สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 24 ตุลาคม 2568)----InnovestX บริษัทหลักทรัพย์ในกลุ่ม SCBX ออกบทวิเคราะห์ประจำวันที่ 24 ตุลาคม 2568คาดตลาดแกว่งขึ้นแต่ชะลอตัวตามแนวต้าน ตลาดทยอยรับรู้ผลประกอบการกลุ่มธนาคารที่ออกมาดีกว่าตลาดคาดจาก non-NII ไประดับหนึ่งแล้ว ส่วนการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีนในช่วงสุดสัปดาห์นี้ยังเป็นปัจจัยที่ตลาดให้ความสนใจและมีผลต่อตลาดรวม โดยทำเนียบขาวยืนยัน ปธน. ทรัมป์จะพบกับ ปธน. สีจิ้นผิงวันที่ 30 ต.ค. นี้ ทางเทคนิค ตลาดขึ้นมาที่กรอบบนมีแนวต้าน 1310/1320 ที่มีโอกาสทำให้ชะลอตัวสั้น ขณะที่การลงมีแนวรับหลัก 1295/1285 หากยังบวกไม่ควรลงหลุดต่ำกว่า

ประเด็นสำคัญ
• สหรัฐฯ ประกาศการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่อ 2 บริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดรัสเซีย Rosneft และ Lukoil ซึ่งจะเร่งให้อินเดียพิจารณาลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียเร็วขึ้น โดยอินเดียนำเข้าจาก 2 บริษัทนี้คิดเป็น 68% ของปริมาณนำเข้าจากรัสเซีย ทำให้ราคาน้ำมันดิบ Brent วานนี้ขึ้น 4.9%
• รองนายกฯ เหอ ลี่เฟิง จะเข้าร่วมการเจรจาการค้ารอบใหม่กับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในมาเลเซียระหว่างวันที่ 24-27 ต.ค. 2568 โดยมีเป้าหมายจะคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้า ซึ่งจะเกิดขึ้นก่อนการประชุม APEC ในเกาหลีใต้ระหว่างวันที่ 31 ต.ค. – 1 พ.ย. นี้
• กทม. ประกาศขึ้นค่าโดยสารสำหรับส่วนต่อขยายทั้ง 3 ช่วง (หมอชิต-คูคต, บางจาก-สมุทรปราการ และโพธิ์นิมิต-บางหว้า) จาก 15 บาทเป็น 17-45 บาท เพื่อให้ครอบคลุมส่วนต่างของต้นทุนการดำเนินงานปีละ 6,000 ลบ. มีผลวันที่ 1 พ.ย. 2568
• ส.อ.ท. เผยตลาดรถยนต์ใน ก.ย. 2568 มีสัญญาณบวก ยอดส่งออกที่ 86,056 คัน เพิ่มขึ้น 7.2%YoY และ 20.9%MoM หนุนจากการส่งออกกระบะและรถรุ่นใหม่ และยอดผลิตที่ 128,104 คัน เพิ่มขึ้น 4.8%YoY และ 14.0%MoM ทำให้ช่วง 9M68 ยอดส่งออกที่ 689,031 คัน ลดลง 10.4%YoY และยอดผลิต 1,075,801 คัน ลดลง 4.6%YoY
• กสทช. จะเสนอโครงการ “อินเตอร์เน็ตคนละครึ่ง” สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ รมว. ดิจิทัลฯ เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุม ครม. ในสัปดาห์หน้า หลังจากหารือกับค่ายมือถือ คาดว่าผู้ร่วมโครงการจะได้อินเตอร์เน็ตในราคา 160 บาท/เดือน
• กระทรวงพลังงานยืนยันจะหยุดชดเชยราคาน้ำมันที่มีส่วนผสมจาก แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซล ตั้งแต่ 24 ก.ย. 2569 หลังขยายเวลามาแล้วครบ 2 ครั้ง มองตลาดได้สะท้อนภาพลบของกลุ่มผู้ผลิตเอทานอลและไบโอดีเซลแล้ว หลังกองทุนน้ำมันฯ ไม่ได้ชดเชยตั้งแต่ช่วง ส.ค. 2567
•
•
• จำนวน นทท. ต่างชาติมาไทยในสัปดาห์ก่อนที่ 556,735 คน เพิ่มขึ้น 3%WoW และหดตัว YoY แคบลง หนุนจากกลุ่ม นทท. อื่นๆ (ไม่รวมจีน) มองเป็นสัญญาณฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดและเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน หุ้นเด่นกลุ่มท่องเที่ยวของเรา คือ CENTEL และ ERW
• สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกในช่วง 3 เดือนข้างหน้า (ต.ค.-ธ.ค. 2568) ทำระดับสูงสุดในรอบ 12 เดือนที่ 63.8 สะท้อนความมั่นใจของผู้ประกอบการต่อมาตรการกระตุ้น ศก. ของรัฐบาล โดยเฉพาะ “คนละครึ่งพลัส” ที่คาดจะเพิ่มยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 10% และเสนอเฟสถัดไปควรเปิดกว้างต่อผู้ประกอบการทุกขนาด และชงเดินหน้าโครงการ “Easy e-Receipt” ต่อเนื่องในช่วง พ.ย.-ธ.ค. 2568
• ส.อ.ท. ถก ธปท. หาแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทย ดูแลค่าเงินบาท แนะพิจารณา 'ซอฟต์โลน' ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยเหลือ SME พร้อมตั้งกองทุนเอสเอ็มอีนวัตกรรมการเงิน เปิดโอกาสให้เอกชนร่วมลงทุน
• คืนวานนี้สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 5% จากแรงขายทำกำไรหลังราคาทองคำพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งคาดการชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ จะสิ้นสุดลงในไม่ช้านี้ และเป็นไปได้ที่จีน-สหรัฐฯ จะบรรลุข้อตกลงการค้า ซึ่งอาจทำให้ราคาทองคำเข้าสู่ภาวะปรับฐาน

กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวผันผวนในกรอบ 1270-1320 ประเมินความเสี่ยงหลัก คือ สงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีนจะมีต่อเนื่องจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะเจรจาในช่วงก่อนประชุม APEC ปลายเดือน ต.ค. นี้, การประชุม คกก. พรรคคอมมิวนิสต์จีน (20–23 ต.ค.) คาดจะส่งสัญญาณสนับสนุนด้านเทคโนโลยี, การบริโภค และจำกัดการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตใหม่, เงินเฟ้อ ก.ย. ของสหรัฐฯ (24 ต.ค.) อาจมีผลต่อตลาดไม่มากนัก โดยมองเฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ และงบ 3Q68 ของ บจ. สหรัฐฯ มีแนวโน้มออกมาดีกว่าตลาดคาด โดย 6 ใน 11 กลุ่มอุตสาหกรรมคาดจะปรับตัวขึ้น YoY ได้ ด้านปัจจัยในประเทศติดตามแผนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มของรัฐบาล, ตัวเลขส่งออกไทย ก.ย. 2568 ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง และงบ 3Q68 ของ บจ. ไทย โดยกลุ่มธนาคารใหญ่จะประกาศงบสัปดาห์หน้าและถัดไปจะเป็นกลุ่ม Real Sector

แนวรับ – แนวต้าน : 1295/1285 – 1310/1320

ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
ช่วงสั้นมอง SET จะเคลื่อนไหวผันผวนจากความเสี่ยงภายนอกเป็นหลัก กลยุทธ์ลงทุนแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 2 ธีมหลักและ 3 ธีมเทรดดิ้ง ดังนี้
1. หุ้น Earnings Play ซึ่งคาดผลการดำเนินงาน 3Q68 จะยังเติบโตดีทั้ง QoQ และ YoY และเราแนะนำ Outperform จากแนวโน้มธุรกิจดีและราคาหุ้นยังมี Upside ได้แก่ ADVANC BCP KTB LHSC OR PTT TRUE
2. หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง โดยเราคาด กนง. จะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายปีนี้อีก 1 ครั้งในเดือน ธ.ค. และปีหน้า 2 ครั้งในช่วง 1H69 อาทิ หุ้นที่จะมีต้นทุนการเงินลดลง เพราะมีภาระหนี้สินซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูง แนะนำ CENTEL GPSC TRUE และหุ้นที่จะมีต้นทุนการดำเนินการลดลง หรือ กำลังซื้อผู้บริโภคดีขึ้น แนะนำ AP MTC TIDLOR
3. Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์ค่าเงินบาทอ่อนค่าในช่วงที่ผ่านมา แนะนำ TU GFPT KCE HANA 2) หุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากสงครามการค้าจีน-สหรัฐมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้น แนะนำ WHA AMATA FTREIT และ 3) หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากกำลังซื้อที่จะดีขึ้น จากรัฐผลักดันนโยบายสร้างรายได้ ลดค่าครองชีพ แนะนำ CPALL CPAXT และ BJC

Daily Top Picks
ERW: มีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากโมเมนตัมกำไรที่จะปรับตัวดีขึ้น QoQ โดยแม้ 3Q68 คาดกําไรปกติ 70 ลบ. ลดลง 44%YoY แต่จะเพิ่มขึ้น 13%QoQ ซึ่งยืนยันว่า 2Q68 เป็นจุดตํ่าสุดและคาด 4Q68 กำไรปกติจะเร่งตัวขึ้น QoQ จากไฮซีซั่นและมาตรการท่องเที่ยวรัฐหนุน เป้าหมายระยะสั้น 2.70 บาท

TOP: มีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นแรงและแนวโน้มผลประกอบการที่ดีขึ้น 3Q68 คาดมีกำไรสุทธิ 2.1 พันลบ. จากกำไรสต๊อกและกำไรพิเศษจากการซื้อคืนหุ้นกู้สกุลดอลลาร์ ส่วน 4Q68 คาดกำไรจะเพิ่มขึ้นต่อ QoQ จาก CDU-3 กลับมาเดินเครื่อง วันนี้แนะนำซื้อเก็งกำไรไม่เกิน 36.75 บาท และเป้าหมายระยะสั้น 37.50 บาท