Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

KTIS ปลื้มโครงการ VIVE Impact ปีแรก ลดก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 37% พร้อมเดินหน้าต่อปีที่ 2 และ 3 ตอกย้ำแนวทางสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

96

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (13 พฤศจิกายน 2568 )-----กลุ่ม KTIS เผยความสำเร็จของโครงการ VIVE Impact ปีแรก หลังร่วมมือกับ Suntory Holdings Limited และ VIVE ในการพัฒนาแนวทางเกษตรเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture: RA) เพื่อยกระดับความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานอ้อยในเชิงพาณิชย์ พบว่าสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญกว่า 37% และความเข้มข้นของการปล่อย (emissions intensity) ลดลง 40% ในแปลงทดลอง พร้อมขับเคลื่อนโครงการต่อเนื่องในปีที่ 2 และ 3


นายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS (เคทิส) ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร สู่ BCG อย่างยั่งยืน เปิดเผยว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับผลสำเร็จในปีแรกของความร่วมมือกับ Suntory Holdings Limited และ VIVE ในการทดลองภาคสนามตามหลักการของการเกษตรเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture: RA) โดยมีเป้าหมายเพื่อวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการปลูกอ้อยด้วยแนวทาง RA เทียบกับวิธีการเกษตรแบบดั้งเดิม ซึ่งโครงการนี้เป็นแนวทางแบบองค์รวมในการทำความเข้าใจและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการปลูกอ้อย และจะช่วยกำหนดแนวทางสำหรับการขยาย RA ในเชิงพาณิชย์ในห่วงโซ่อุปทาน

"นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการผลิตน้ำตาลทรายของไทยสู่ความยั่งยืน และกลุ่ม KTIS ก็มุ่งมั่นที่จะนำแนวทางเกษตรเชิงฟื้นฟูมาใช้จริงในกระบวนการผลิตทั้งห่วงโซ่อุปทาน" นายประพันธ์กล่าว

 

ทั้งนี้ ผลการทดลองภาคสนามในปีแรกชี้ว่า แนวทาง RA ช่วยรักษาสุขภาพดินได้ดีกว่าเกษตรแบบดั้งเดิม ที่โดยปกติปริมาณอินทรียวัตถุในดิน (SOM) จะลดลง แต่แปลงทดลองพบว่า สามารถรักษาระดับ SOM ได้สูงกว่า อีกทั้งธาตุอาหารในดิน เช่น แมกนีเซียมและฟอสฟอรัส มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สะท้อนคุณภาพดินที่ดีขึ้นอีกด้วย

 

ด้านผลการลดก๊าซเรือนกระจก จากพื้นที่ที่น้ำท่วมขังพบว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง 37% และความเข้มข้นของการปล่อย (emissions intensity) ลดลงถึง 40% ในแปลงทดลองเมื่อเทียบกับแปลงควบคุม โดยแหล่งปล่อยหลักมาจากการใช้ปุ๋ยเคมี เชื้อเพลิงในฟาร์ม และเศษพืชเหลือทิ้ง ซึ่งหากมีการจัดการที่แม่นยำขึ้น จะช่วยลดการปล่อยได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต

 

อย่างไรก็ตาม การขยายการใช้ RA ในเชิงพาณิชย์ยังต้องพิจารณาความสมดุลระหว่างต้นทุนและสิ่งแวดล้อม โดยแปลงทดลองมีต้นทุนสูงกว่า แต่ช่วยลดคาร์บอนได้มากกว่า ขณะที่แปลงควบคุมมีต้นทุนต่ำกว่าแต่ปล่อยก๊าซมากกว่า ซึ่งทั้ง 3 ฝ่าย จะร่วมกันเดินหน้าโครงการต่อเนื่องในปีที่ 2 และ 3 เพื่อให้ได้ข้อมูลมาสนับสนุนการวิเคราะห์นี้ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และสร้างกรอบแนวทางที่สมจริงมากขึ้นสำหรับการประเมินต้นทุนและคาร์บอนจากการนำ RA มาใช้ในการปลูกอ้อยในวงกว้าง

 

ขณะที่ Mr. Ben French ผู้อำนวยการร่วมของ VIVE ย้ำว่า การเกษตรเชิงฟื้นฟูเป็นพันธสัญญาระยะยาวที่ต้องอาศัยข้อมูล ความอดทน และการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมชี้ว่าการทำงานร่วมกันของพันธมิตรจะช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ในการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมเกษตรโลก

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

จับตา By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เช้าที่ผ่านมาหุ้นไทย รีบาวน์เล็กน้อย บนปัจจัยแวดล้อมที่ต้องจับตา ทั้งการปิดหน่วยงานของรัฐบาล.

อารมณ์แห่งความผิดหวัง By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง เห็นอารมณ์แห่งความผิดหวังของนักลงทุน แสดงออกด้วยการขายหุ้น ปรับพอร์ต ถือเงินสด หลังจาก บริษัท...

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้