐกิจไตรมาส 3 หดตัวเทียบกับไตรมาสก่อนเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี แต่อาจหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยทางเทคนิคในไตรมาสสุดท้ายของปี

GDP ไตรมาส 3 ปี 2568 ต่ำกว่าคาดที่ 1.2% YoY และ -0.6% QoQ ทั้งปีวิจัยกรุงศรียังคงประมาณการไว้ที่ 2.1% สภาพัฒน์ฯ รายงานเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ขยายตัวเพียง 1.2% ต่ำกว่าที่วิจัยกรุงศรีและตลาดคาดไว้ที่ 1.4% และ 1.6% ตามลำดับ โดยชะลอลงจาก 2.8% ในไตรมาส 2 เนื่องจากแรงขับเคลื่อนอ่อนแรงลงหลายด้าน นำโดย (i) การหดตัวของการส่งออกภาคบริการ (-10.7%) (ii) การชะลอตัวของการส่งออกสินค้า (+10.8% vs +14.3% ในไตรมาส 2) และ (iii) การหดตัวของการลงทุนและการบริโภคภาครัฐ (–5.3% และ -3.9% ตามลำดับ) จากการลดลงของภาคก่อสร้างและความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณ สำหรับการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัว (+2.6%) แต่การใช้จ่ายด้านบริการเติบโตช้าลงตามภาวะท่องเที่ยวที่อ่อนแอและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง ส่วนการลงทุนภาคเอกชนทรงตัวที่ +4.2% แม้การลงทุนด้านก่อสร้างหดตัว ล่าสุดสภาพัฒน์ฯ คงคาดการณ์ GDP ปีนี้ขยายตัวที่ 2.0% และคาดการณ์ปี 2569 เติบโตที่ 1.2-2.2% (ค่ากลางที่ 1.7%)

ตัวเลข GDP ในไตรมาส 3 ออกมาต่ำกว่าคาด โดยมีสาเหตุหลักจาก (i) การบริโภคภาครัฐและการลงทุนภาครัฐที่อ่อนแรงลง ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสดังกล่าว (ii) การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่ช้ากว่าประเมิน และ (iii) ปัจจัยชั่วคราว อาทิ การปิดโรงกลั่นเพื่อซ่อมบำรุง และการปิดโรงงานบางแห่งชั่วคราวเพื่อย้ายฐานการผลิต สำหรับในระยะข้างหน้า แรงกดดันจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนสิงหาคมจะเริ่มส่งผลต่อภาคการผลิตและการค้า แต่คาดว่าในไตรมาส 4 ปัจจัยบวกจากทิศทางการเมืองที่ชัดเจนขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งพลัสและมาตรการเที่ยวดีมีคืน รวมถึงการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและกิจกรรมภาคบริการให้ปรับดีขึ้น หนุนให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) และจะช่วยให้หลีกเลี่ยงภาวะถดถอยทางเทคนิคได้ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรียังคงประมาณการอัตราการเติบโตเศรษฐกิจไทยตลอดทั้งปี 2568 ที่ 2.1%

 

ทางการเปิดตัวโครงการปิดหนี้ไว ไปต่อได้ ช่วยแก้หนี้รายย่อย ขณะที่รายได้ที่เติบโตต่ำนับเป็นโจทย์ใหญ่ของหนี้ครัวเรือน กระทรวงการคลัง ธปท. และสถาบันการเงินร่วมกันเปิดตัวโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company: AMC) ภายใต้ชื่อ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” โดยมุ่งเป้าหนี้เสียไม่มีหลักประกันที่เป็น NPL โดยมียอดสินเชื่อไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 ซึ่งในระยะแรกจะครอบคลุมลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์และบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์จำนวนประมาณ 1.6 ล้านบัญชี หรือ 1.2 ล้านราย ภาระหนี้รวม 43,600 ล้านบาท โดยบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) จะรับซื้อหนี้ของลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายข้างต้น เพื่อนำมาปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรนเพื่อให้ลูกหนี้กลับมาจ่ายชำระหนี้ได้

แม้โครงการดังกล่าวจะช่วยบรรเทาภาระของลูกหนี้รายย่อยได้ แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างจากรายได้ที่เติบโตช้ายังเป็นโจทย์ใหญ่ของหนี้ครัวเรือนที่รอการแก้ไข โดยผลสำรวจข้อมูลรายได้และรายจ่ายของครัวเรือนของสำนักงานสถิติแห่งชาติล่าสุดในช่วงปี 2564–2566 ชี้ว่ารายได้เฉลี่ยของครัวเรือนเพิ่มขึ้นเพียงปีละราว 1,806 บาท ใกล้เคียงกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นปีละ 1,803 บาท ส่งผลให้ครัวเรือนแทบไม่มีรายได้ส่วนเกินสำหรับการออมหรือชำระหนี้อย่างยั่งยืน กลุ่มที่น่ากังวลคือครัวเรือนรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งมีมากกว่า 69% ของประเทศ โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน ที่ทั้งรายได้และรายจ่ายลดลง สะท้อนกำลังซื้อที่หดตัวและความสามารถในการจ่ายหนี้ที่ลดลง ในระยะต่อไปการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนจึงต้องอาศัยการยกระดับรายได้และผลิตภาพของแรงงานควบคู่กันไป

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

เสมอตัว By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ หุ้นไทยภาคเช้าที่ผ่านมา ร่วงกว่า 10 จุด ขณะที่วานนี้ปิดบวกกว่า 10 จุดก็ถือว่าเจ๊ากัน ...

ไม่กระตุ้นไม่ขยาย By : นายกล้วยหอม

นายกล้วยหอม เห็นข่าวสภาพัฒน์ฯ เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจไทย ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ชะลอตัวมาก โดยขยายตัวได้พียง 1.2 % .....

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : NKT เปิดโรงพยาบาลนครธน2เดือนธันวาคมนี้ เติมรายได้

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : NKT เปิดโรงพยาบาลนครธน2เดือนธันวาคมนี้ เติมรายได้

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้