Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

88

 


ภาพตลาดและแนวโน้ม Market wrap & Outlook

แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ อัปเดตแนวโน้มตลาดหุ้นโลกและทองคำ
สัปดาห์ที่ผ่านมา ภาวะการลงทุนทั่วโลกถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศเชิงลบ สะท้อนผ่านดัชนี MSCI ACWI ที่ปรับตัวลดลง 1.5% ขณะที่ราคาสินทรัพย์เสี่ยงอย่างน้ำมันดิบ WTI และสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตรอายุ 7-10 ปี ก็ปรับตัวลง 2% และ 0.2% ตามลำดับ
ด้านตลาดหุ้นไทย แม้ดัชนี SET จะปรับตัวลงเพียง 0.5% ซึ่งดูแข็งแกร่งกว่าตลาดโลก แต่ก็เผชิญแรงเทขายในวงกว้างที่กดดันราคาหุ้นถึง 18 ใน 20 กลุ่มอุตสาหกรรม มีเพียงกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และสื่อสารเท่านั้น ที่สามารถเคลื่อนไหวสวนกระแสได้ โดยปรับขึ้น 2.9% และ 3.2% ตามลำดับ


ประเด็นสำคัญในต่างประเทศที่น่าสนใจ
ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนจาก NBS ในเดือนตุลาคมลดลงมาอยู่ที่ระดับ 49 จุด ต่ำกว่าเกณฑ์ขยายตัวเป็นเดือนที่เจ็ดติดต่อกัน การปรับตัวลง 0.8 จุดจากเดือนก่อนหน้ายืนยันว่าภาคอุตสาหกรรมของเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลกยังคงซบเซาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ดัชนี PMI ภาคการผลิตที่จัดทำโดย S&P RatingDoc ส่งสัญญาณสวนทาง โดยตัวเลขเดือนตุลาคมอยู่ที่ 50.6 ซึ่งยังถือว่าอยู่ในเขตขยายตัวเล็กน้อย ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงความคล่องตัวของภาคเอกชนที่สามารถปรับตัวได้รวดเร็วกว่าเมื่อเผชิญกับอุปสงค์ที่ชะลอลง หลายบริษัทใช้กลยุทธ์ลดราคาและจัดโปรโมชั่นพิเศษเพื่อรักษาลูกค้า ส่งผลให้ยอดขายฟื้นตัวและเริ่มกลับมาขยายการจ้างงานอีกครั้งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคม โดยเป็นอัตราการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นเร็วที่สุดในรอบกว่าสองปี
ขณะเดียวกัน บรรยากาศในสื่อสังคมออนไลน์เริ่มสะท้อนการคลี่คลายของความวิตกเกี่ยวกับการว่างงานและการลดเงินเดือน ซึ่งแม้ยังไม่ชัดเจนในข้อมูลเศรษฐกิจจริง แต่ก็อาจบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจภายในประเทศของจีนเริ่มผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนทิศของวัฏจักร ก่อนจะเข้าสู่ระยะฟื้นตัวอย่างแท้จริงในปีหน้า สอดรับกับมุมมองของเราที่มองว่าวงจรอุตสาหกรรมโลกกำลังอยู่ในช่วงปลายของการชะลอตัว (late-cycle slowdown) และคาดว่าจะเริ่มเข้าสู่ระยะฟื้นตัวช่วงต้น (early recovery phase) ในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2026

สำหรับแนวโน้มในระยะสั้น ยังเห็นสัญญาณแรงกดดันจาก คำสั่งซื้อส่งออกใหม่ที่ลดลง รวมถึงราคาขายถดถอย และความเชื่อมั่นของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อที่ปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบหกเดือน ซึ่งส่วนหนึ่งคาดว่าเป็นผลจากการชะลอคำสั่งซื้อหลังจากอุปสงค์เร่งซื้อล่วงหน้า (front-loaded demand) เริ่มจางหาย ประกอบกับภาคผู้ส่งออกจำนวนหนึ่งรอความชัดเจนจากการพิจารณาของศาลสูงสหรัฐฯ เกี่ยวกับอำนาจในการขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลทรัมป์
อย่างไรก็ดี รัฐบาลจีนยังคงเดินหน้าใช้นโยบายแบบต้านวัฏจักรเศรษฐกิจ (counter-cyclical) เพื่อประคับประคองการเติบโต ทั้งการออกพันธบัตรพิเศษเพื่อใช้ในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน การลดอัตราดอกเบี้ยเฉพาะจุด และมาตรการส่งเสริมการบริโภคในกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งทั้งหมดมีเป้าหมายเพื่อรักษาอัตราการเติบโตของ GDP ให้อยู่ใกล้ระดับ 5% ตามที่รัฐบาลตั้งไว้

Implication:
ความแตกต่างระหว่างดัชนี NBS และ S&P สามารถอธิบายได้จากโครงสร้างของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยตัวเลข NBS สะท้อนภาพของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่ติดอยู่กับปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินและความเชื่องช้าของระบบราชการ ในขณะที่ S&P ฉายภาพของภาคเอกชนที่มีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้เร็วกว่า ดัชนีทั้งสองจึงวาดภาพเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่มักปรากฏในช่วงปลายวัฏจักรเศรษฐกิจ

แนวโน้มราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในสัปดาห์นี้

แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะแสดงสัญญาณการฟื้นตัวในช่วงท้ายของการซื้อขายในวันศุกร์ แต่เรายังคงมีมุมมองที่ระมัดระวังต่อสภาวะความตึงตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนจาก Momentum Tracker ของดัชนี S&P500 และ Nasdaq100 ที่อยู่ในภาวะ Overbought
ปัจจัยนี้อาจทำให้การเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวมในระยะสั้นยังเต็มไปด้วยความผันผวน เราจึงแนะนำให้ใช้กลยุทธ์ทยอยสะสมต่อไปในช่วงที่เหลือของเดือนพฤศจิกายน แทนการเข้าซื้อในครั้งเดียว เพื่อกระจายความเสี่ยงท่ามกลางภาวะตลาดที่ยังไม่แน่นอน

เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี โดยประเมินว่าอัตราผลตอบแทน (Yield) ยังคงอยู่ในทิศทางขาลง และมีโอกาสสูงที่จะปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำกว่า 3.9% ในช่วงที่เหลือของปีนี้
ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากภาพเศรษฐกิจที่เปิดทางให้ Fed สามารถดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินได้มากขึ้น โดยเฉพาะสัญญาณความอ่อนแอที่ชัดเจนขึ้นจากภาคการจ้างงาน ขณะเดียวกัน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อก็ไม่ได้เร่งตัวขึ้นอย่างที่ตลาดเคยกังวลไว้ก่อนหน้า ปัจจัยเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำความคาดหวังของตลาดที่ว่า Fed จะยังคงปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง

สัญญาณของราคาทองคำ (Gold Spot) เริ่มดูผ่อนคลายมากขึ้น หลังจากที่เครื่องมือ Momentum Tracker ได้คลายภาวะตึงตัวลงอย่างชัดเจน ส่งผลให้แรงขายชะลอตัวลง และราคากำลังพยายามสร้างฐานแนวรับที่มั่นคงในกรอบ 3,900-4,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์
เรามองว่าพัฒนาการนี้เป็นบวกต่อภาพระยะยาว โดยจังหวะที่ราคาอ่อนตัวลงนี้ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในการทยอยสะสมสถานะ โดยเรายังคงมุมมองเชิงบวก และคงเป้าหมายราคาทองคำสำหรับปี 2026 ไว้ที่ระดับ 5,000 ดอลลาร์

ในระยะสั้น ราคาน้ำมันดิบ Brent ยังคงมีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 60-66 ดอลลาร์ เนื่องจากยังคงเผชิญกับความกังวลของตลาดเรื่องภาวะอุปทานส่วนเกิน (Oversupply) ซึ่งสะท้อนผ่านโครงสร้างตลาดซื้อขายล่วงหน้า (Forward Curve) ที่ยังคงอยู่ในภาวะ Partial Contango
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาพรวมปัจจัยพื้นฐานจะยังคงอ่อนแอ แต่เราประเมินว่ากรอบขาลง (Downside) ของราคาน้ำมันจะยังค่อนข้างจำกัด โดยมีปัจจัยหนุนจากการที่สหรัฐฯ ยังคงดำเนินมาตรการคว่ำบาตรต่อบริษัทน้ำมันของรัสเซีย ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวจำกัดอุปทานไม่ให้เข้าสู่ตลาดโลกมากจนเกินไป

ดัชนี SET ยังคงเคลื่อนไหวในลักษณะของการสร้างฐาน โดยยังขาดทิศทางที่ชัดเจน ภาวะดังกล่าวสอดคล้องกับเครื่องมือชี้วัดจังหวะตลาดหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น Bull-to-Bear, Market Breadth และ Momentum Strength ที่ต่างส่งสัญญาณอ่อนกำลังลง สะท้อนว่าแรงส่งของตลาดยังมีจำกัด
ท่ามกลางสภาวะที่ตลาดยังคงแกว่งตัวในกรอบ เราจึงคงคำแนะนำกลยุทธ์การลงทุนแบบ Selective Buy โดยเน้นเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีปัจจัยเฉพาะตัวสนับสนุน และที่สำคัญคือ ราคายังไม่ปรับตัวขึ้นร้อนแรงจนเข้าสู่ภาวะ overbought

Quant Focus List (สัปดาห์นี้):

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

SMO เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันแรก

SMO เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันแรก

กังวล By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เห็นนักลงทุน ยังคงมีเรื่องราวความกังวล รบกวนจิตใจการลงทุน สะท้อนได้จาก ปริมาณการซื้อขาย....

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้