หุ้น VALUE ยังน่าสนใจต่อ

HORIZON MARKET VIEW
•วานนี้ ดัชนี DOW JONES ขยับขึ้นต่อเนื่องราว +0.7% ทำ ALL TIME HIGHท่ามกลางความคาดหวังประเด็นทางการเมืองผ่อนคลาย ขณะที่สภาผู้แทนฯ เตรียมยุติการปิดหน่วยงานรัฐบาลครั้งประวัติศาสตร์ โดยมีกำหนดประชุมในวันที่ 12 พ.ย.2025 ก่อนส่งร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวไปยัง ทรัมป์ เพื่อให้ลงนามบังคับใช้
• จากสถิติในอดีตนับตั้งแต่ปี 1976 (เกิด SHUTDOWN มาแล้วราว 20 ครั้ง) หลังการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯสิ้นสุดลง ผลตอบแทนตลาดหุ้น S&P500 มักปรับขึ้นเฉลี่ย +1.2% ใน 1 เดือน และ +2.9% ใน 3 เดือนถัดมา
• ด้าน BOND YIELD 10Y สหรัฐฯ ร่วงลงใกล้หลุด 4.0% มองเป็นสัญญาณสะท้อนความคาดหวังในการปรับลดดอกเบี้ยของ FED รอบการประชุม ธ.ค. 2025 เพื่อต่อสู้กับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลง

REGION RADAR
•ฤดูกาลประกาศงบใกล้จบ โดยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการรายงานกำไร 1Q68 ไปแล้วราว 83% (2,588 บริษัท จากทั้งหมด3,107 บริษัท) ซึ่งเป็น POSITIVE EARNING SURPRISE ราว 3.6%โดยมีหลายบริษัทที่ผลประกอบการเริ่มพลิกกลับมามีกำไรเป็นปีแรกหลังจากที่บริษัทขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง
• ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำ หุ้นงบ 3Q68 ดีกว่าคาด และมี OUTLOOK ที่ดีต่อเนื่อง เลือก ONON US (ONON03), EL US (ESTEE80) ราคาเริ่มฟื้นจากแนวรับ

THAI FOCUS
• ตัวเลขนักท่องเที่ยวรายสัปดาห์ ดีขึ้น %WOW โดยปัจจัยหนุน คือฤดูกาลท่องเที่ยว (HIGH-SEASON), มาตรการอำนวยความสะดวกจากรัฐบาล เช่น การยกเว้นบัตร ตม.6 และการกระตุ้นเที่ยวบินเพิ่มขึ้น
• แต่ปัจจัยน้ำท่วม คือ สิ่งที่ต้องกังวล และอาจกดดันต่อ GDP โดยเปรียบเทียบน้ำท่วมใหญ่ปี 54 ทำให้ GDP ไทยแทบ “หยุดโต” อยู่ที่เพียง +0.8%YOY(ทั้งปี 54) จากปกติที่ควรโต 4 –5%YOY สร้างความเสียหายราว 1.4 ล้านล้านบาท (13% ของ GDP)

SYNAPSE STRATEGY
• เม็ดเงินสลับมาที่หุ้น VALUE กลุ่ม MATERIALS, HEALTHCARE,FINANCIAL เด่น หนุน DOW JONES +0.7% ทำจุดสูงสุดใหม่ ส่วนตลาดหุ้น NASDAQ ย่อตัวเล็กน้อย -0.3%
• ในมุมตลาดหุ้นไทย ความกังวลผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และนักท่องเที่ยวช่วงที่เหลือของปี หลังงานรื่นเริงลดลง พิพาทกัมพูชาร้อนแรงขึ้น พร้อมกังวลน้ำท่วมมากขึ้น ส่งผลให้ต่างชาติขายหุ้นไทยมา 5 วันติด 8.4 พันล้านบาท หุ้นเด่น ชอบ BDMS, CPF, BEM

ORIZON MARKET VIEW
เริ่มกลับมาให้น้ำหนักกับทิศทางดอกเบี้ย
วานนี้ดัชนี DOW JONES ขยับขึ้นต่อเนื่องราว +0.7% ทำ ALL TIME HIGH ท่ามกลางความคาดหวังประเด็นทางการเมืองผ่อนคลาย ขณะที่สภาผู้แทนฯ เตรียมยุติการปิดหน่วยงานรัฐบาลครั้งประวัติศาสตร์ โดยมีกำหนดประชุมในวันที่ 12 พ.ย. 2025 ก่อนส่งร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวไปยัง ปธน. ทรัมป์ เพื่อให้ลงนามบังคับใช้จากสถิติในอดีตนับตั้งแต่ปี 1976 (เกิด SHUTDOWN มาแล้วราว20 ครั้ง) หลังการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯสิ้นสุดลง ผลตอบแทนตลาดหุ้น S&P500 มักปรับขึ้นเฉลี่ย +1.2% ใน 1 เดือน และ +2.9% ใน 3 เดือนถัดมา

ด้าน BOND YIELD 10Y สหรัฐฯ ร่วงลงใกล้หลุด 4.0% มองเป็นสัญญาณสะท้อนความคาดหวังในการปรับลดดอกเบี้ยของ FED รอบการประชุม ธ.ค. 2025เพื่อต่อสู้กับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงจากการเกิด SHUTDOWN ยาวนานกว่าปกติ ทั้งนี้ BLOOMBERG ประเมินว่าการปิดครั้งนี้จะทำให้ GDP 4Q2025ลดลงราว 1.3%โดย 4Q2025 คาด GDP โตเพียง 0.5% (จากเดิมคาด 1.8%) ส่วน 1Q2026 คาด GDP โต 2.5%ฟื้นตัวกลับสู่แนวโน้มเดิม

EGION RADAR
ฤดูกาลประกาศงบใกล้จบ ขอแอบซบหุ้น TURNAROUND
ฤดูกาลประกาศงบใกล้จบ โดยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการรายงานกำไร 1Q68 ไปแล้วราว 83%(2,588 บริษัท จากทั้งหมด 3,107 บริษัท) ซึ่งเป็น POSITIVE EARNING SURPRISE ราว 3.6% โดยมีหลายบริษัทที่ผลประกอบการเริ่มพลิกกลับมามีกำไรเป็นปีแรกหลังจากที่บริษัทขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายวิจัยฯแนะนำ เก็งกำไร หุ้นงบ 3Q68 ดีกว่าคาด และมีOUTLOOK ที่ดีต่อเนื่อง เลือก ONON US (ONON03), EL US(ESTEE80)

ONON US (ONON03)
ON HOLDING รายงานกำไร 3Q68 ดีกว่าคาด โดย มีกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ 0.36 CHF สูงกว่านักวิเคราะห์คาดที่ 0.27 CHF มีแรงส่งจากรายได้ 794.4 ล้าน CHF ดีกว่า คาดที่ 763.8 ล้าน CHF โดยเพิ่มขึ้น 24.9% จากปีก่อนหนุนจากยอดขายทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ นำโดยรองเท้า ผลิตภัณฑ์หลักคิดเป็นสัดส่วนยอดขาย 92% มียอดขายเพิ่ม 21% YOY หากพิจารณาการเติบโตตามภูมิภาค พบว่ามาจากเอเซีย-แปซิฟิค (สัดส่วน 18%) โดดเด่น 94%YOY สะท้อนถึงแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับมากขึ้น ในภูมิภาคนี้ตามด้วย ยุโรป/ตะวันออกกลาง/แอฟริกา (สัดส่วน27%) และ อเมริกา (สัดส่วน 55%) บวก 28.6% และ 10.3% YOY ตามลำดับ บริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ปี 2568โดยคาดยอดขายในอัตราสกุลเงินคงที่ เติบโต 34% (เพิ่มจากเดิมที่ระดับ 31%) อยู่ที่ 2.98 พันล้าน CHF และEBITDA MARGIN เพิ่มเป็น 18% จากเดิม 17-17.5% อ้างอิงข้อมูลจาก BLOOMBERG แนะนำ “ซื้อ” มีราคาเป้าหมายเฉลี่ย 60.78 USD ยังมี UPSIDE 46% จากราคาปัจจุบัน

EL US (ESTEE80)
ESTEE LAUDER เป็นอีกบริษัทที่ปี 2026 จะเป็นปีแห่งการ TURNAROUND ของบริษัทจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาผลประกอบการของ ESTEE ชะลอตัวลงต่อเนื่องจากยอดขายในจีนที่หดตัวลง อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในจีนครั้งใหญ่ และรายได้จากจีนเริ่มกลับมาเติบโตได้ในรอบกว่า 2 ปี โดยผลประกอบการไตรมาส 3 โดยรายได้รวมอยู่ที่ $3.48 พันล้าน +3% YOY (สูงกว่าคาด 2.7%) ขณะที่ EPS อยู่ที่$0.32 +128% YOY (สูงกว่าคาด 71%) โดยหนุนจากธุรกิจน้ำหอมที่เติบโตค่อนข้างดี นำโดย JO MALONE และยอดขายในจีน +9% YOY ซึ่งกลับมาเติบโตครั้งแรกในรอบ 2 ปี ด้าน OUTLOOK ของปีบัญชี 2026 ผู้บริหารยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ที่ระดับ 0%-3% YOY และ EPS อยู่ที่ $1.9-$2.1

THAI FOCUS
ตัวเลขนักท่องเที่ยวชะลอลง YOY แต่ดีขึ้น WOW โดยมีปัจจัยน้ำท่วมเป็นสำคัญ
กระทรวงท่องเที่ยว อัปเดตสถานการณ์จำนวนนักท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-9 พ.ย.68 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยราว 27.59 ล้านคน ซึ่งลดลงราว 7.14%YOY และสร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ประมาณ 1.275 ล้านล้านบาท แต่หากพิจารณาในสัปดาห์ล่าสุด (3–9 พ.ย. 2568) มีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมประมาณ 698,389 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 8.42% เฉลี่ยวันละ 99,770 คน ซึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุน ได้แก่ ภาวะฤดูกาลท่องเที่ยวที่เข้ามา (HIGH-SEASON), มาตรการอำนวยความสะดวกจากรัฐบาล เช่นการยกเว้นบัตร ตม.6 และการกระตุ้นเที่ยวบินเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีดังนั้น แม้ภาพรวมปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังไม่กลับขึ้นเท่ากับปีพีค(2019) แต่มีสัญญาณดีในช่วง HIGH-SEASON และตลาดหลายชาติ โดยเฉพาะมาเลเซีย จีน อินเดีย เริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นชัดเจน YOY ซึ่งน่าจะเป็นตัวพยุง GDP ไทยได้ระดับหนึ่ง(ภาคท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วน 12% ของ GDP)

ส่วนปัจจัยอย่างน้ำท่วมเป็นอีก 1 สิ่งที่ต้องกังวล และอาจกดดันต่อ GDP ภาพรวมทั้งการบริโภค การลงทุนรวมถึงภาคส่วนท่องเที่ยว โดยน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ทำให้ GDP ไทยแทบ “หยุดโต” อยู่ที่เพียง +0.8%YOY(ทั้งปี2554) จากปกติที่ควรโต 4 –5%YOY สร้างความเสียหายราว 1.4 ล้านล้านบาท (13% ของ GDP) และหลังจากนั้นรัฐบาลตั้งงบประมาณฟื้นฟู ประมาณ 350,000 ล้านบาท เพื่อซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ

ข้อมูลล่าสุดจากกรมชลประทานระบุว่า ระดับน้ำในเขื่อนหลักของประเทศหลายแห่งอยู่ในเกณฑ์วิกฤต ล่าสุดเขื่อนใหญ่หลายแห่งโดยเฉพาะ ภูมิพลและสิริกิติ์ มีน้ำเกือบเต็มความจุ (เกิน 97%) ส่งสัญญาณให้ต้องเร่งบริหารจัดการน้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการล้นเขื่อนและลดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ ขณะเดียวกันยังต้องจับตาฝนปลายฤดูซึ่งอาจเพิ่มปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนอีก หากการระบายน้ำดำเนินไปพร้อมกับฝนตกเพิ่ม มีความเสี่ยงที่หลายพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางตอนล่างจะเผชิญภาวะน้ำท่วมในระยะสั้น ซึ่งต้องติดตามว่าความรุนแรงจะเกิดขึ้นวงกว้างและนานเพียงใด

SYNAPSE STRATEGY
นักลงทุนหมุมมาหุ้น VALUE เพิ่มขึ้น แต่ปัจจัยเฉพาะกดดันต่างชาติยังขายหุ้นไทยเม็ดเงินสลับมาที่หุ้น VALUE กลุ่ม MATERIALS, HEALTHCARE, FINANCIAL เด่น หนุน DOW JONES +0.7% ทำจุดสูงสุดใหม่ ส่วนตลาดหุ้น NASDAQ ย่อตัวเล็กน้อย -0.3%

ในมุมตลาดหุ้นไทย ความกังวลผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และนักท่องเที่ยวช่วงที่เหลือของปี หลังงานรื่นเริงลดลงพิพาทกัมพูชาร้อนแรงขึ้น พร้อมกังวลน้ำท่วมมากขึ้น ส่งผลให้ต่างชาติขายหุ้นไทยมา 5 วันติด 8.4 พันล้านบาทและยังมีโอกาสขายสุทธิต่อเนื่องได้ เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ยังไม่ชัดเจน

กลยุทธ์แนะนำถือเงินสดในพอร์ตเพิ่มขึ้น 20% - 30% สำหรับหุ้นเด่น เลือก
▪ BDMS นักลงทุนโน้มเอียงมาที่หุ้น HEALTHCARE ตามกระแสโลก
▪ CPF ราคาหมูทยอยปรับขึ้นกลับมาเกิน 60 บาท/กก. ได้แรงหนุนจากภาษีนำเข้าข้าวโพด 0% หนุนต้นทุนอาหารสัตว์ลง
▪ BEM ราคาหุ้นเริ่มฟื้น จากฐานต่ำ รับกระแสโครงการ คนละครึ่ง และมีต่อเนื่องในเฟส 2 อีก

Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์