Company Note
เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป

แนวโน้มกำไรสุทธิ 3Q25F เพิ่มขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ จากรายการพิเศษ หากไม่รวมรายการดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย QoQ และแนวโน้ม Q4 คาดจะทรงตัว จากหนังเรื่อง “ธี่หยด 3” แม้จะทำรายได้มากที่สุดในปีนี้ แต่เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมายังต่ำกว่า “ธี่หยด 2”และรายได้ธุรกิจสื่อโฆษณาที่ลดลงค่อนข้างมากตามภาพรวมเศรษฐกิจ และจากช่วงไว้อาลัยแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ภายหลังสำนักพระราชวังมีประกาศการสวรรคต เมื่อวันที่ 24 ต.ค.25 แม้ว่าไม่ได้มีคำสั่งให้งดกิจกรรมรื่นเริงเพียงแต่ขอความร่วมมือ ให้ปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับบรรยากาศแห่งการไว้อาลัย เราปรับประมาณการลงจากแนวโน้มผลประกอบการทั้งปีต่ำกว่าที่เราคาดไว้ เรายังคงคำแนะนำ “ถือ”

คาดกำไรหลักเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ, แต่กำไรสุทธิลดลง QoQ จากรายการพิเศษ

เราคาด MAJOR จะมีกำไรสุทธิ 3Q25F อยู่ที่ 108 ล้านบาท (+115% YoY, -13% QoQ) โดยในไตรมาสนี้มีค่าใช้จ่ายพิเศษเพิ่มขึ้นในการคืนพื้นที่ของโรง VIP ที่สยามพารากอนประมาณ 30 ล้านบาท โดยหากไม่รวมรายการพิเศษเราคาดกำไรหลักอยู่ที่ 138 ล้านบาท (+129% YoY, +2% QoQ) สำหรับรายได้หนัง 5 อันดับแรกที่ทำเงินมาจากหนังเรื่อง Demon Slayer และ “Jurassic World” ที่ทำเงินเกือบ 200 ล้านบาท ตามด้วย “Superman”, “Fantastic 4”, คายอ้อย เรื่องละประมาณ 60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเทียบกับ 2Q25 หนังที่ทำเงิน 5 อันดับแรกได้แก่ “Lilo & Stitch 2” รับรู้รายได้ 147 ล้านบาท ตามด้วย “How to train your dragon” 111 ล้านบาท, “Mission : Impossible 8” 69 ล้านบาท, “พระแท้คนเก๊” 65 ล้านบาท และ “Minecraft” ที่ 62 ล้านบาท ด้านรายได้ธุรกิจอาหารทานเล่นเพิ่มขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ จากการปรับราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น สำหรับรายได้สื่อโฆษณาลดลง เนื่องจากลูกค้าที่รอต่อสัญญาเลื่อนไปไตรมาส 4 ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นเนื่องจากการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษปิดโรง VIP ที่สยามพารากอน

ปรับประมาณการลงสะท้อนจำนวนคนชมและการขยายสาขาน้อยกว่าที่คาด

แนวโน้มผลประกอบการกำไร 4Q25F เราคาดใกล้เคียง Q3 โดยรายได้หนังเรื่อง “ธี่หยด 3” ที่ปัจจุบันทำรายได้ทั่วประเทศราว 400 ล้านบาท มากที่สุดในปีนี้ (MAJOR รับรู้รายได้ประมาณ 70% หรือราว 280 ล้านบาท) สำหรับหนังที่กำลังเข้าฉายยังมีอีกหลายเรื่องได้แก่ “อนงค์ 2”, “หมู่บ้านโคกะโหลก”, “หอแต๋วแตก”, “เสือ” และ “Avatar 3” เป็นต้น อย่างไรก็ตามเทียบกับ 4Q24 ที่ผ่านมา รายได้ต่ำกว่า “ธี่หยด ภาค 2” ที่ทำรายได้ทั่วประเทศราว 800 ล้านบาท (MAJOR รับรู้รายได้ 550 ล้านบาท) ตามด้วย “วัยหนุ่ม” 81 ล้านบาท, “Venom” 58 ,ล้านบาท และ “Mono 2” ที่ 51 ล้านบาท

เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2025-26F ลดลงจากคาดเดิม 27% และ 21% มาอยู่ที่ 417 ล้านบาท (-44% YoY) และ 495 ล้านบาท (+19%YoY) ตามลำดับ คาดรายได้ตัวหนังลดลง 7% YoY จากคาดจำนวนผู้ชมเฉลี่ยลดลงจากคาดเดิม 2% มาอยู่ที่ 26.9 ล้านคน (-9%YoY) และปีถัดไปเพิ่มขึ้นปีละ 2% โดยราคาตั๋วเฉลี่ยคาดอยู่ที่เฉลี่ย 165 บาท และปีถัดคาดเพิ่มขึ้น 3% คาดสัดส่วนรายได้มาจากกรุงเทพฯและต่างจังหวัด 52:48 คาดโรงหนังปีนี้เพิ่มขึ้น 3 โรง จากเดิมคาดที่ 18 โรง ต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัท เนื่องจากขึ้นอยู่กับการขยายพื้นที่สาขาใหม่ของห้างสรรพสินค้าที่น้อยลง

บริษัทวางแผนหนังไทยปีนี้ 80 เรื่อง เป็นหนังที่บริษัทร่วมกับพาร์เนอร์ประมาณ 20 เรื่อง ร่วมกับ BEC ผลิตหนังไทย 2-3 เรื่อง และ WORK อย่างน้อย 3-4 เรื่อง ร่วมกับ MONO ได้แก่ “นาคี 3” ร่วมกับ PLANB 3 เรื่อง และรายอื่นๆอีก รวมถึงมีหนัง Holly Wood ที่เข้าอีกหลายเรื่อง สำหรับรายได้อาหารและเครื่องดื่มทานเล่นคาดลดลงตามรายได้ตั๋วหนัง คาดอัตราทำกำไรและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารใกล้เคียงกับปี 2024

เรายังคงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมายเป็นปี 2026F ที่ 8.35 อ้างอิงวิธี historical PE forward 3y -1SD อยู่ที่ 14X (จากเดิม 13.4 บาท อ้างอิงวิธี DCF, WACC 7.5%) เนื่องจากรายได้ผันผวนตามเศรษฐกิจหรือพฤติกรรมผู้บริโภค ส่งผลของความไม่แน่นอนของกระแสเงินสดในอนาคต (High Cash Flow Uncertainty) และในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง การใช้ PER ทำให้เปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันได้มากกว่า ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER26F ที่ 12X สถานะการเงินแข็งแกร่งเป็น net cash คาด Dividend Yield’26 ที่ 3.3% ความเสี่ยง : ภาพรวมเศรษฐกิจซบเซา