สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(6 พฤศจิกายน 2568)-------บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 โดยมีรายได้รวม (total revenue) อยู่ที่ 30,177 ล้านบาท ลดลง 26% จาก 40,617 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากปริมาณการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ของกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP ที่ลดลงตามฤดูกาล ประกอบกับราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม กำไรจากการดำเนินงาน (core profit) เพิ่มขึ้น 3% จาก 7,101 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 เป็น 7,280 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ และกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้น 2% จาก 13,432 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 เป็น 13,641 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่ลดลง
ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทฯ มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจพลังงาน ทั้งกลุ่มโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและโรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยในไตรมาส 3/2568 โครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD มีกำไรเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจากในไตรมาส 2/2568 มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนงาน B-Inspection เป็นระยะเวลานานกว่าช่วงไตรมาส 3/2568 ขณะเดียวกัน บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากกลุ่ม GJP เพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/2568 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 7 โครงการภายใต้กลุ่ม GJP ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น จากราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่ลดลงในอัตราที่สูงกว่าการลดลงของราคาค่า Ft โดยราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยลดลงจาก 317.3 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 2/2568 เป็น 298.0 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 3/2568 ในขณะที่ Ft เฉลี่ยลดลงจาก 0.25 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 2/2568 เป็น 0.18 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 3/2568 ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในส่วนที่ขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation ในประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 557 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 316% จาก 134 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน เนื่องจากโครงการรับรู้รายได้ค่า Capacity Payment ที่เพิ่มขึ้นเต็มไตรมาสในไตรมาส 3/2568 โดยค่า Capacity Payment เฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 29 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในช่วงเดือนมิถุนายน 2567 ถึงพฤษภาคม 2568 เป็น 270 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในช่วงเดือนมิถุนายน 2568 ถึงพฤษภาคม 2569 ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในตลาด Pennsylvania-New Jersey-Maryland Interconnection (PJM) ในขณะที่ปริมาณไฟฟ้าเสถียรที่จ่ายเข้าสู่ระบบลดลง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยโครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation (GGC) รับรู้ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้น 154% จาก 91 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 เป็น 230 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ จากความเร็วลมเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 4.8 เมตร/วินาที ในไตรมาส 2/2568 เป็น 5.7 เมตร/วินาที ในไตรมาส 3/2568 ในขณะที่โครงการ Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ในประเทศเยอรมนี รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit เพิ่มขึ้น 40% จาก 46 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 เป็น 65 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ จากที่มีความเร็วลมเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 7.5 เมตร/วินาที ในไตรมาส 2/2568 เป็น 8.0 เมตร/วินาที ในไตรมาส 3/2568
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ รับรู้กำไรที่ลดลงจากโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD และรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit ที่ลดลงเล็กน้อยจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติหินกอง (HKP) เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากทั้งสองโครงการดังกล่าวมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนงาน A-Inspection ในระหว่างไตรมาส ประกอบกับปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ลดลงตามความต้องการใช้ไฟฟ้ารวมของประเทศที่ชะลอตัวตามฤดูกาล โดย GPD มี load factor เฉลี่ยลดลงจาก 75% ในไตรมาส 2/2568 เป็น 45% ในไตรมาสนี้ ในขณะที่ HKP มี load factor เฉลี่ยลดลงจาก 87% ในไตรมาส 2/2568 เป็น 80% ในไตรมาสนี้
ในส่วนของธุรกิจก๊าซ บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการ PTT NGD จำนวน 199 ล้านบาท
ในไตรมาส 3/2568 ลดลง 4% จาก 208 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 เนื่องจากราคาน้ำมันเตาลดลงในอัตราที่สูงกว่าราคาค่าก๊าซธรรมชาติ โดยราคาน้ำมันเตาลดลงจาก 70.5 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในไตรมาส 2/2568 เป็น 66.4 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในไตรมาสนี้ ซึ่งราคาขายส่วนใหญ่ของโครงการ PTT NGD จะอิงกับราคาน้ำมันเตา ในขณะที่ต้นทุนจะขึ้นอยู่กับราคาก๊าซธรรมชาติ สำหรับธุรกิจจัดหาและขนส่งก๊าซธรรมชาติภายใต้ GLNG และ HKH ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ ได้นำเข้า LNG มาแล้วจำนวนรวม 42 ลำ หรือประมาณ 2.85 ล้านตัน
ในไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากการลงทุนใน AIS จำนวน 3,829 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จาก 3,483 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของ AIS จากการเพิ่มขึ้นของ ARPU ทั้งจากธุรกิจโทรศัพท์มือถือและธุรกิจ Fixed Broadband ประกอบกับต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลงจากการลดลงของต้นทุนการใช้คลื่นความถี่ ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค และค่าบำรุงรักษาโครงข่าย สำหรับเงินปันผลรับจากการลงทุน ในไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ รับรู้รายได้จากเงินปันผลที่ลดลงจาก 1,044 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 เป็น 276 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2568 โดยหลักเป็นผลมาจากเงินปันผลรับจากการลงทุนใน KBANK ที่น้อยลงจาก 977 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 เป็น 215 ล้านบาท ในไตรมาส 3 นี้
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 3/2568 จำนวน 13,641 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับ 13,432 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 ในขณะที่กำไรสุทธิ (net profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ในไตรมาส 3/2568 เท่ากับ 7,274 ล้านบาท
ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 752,800 ล้านบาท หนี้สินรวม 398,589 ล้านบาท และ
ส่วนของผู้ถือหุ้น 354,211 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (net interest-bearing debt to equity) อยู่ที่ 0.85 เท่า ลดลงจาก 0.87 เท่า ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของส่วนของผู้ถือหุ้นจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทฯ
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน เปิดเผยว่า “ในไตรมาส 4/2568 บริษัทฯ คาดว่าผลการดำเนินงานจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) ภายในประเทศ จำนวน 7 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 597 เมกะวัตต์ จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2568 ในขณะที่โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) มีกำหนดเปิดดำเนินการตามแผนในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ นอกจากนี้ ในไตรมาส 4 เป็นช่วง high season ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ส่งผลให้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation ในประเทศไทย และโครงการ BKR2 ในประเทศเยอรมนี คาดว่าจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น
นางสาวยุพาพิน กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับปี 2569 บริษัทฯ คาดว่าผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้นอีกจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ภายในประเทศเพิ่มเติมอีก 6 โครงการ รวมกำลังการผลิตติดตั้ง 623 เมกะวัตต์ รวมถึงการเปิดดำเนินการของโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนเชียงใหม่ เวสท์ ทู เอ็นเนอร์จี (CM WTE) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 10 เมกะวัตต์ ในเดือนพฤษภาคมปี 2569 ในขณะที่โครงการ solar rooftop ภายใต้ GULF1 คาดว่าจะดำเนินการจ่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าเพิ่มอีกประมาณ 50 เมกะวัตต์ ในปี 2569 นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation ในประเทศสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากค่า Capacity Payment ที่ปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้า data center เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่โรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทยอยปลดระวางลง โดยค่า Capacity Payment จะปรับเพิ่มขึ้นอีกในช่วงกลางปี 2569 จาก 270 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน เป็น 329 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในส่วนของธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) มีกำหนดเปิดดำเนินการในช่วงไตรมาส 3/2569
ในส่วนของธุรกิจก๊าซ ในปี 2569 กลุ่มบริษัทฯ มีแผนขยายการนำเข้า LNG เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 70 ลำ หรือประมาณ 4-5 ล้านตัน เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าของกลุ่มโรงไฟฟ้าของบริษัทฯ ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้จาก shipper fee นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการดำเนินกลยุทธ์ LNG optimization เพื่อบริหารจัดการการนำเข้า การขนส่ง และการจำหน่าย LNG อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2569 จะได้รับแรงหนุนจากส่วนแบ่งกำไรและเงินปันผลรับจาก AIS ที่เพิ่มขึ้น ตามผลประกอบการที่แข็งแกร่งจากการขยายฐานผู้ใช้บริการ 5G การเพิ่มขึ้นของ ARPU และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะต้นทุนการใช้คลื่นความถี่ที่ลดลงภายหลังจากการชนะการประมูลคลื่นความถี่ 2100 MHz
ในขณะที่กลุ่มธุรกิจดิจิทัลจะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตในปี 2569 โดยจะเป็นปีแรกที่บริษัทฯ รับรู้ผลการดำเนินงานเต็มปีของโครงการ GSA01 ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูล (data center) ขนาด 25 เมกะวัตต์ ที่บริษัทฯ ได้ร่วมลงทุนกับ Singtel และ AIS ภายหลังจากที่ได้เปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อย ขณะที่โครงการ GSA02 ซึ่งมีขนาด 38 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการพัฒนาและมีกำหนดเปิดให้บริการในไตรมาส 1/2570 โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าขยายกำลังการให้บริการศูนย์ข้อมูลเป็น 300-500 เมกะวัตต์ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับความต้องการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและเทคโนโลยี AI ที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย สำหรับธุรกิจคลาวด์ (cloud) บริษัทฯ ได้ร่วมทุนกับ AIS ภายใต้บริษัทฯ G-AIS เพื่อให้บริการระบบคลาวด์ทั้งในรูปแบบ public cloud และ private cloud โดยร่วมมือกับ Oracle Alloy, Google และ Microsoft ในการให้บริการระบบคลาวด์และพัฒนาโซลูชันด้านดิจิทัลร่วมกัน เพื่อขยายการเข้าถึงนวัตกรรมคลาวด์และเทคโนโลยี AI ตลอดจนเสริมความแข็งแกร่งด้าน cybersecurity เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล
GULF ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคงในระยะยาว โดยเฉพาะการขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังน้ำ และพลังงานขยะ ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตของบริษัทฯ ไปจนถึงปี 2576 โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งที่เปิดดำเนินการแล้วประมาณ 16,000 เมกะวัตต์ และมีกำลังการผลิตที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีกประมาณ 9,000 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่า 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมดจะมาจากพลังงานหมุนเวียน สอดคล้องกับเป้าหมายด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ นอกจากนี้ บริษัทฯ มองเห็นโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจดิจิทัลในระยะยาว จากการขยายตัวของธุรกิจ data center และ cloud โดยบริษัทฯ มีความพร้อมทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ศักยภาพด้านพลังงาน และเครือข่ายพันธมิตรระดับโลก ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันประเทศไทยให้ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางทางด้านดิจิทัลของภูมิภาคต่อไป”