Equality for All
SCGP : บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง

3Q25 รายงานกำไรสุทธิ 953 ลบ. หดตัว -6% q-q แต่ขยายตัว +65% y-y : สรุปตามส่วนงานได้ดังนี้
กลุ่มบรรจุภัณฑ์ครบวงจร (Integrated Packaging Business : IPB) ยอดขายหด -2% q-q ได้รับผลจากราคาขายที่ลดลง กลุ่ม Polymer กระทบจากปัจจัยนอกฤดูกาลส่งผลให้ยอดขายกลุ่มสินค้าแปรรูปผลไม้ลดลง รวมถึงในยุโรปเข้าสู่ฤดูร้อนส่งผลให้การผลิตลดลง ส่วนกลุ่ม Fiber Packaging ทำได้ดีจากการใช้ภายในประเทศ โดยเฉพาะเวียดนาม และอินโดนีเซีย ส่วนในไทยหดตัวจากกำลังซื้อที่ลดลง ส่วนกลุ่ม Packaging paper การขายในประเทศเพิ่มขึ้นแต่หากการส่งออกไปจีนลดลงทำให้ปริมาณขายรวมทรงตัว แต่ได้รับผลจากราคาขายลดลง

EBITDA margin ทรงตัว q-q ที่ 16.0% ดีจากกลุ่ม packaging paper และ fiber packaging ประกอบกับ การควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดี ขณะที่ Fajar นั้น กลับมาขาดทุนมากขึ้น q-q จากปริมาณขายหด -3% และราคาขาย -2% q-q ส่งผลให้ EBITDA หดตัวจาก 31 พันล้านรูเปี๊ยะเหลือ 2 พันล้านรูเปี๊ยะ

กลุ่มเยื่อและกระดาษ (Fibrous Business :FB) ยอดขายหดตัว -5% q-q ได้รับผลจากราคาขายที่ลดลง โดยกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารในต่างประเทศยังคงดีจากช่วงวันหยุด และการย้ายฐานการผลิตจากจีนไปเวียดนามแทน ขณะที่กลุ่มกระดาษพิเศษได้รับผลจากราคาขายที่ลดลง ส่วนกลุ่มเยื่อกระดาษแม้ว่าปริมาณขายจะเพิ่มขึ้นแต่หากราคาขายลดลงเช่นกัน ขณะที่ในส่วน EBITDA margin ทรงตัว q-q แต่หากการดำเนินงานขาดทุนเพิ่มขึ้นจากราคาขายที่ลดลง ไตรมาสนี้ได้ผลบวกจากต้นทุนวัตถุดิบและราคาถ่านหินที่ลดลง ประกอบกับค่าใช้จ่ายบริหารลดลง -11% q-q ทำให้กำไรปกติอยู่ที่ 998 ลบ. +48% y-y +1% q-q แต่มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนและอื่น ๆ รวม -45 ลบ. ทำให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 953 ลบ. +65% y-y -6% q-q ใกล้เคียงกับคาด

แจ้งลงทุน MYPAK ในอินโดนีเซียคาดปิดดีลภายใน 4Q25 : SCGP แจ้งการลงทุนในบริษัท MYPAK มูลค่ากิจการไม่เกิน 956 ลบ. เป็นทำธุรกิจผลิตกล่องกระดาษลูกฟูกในอินโดนีเซีย ฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ชั้นนำในกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศดังกล่าว

โดยปี 2024 รายได้ 1,777 ลบ. และทรัพย์สิน 2,670 ลบ. มีกำลังการผลิต 144,000 ตัน/ ปี การซื้อครั้งนี้เพื่อขยายฐานธุรกิจในกลุ่มบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคในอาเซียน ตามเป้าหมายที่ SCGP ตั้งใจไว้, ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ครบวงจรแบบเป็นระบบมากขึ้นในอินโดนีเซียปัจจุบันอยู่ที่ 18% และจะเพิ่มเป็น 26% ในอนาคต และการใช้ห่วงโซ่อุปทานร่วมกันในกลุ่มเพื่อให้ Fajar ผลิตมากขึ้นเนื่องจากเดิม MYPAK ไม่ได้ซื้อกระดาษจาก Fajar และจะทำให้การดำเนินงานของ Fajar ดีขึ้นจากปัจจุบันที่ยังขาดทุนอยู่จากปริมาณและราคาขายที่หดตัว คาดว่าดีลดังกล่าวจะแล้วเสร็จใน 4Q25 นี้

แนวโน้ม 4Q25 ปริมาณขายคาดดีขึ้น q-q : ผบห. คาดปริมาณขายใน 4Q25 จะดีขึ้น q-q ทั้งในไทย, อินโดนีเซียและเวียดนามจากฤดูส่งออก, จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และเทศกาลเฉลิมฉลองทำให้ต้องมีการเพิ่มสต็อก รวมถึงในเวียดนามที่จะเร่งผลิตรองรับเทศกาลเต็ด รวมถึงราคาขายจะเพิ่มขึ้นจากราคาในจีนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ในส่วนต้นทุนนั้นคาดว่ามีแนวโน้มลดลงจากการที่จีนมีความเข้มงวดการนำเข้า Recycle Pulp คาดว่าจะทำให้ความต้องการลดลงและส่งผลให้ราคาลดลงด้วยทำให้มีความเป็นไปได้ที่การดำเนินงานอาจทรงตัว q-q

ช่วงที่เหลือบวกจากฤดูกาล
“ ช่วงที่เหลือของปีได้ผลบวกจากปัจจัยฤดูกาลหนุนปริมาณขายในตลาดหลักฟื้นตัว q-q ประกอบกับราคาขายที่ทยอยปรับขึ้นได้ ขณะที่การซื้อธุรกิจใหม่ช่วยเพิ่มสินค้ากลุ่มที่เกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของ SCGP ที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนในกลุ่มดังกล่าวมากขึ้น รวมถึงจะช่วยให้การดำเนินงานของ Fajar ดีขึ้นจากการมี synergy ร่วมกัน
ปัญหาที่เกี่ยวข้องค่อย ๆ คลี่คลายลง และคาดจุดต่ำสุดของการดำเนินงานผ่านไปแล้ว รอการฟื้นตัวของจีน เราชอบมากขึ้น โดยราคาเหมาะสมอิง Bloomberg consensus เริ่มมีการปรับขึ้นมาจากความคาดหวังของตลาดมากขึ้นแล้ว ”

นารี อภิเศวตกานต์
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน #17971
naree.a@liberator.co.th