Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย Stranded Assets สินทรัพย์สูญค่าในอนาคต อาจเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ของไทย และจำเป็นต้องเร่งแก้ไข

95


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(11 พฤศจิกายน 2568)----------สินทรัพย์สูญค่าในอนาคต
ในการประชุม COP30 ที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า คาดว่าประเทศไทยจะประกาศการเร่งเป้าหมาย Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี เป็นภายในปี 2593 อย่างเป็นทางการ

โดยประเด็นสำคัญคือ ภายในปี 2593 กระบวนการผลิตและเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอนจำนวนมากอาจจะกลายเป็นสินทรัพย์สูญค่าในอนาคต หรือ Stranded Assets สินทรัพย์สูญค่าในอนาคตหมายถึง การลงทุนที่ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจได้ตามที่คาดหวังไว้ อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ในการดำเนินธุรกิจ


ภาคพลังงาน ภาคขนส่ง และภาคการผลิต เป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลักของประเทศไทย คิดเป็นสัดส่วนถึง 70 - 80% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด และเป็นภาคส่วนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดสินทรัพย์สูญค่าในอนาคตด้วย


หากไม่มีมาตรการบรรเทาการด้อยค่าของสินทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ ประเทศไทยอาจเผชิญความเสี่ยงที่บริษัทต่าง ๆ จะต้องตัดมูลค่าสินทรัพย์ในงบดุล หรืออัตราส่วนวงเงินสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) อาจลดลงต่ำกว่าระดับที่ยอมรับได้ ซึ่งจะทำให้ภาคธุรกิจและภาคการเงินของไทยมีแนวโน้มเผชิญกับความเสี่ยงจากวิกฤตสินเชื่อ

แม้การประเมินผลกระทบทั้งหมดของประเทศไทยจากความเสี่ยงของสินทรัพย์สูญค่าในอนาคตจะเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับภาคพลังงาน Climate Finance Network Thailand ประเมินว่า กำลังการผลิตไฟฟ้ามูลค่าประมาณ 360–530 พันล้านบาท อาจกลายเป็นสินทรัพย์สูญค่าภายในปี 2593

ในภาคขนส่ง รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) มีสัดส่วนสูงถึง 98.8% จากจำนวนรถยนต์ทั้งหมด 20.2 ล้านคัน ซึ่งมีแนวโน้มสูญเสียมูลค่าหลังปี 2593

ขณะที่ภาคการผลิตมีความหลากหลายสูง แต่ยังคงพึ่งพาเตาเผาก๊าซเป็นจำนวนมาก (57% ของการใช้ LNG ใช้ในภาคการผลิต) กระบวนการที่ปล่อยคาร์บอนสูง (โดยเฉพาะการผลิตปูนซีเมนต์และเคมีภัณฑ์) และการใช้รถยนต์ ICE สำหรับงานโลจิสติกส์เป็นอย่างมาก


ภาคพลังงานจำเป็นต้องจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่
ภายใต้เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 โรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอาจไม่สามารถนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าได้ เนื่องจากมีการห้ามใช้ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติหลังปี 2593 ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ต้องปรับลดมูลค่ากระแสเงินสดในอนาคตที่คาดว่าจะได้รับ หากโรงไฟฟ้าฟอสซิลถูกปิดก่อนกำหนดหรือจำเป็นต้องหยุดเดินเครื่อง

แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับล่าสุดของประเทศไทย (PDP 2024) ระบุว่า ภายในปี 2580 การผลิตพลังงานไฟฟ้า 51% ของประเทศจะมาจากพลังงานหมุนเวียน และจะทยอยยุติการใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าภายในปี 2593

แต่ในแผน PDP 2024 ได้ระบุแนวทางการติดตั้งกำลังผลิตไฟฟ้าจากก๊าซใหม่รวม 6,300 เมกะวัตต์ จนถึงปี 2579 จากการที่อายุการใช้งานและระยะเวลาคืนทุนของโรงไฟฟ้ามักจะใช้เวลาหลายสิบปี ซึ่งทำให้คาดว่าจะยังมีโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลหลายแห่งดำเนินการผลิตไฟฟ้าอยู่หลังปี 2593

โรงไฟฟ้าเหล่านี้อาจประสบปัญหาในการสร้างรายได้ เนื่องจากข้อกำหนดเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินลดลง

รัฐบาลไทยอาจจำเป็นต้องปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า เพื่อปรับทิศทางการลงทุนให้ลดการพัฒนาโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และเพิ่มการลงทุนในโซลาร์ฟาร์ม โซลาร์ลอยน้ำ และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS)

ภาคขนส่งจำเป็นต้องเร่งดำเนินการใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าอย่างจริงจัง
ปัจจุบันประเทศไทยมีรถยนต์จดทะเบียนบนท้องถนนมากกว่า 20.2 ล้านคัน แม้ว่าการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) ในประเทศไทยจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่รถยนต์ไฟฟ้า 100% ยังมีสัดส่วนประมาณ 1.2% ของจำนวนรถยนต์ทั้งหมดในประเทศ

เมื่อเข้าใกล้ปี 2593 มูลค่าคงเหลือของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) มีแนวโน้มจะลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลให้ทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจต้องถือครองยานพาหนะที่ไม่สามารถใช้งานได้ หรือสามารถขายต่อได้เพียงในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าอย่างมาก

นั่นหมายความว่าการทดแทนรถยนต์จำนวน 20.2 ล้านคันของประเทศไทยจำเป็นต้องมีการซื้อรถยนต์ใหม่โดยเฉลี่ยปีละ 800,000 คัน ขณะที่ปัจจุบันประเทศไทยมียอดขายรถยนต์ใหม่ราว 600,000 คันต่อปี ซึ่งหมายความว่า แม้จะเปลี่ยนมาขายรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) ทั้งหมด ก็ยังไม่สามารถทดแทนสต็อกรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ได้ทันเวลา

ดังนั้นรัฐบาลไทยจำเป็นต้องออกนโยบายที่สร้างแรงจูงใจให้มีการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) มากขึ้น เช่น การขยายมาตรการภาษี “EV 3.5” ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ของ 30@30 ให้ครอบคลุมมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังต้องลดจำนวนรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) บนท้องถนน

ภาคการผลิตจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต
ปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคการผลิตส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมผลิตปูนซีเมนต์ เคมีภัณฑ์ และสารทดแทนที่ไม่ทำลายโอโซน

อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ได้ดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero โดยได้จัดทำแผน Net Zero Cement and Concrete Roadmap 2050 ขณะที่อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ของไทย มีผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าหมายบรรลุ Net Zero ภายในปี 2593 เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมเหล่านี้มักมีเครื่องจักรทุนขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานยาวนาน และพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในการดำเนินการจะต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น การใช้ไฮโดรเจนที่ผลิตจากแหล่งพลังงานสะอาด (Green Hydrogen) เป็นเชื้อเพลิง การใช้วัตถุดิบชีวภาพ (Bio-feedstock) และการใช้เตาหลอมไฟฟ้า (Electric Arc Furnace)

เนื่องจากเทคโนโลยีการผลิตและใช้ Green Hydrogen รวมถึงระบบไฟฟ้าสะอาดของไทยยังอยู่ในระยะตั้งไข่ การบรรลุเป้าหมาย Net Zero จึงขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับพลังงานสะอาด เช่น ระบบท่อส่ง ไฮโดรเจน และโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ที่สามารถเชื่อมต่อภาคการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จะรับมืออย่างไร? – การเปลี่ยนผ่านอย่างมีแบบแผน
สินทรัพย์และเทคโนโลยีบางประเภทอาจสูญเสียมูลค่าไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากนโยบาย Net Zero ฉบับใหม่ แต่ด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสมจะสามารถบรรเทาความเสี่ยงและลดผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ ทั้งนี้มี 2 แนวทางรับมือหลักมีอยู่ 2 ประการ ได้แก่ (1) เปลี่ยนแผนการลงทุนไปสู่เทคโนโลยีคาร์บอนต่ํา (Decarbonization Investment) และ (2) การปรับใช้หรือการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์เดิมในรูปแบบใหม่ (Repurpose)

1) การเปลี่ยนแผนลงทุนไปเทคโนโลยีคาร์บอนต่ํา (Decarbonization Investment)

แนวทางที่รอบคอบที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มจะกลายเป็นสินทรัพย์สูญค่าในอนาคต โดยมุ่งเปลี่ยนไปลงทุนในโซลูชันที่ปล่อยคาร์บอนต่ำหรือคาร์บอนเป็นศูนย์
ผู้กำหนดนโยบายสามารถออกกฎระเบียบที่ค่อย ๆ เข้มงวดขึ้น พร้อมกำหนดช่วงเวลาสิ้นสุดการใช้งานอย่างชัดเจนสำหรับสินทรัพย์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูง (Regulatory Sunset Clauses) ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยงให้ลดลงอย่างต่อเนื่องในระยะยาวแทนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน

แนวทางนี้เริ่มเห็นได้ชัดแล้วใน Thailand Taxonomy ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีข้อกำหนดวันที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจบางชนิด จะสิ้นสุดถือว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือในสหภาพยุโรปที่ห้ามจำหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปตั้งแต่ปี 2578 เป็นต้นไป

ตัวอย่างเช่น ถ้าภาครัฐประกาศล่วงหน้าว่าจะไม่อนุญาตให้จดทะเบียนรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในใหม่หลังปี 2578 ซึ่งช่วยสร้างความชัดเจนให้กับตลาด และเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีเวลาเพียงพอในการปรับตัวไปสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

2) การปรับใช้หรือการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์เดิมในรูปแบบใหม่ (Repurposing)

ในกรณีที่สินทรัพย์บางประเภทไม่สามารถทำหน้าที่ตามวัตถุประสงค์เดิมอีกต่อไป การปรับใช้หรือการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์เดิมในรูปแบบใหม่จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ตัวอย่างเช่น บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กำลังปรับโรงกลั่นน้ำมันแห่งหนึ่งให้สามารถรองรับการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับเชื้อเพลิงการบินยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel – SAF) นอกจากนี้ เมื่อมีการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน พื้นที่ดังกล่าวสามารถนำไปใช้เป็น สถานีเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (Battery Storage Facility) เพื่อใช้ประโยชน์จากโครงข่ายไฟฟ้าที่มีอยู่แล้ว

ผู้ถือสินทรัพย์จำเป็นต้องตระหนักว่าสินทรัพย์บางประเภทจะมีมูลค่าลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงควรพิจารณาตัดมูลค่าทรัพย์สินเหล่านั้นหรือเลือกลงทุนเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่

บทสรุป

โดยสรุปแล้วแม้วาการตัดสินใจของประเทศไทยในการเร่งเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้นเป็นปี 2593 ถือเป็นก้าวสำคัญที่สอดคล้องกับความพยายามของประชาคมโลกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจในระยะยาว

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเด็นสินทรัพย์สูญค่าในอนาคตจะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ดังนั้นเส้นทางสู่ Net Zero ของประเทศไทยในปี 2593 จะเกิดการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นมากน้อยเพียงใด ขึ้นกับความสามารถในการจัดการกับความเสี่ยงนี้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันหรือลดทอนผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการและผู้บริโภคในอนาคต

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

เล่นตัวที่กำไร By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ นักเก็งกำไร ตอนนี้ เล่นหุ้น ตัวที่กำไร ออกมาดีกว่าคาด เหนือคาด เรียกว่า หากิน ระยะสั้น ....

กำไรดีก็บวก By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง เทศกาลตอนนี้ คือ บริษัทจดทะเบียน ประกาศงบการเงินไตรมาส3ปีนี้ ตัวไหน กำไรดีก็บวก ตัวไหน ขาดทุน ...

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้