สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 30 ตุลาคม 2568)-----------ในการประชุม FOMC วันที่ 28-29 ต.ค. 2568 เฟดมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 10 ต่อ 2 เสียงปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงมาอยู่ที่ 3.75-4.00% ตามที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดไว้ก่อนหน้านี้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
• คณะกรรมการเฟดมีมุมมองแตกต่างกันมากขึ้น โดย 10 เสียงสนับสนุนให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เนื่องจากมองความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและตลาดแรงงานสูงขึ้น แม้มองเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ 1 เสียงจาก Stephan Miran เห็นควรให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% และ 1 เสียงจาก Jeff Schmid สนับสนุนให้คงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบนี้ สะท้อนมุมมองที่แตกต่างกันมากขึ้นภายในคณะกรรมการ ซึ่งอาจเพิ่มความไม่แน่นอนต่อทิศทางนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า
• เฟดส่งสัญญาณยุติการลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening: QT) ในวันที่ 1 ธ.ค. 2568 หลังจากทำ QT มาต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2565 และระดับงบดุลปัจจุบันปรับลดลงมาสู่ระดับ 6.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ท่ามกลางสภาพคล่องในตลาดเงินที่เริ่มตึงตัว และระดับเงินสำรองของธนาคารที่ลดลง โดยเฟดจะหยุดการลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Treasury) ซึ่งปัจจุบันลดลงในอัตราเดือนละ 5 พันล้านดอลลาร์ฯ แต่จะยังคงปล่อยให้หลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยค้ำประกัน (Mortgage-Backed Securities) ลดลงต่อไปในอัตราประมาณเดือนละ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
• เฟดระบุการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในเดือนธ.ค. ยังมีความไม่แน่นอนสูง เนื่องจากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย ประกอบกับขาดข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญจาก Government Shutdown ส่งผลให้เฟดยังคงมุมมองระมัดระวัง และอาจชะลอการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อรอประเมินผลจากการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในสองครั้งก่อนหน้า แม้ Dot Plot ที่เผยแพร่ในเดือนก.ย สะท้อนคาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงไปสู่ระดับ 3.50-3.75% หรือปรับลดอีกครั้งในเดือนธ.ค. การส่งสัญญาณนี้ออกมาตึงตัว (Hawkish) มากกว่าที่ตลาดคาด ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับปรับตัวลดลงเล็กน้อย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้นและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ตลาดมองโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ลดลงมาอยู่ที่ราว 67% จากเดิมที่ 90%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงมุมมองการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดมีอีก 0.25% ในเดือนธ.ค. เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอลง ขณะที่เงินเฟ้อสหรัฐฯ คาดว่าจะไม่เร่งตัวสูงขึ้นมากนัก โดยต้นทุนจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าคาดว่าจะทยอยส่งผ่านมายังเงินเฟ้อสหรัฐฯ อย่างค่อยเป็นค่อยไป และผลกระทบคาดว่าจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว อีกทั้ง เงินเฟ้อสหรัฐฯ มีแนวโน้มได้รับแรงกดดันจากราคาบ้านที่มีแนวโน้มปรับลดลง ส่งผลให้เฟดมีแนวโน้มยังให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ตาม จังหวะการปรับลดดอกเบี้ยคงขึ้นอยู่กับตัวเลขตลาดแรงงานและเงินเฟ้อที่ออกมาเป็นสำคัญ