ภาพตลาดและแนวโน้ม Market wrap & Outlook
แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ Sentiment ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และไทยปรับตัวลงแรง
KEY FINDINGS:
สหรัฐฯ: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงขายหลังจากปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า ความร้อนแรงของตลาดเริ่มสะท้อนสัญญาณระมัดระวังจากนักลงทุนชัดเจนขึ้น โดยเครื่องชี้วัดภาวะอารมณ์ตลาด (Sentiment Indicators) ต่างส่งสัญญาณถดถอยอย่างพร้อมเพรียง ดัชนี Fear & Greed Index ลดลงจากโซน Neutral สู่โซน Fear เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 5 เดือน ขณะที่ผลสำรวจ AAII แสดงให้เห็นมุมมองเชิงลบที่เพิ่มขึ้น สะท้อนว่าตลาดกำลังเข้าสู่ช่วงพักฐานหลังแรงซื้อเริ่มอ่อนแรง
ไทย: ดัชนี SET ปรับตัวลง 1.7% จากสัปดาห์ก่อนหน้า สะท้อนแรงขายที่กลับมากดดันตลาดอีกครั้ง ขณะที่มาตรวัด BLS Greed & Fear Barometer ปรับตัวลดลงจากโซน Greed กลับเข้าสู่โซน Neutral เป็นครั้งแรกในรอบ 5 สัปดาห์ บ่งชี้ภาวะจิตวิทยานักลงทุนที่เริ่มระมัดระวังมากขึ้น แรงกดดันหลักมาจากการแย่ลงของแทบทุกองค์ประกอบ โดยเฉพาะความผันผวนของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน
US MARKET SENTIMENT TRACKER:
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลง 1.2% นับจากสัปดาห์ก่อนหน้า จากความกังวลในสงครามการค้าระลอกใหม่ระหว่างสหรัฐฯกับจีน ขณะที่ความคาดหวังในการลดดอกเบี้ยของเฟด ความเชื่อมั่นในกระแส AI และผลประกอบการหุ้นกลุ่มธนาคารที่ทยอยประกาศออกมาได้ช่วยประคองตลาดไว้ได้บ้าง เครื่องมือชี้วัด Sentiment ส่งสัญญาณแย่ลง—CNN Fear & Greed Index ปรับตัวลดลงแรงจาก 52 จุดเหลือ 30 จุด ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจากโซน Neutral สู่โซน Fear ซึ่งถือเป็นการเข้าสู่โซน Fear เป็นครั้งแรกในรอบมากกว่า 5 เดือน ฉุดจากหลายองค์ประกอยย่อย อาทิ Market Momentum ที่อ่อนแอลง Stock Price Breadth ที่ปรับตัวลง ความผันผวนที่พุ่งสูงขึ้น ขณะที่ Put to Call Ratio ก็ปรับตัวขึ้น สะท้อนว่าตลาดป้องกันความเสี่ยงจากทิศทางขาลงของดัชนีเพิ่มมากขึ้น
ส่วนผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนของ AAII สะท้อนถึงมุมมองเชิงลบต่อตลาดในช่วง 6 เดือนข้างหน้าที่เพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนมีมุมมองฝั่ง Bearish เพิ่มขึ้นจาก 35.6% เป็น 46.1% (และยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 31.0%) ขณะที่มุมมฝั่ง Bullish ลดลงจาก 45.9% เหลือ 33.7% (และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 37.5%) ส่งผลให้ Bull-Bear Spread ปรับลดลงจาก 10.2% สู่ระดับ -12.4% ซึ่งกลับมาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 6.5% อีกครั้ง หลังจากดีดตัวสูงกว่าค่าเฉลี่ยได้เพียงสัปดาห์เดียว ส่วนผลสำรวจพิเศษของ AAII ในสัปดาห์นี้สอบถามว่าผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าระดับมูลค่าหุ้นส่วนใหญ่ ณ ปัจจุบันเป็นอย่างไร พบว่า 55% ตอบว่าแพงเกินไป, 28% ตอบว่าผสมผสานโดยมีทั้งหุ้นที่ถูกและแพง, 10% ตอบว่าเหมาะสมแล้ว, 6% ตอบว่าถูกเกินไป และ 1% ไม่มีความเห็น
THAI MARKET SENTIMENT TRACKER:
ในส่วนของตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET ปรับตัวลง 1.7% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่มาตรวัด BLS Greed & Fear Barometer กลับมาปรับตัวลงอีกครั้งหนึ่ง โดยมาตรวัดลดลงจาก 66 คะแนน เหลือ 51 คะแนน ซึ่งเป็นการออกจากโซน Greed เข้าสู่โซน Neutral ฉุดจากการปรับตัวแย่ลงของเกือบทุกองค์ประกอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผันผวนของตลาดที่พุ่งสูงขึ้น ดัชนี Momentum Strength ที่ปรับตัวลงจาก 18.2 จุดเหลือ 8.7 จุด และ Market Breadth ที่ปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สาม อย่างไรก็ตามดัชนี Volume Index ยังคงปรับตัวขึ้นได้เล็กน้อย
IMPLICATION:
การปรับตัวแย่ลงของ Sentiment ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ สะท้อนถึงความเปราะบางของตลาดท่ามกลางดัชนีที่ปรับตัวขึ้นมาจนโมเมนตัมอยู่ในโซนตึงตัว ขณะที่ความผันผวนที่พุ่งสูงขึ้นมากในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งนี้สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ยกระดับขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ประกอบกับการเข้าสู่ฤดูประกาศผลประกอบการ จะเป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อทิศทางตลาดในช่วงหลายสัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มที่ดัชนี S&P500 น่าจะแกว่งตัวผันผวนต่อไปในระยะสั้น
สำหรับตลาดหุ้นไทย สัญญาณจาก BLS Greed & Fear Barometer ปรับตัวแย่ลงเช่นกัน ฉุดจากการปรับตัวแย่ลงของเกือบทุกองค์ประกอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผันผวนของตลาดที่พุ่งสูงขึ้น ดัชนี Momentum Strength และ Market Breadth ที่อ่อนแอลง และยังมีโอกาสปรับลงได้อีก นอกจากนี้ แม้ว่า Volume Index จะยังคงปรับตัวขึ้นได้เล็กน้อยในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ระดับล่าสุดถือว่าเข้าใกล้โซนกรอบบนแล้ว ภาพรวมดังกล่าวสะท้อนว่าตลาดอยู่ในภาวะเปราะบางต่อแรงขาย และแรงรีบาวด์ของดัชนี SET มีแนวโน้มจำกัดในระยะสั้น
สรุปภาพตลาดวานนี้ หุ้นไทยยังประคองตัววานนี้ โดยใช้ DELTA GULF THAI ยันตลาดไว้ และเห็นการปรับตัวขึ้นของ CPALL BH BDMS AWC ITC สู้กับแรงขาย PTT AOT BBL TRUE ADVANC เป็นต้น นอกจากนี้ พบหุ้นซิ่งเล่นรีบาวด์ เช่น PSG EASTW DOD NCAP เป็นต้น
แนวโน้มตลาดวันนี้ Rotations
คาดการหมุนกลุ่มหุ้นเล่นยังคงเป็นภาพหลัก ในระหว่างที่ตลาดหุ้นไทยพักฐานออกด้านข้าง เพื่อรอการหาข้อยุติสงครามการค้าจีน สหรัฐฯ รอบใหม่ ก่อนเส้นตาย 10 พ.ย. นี้ โดยเราคาดว่าหุ้น ธนาคาร การเงิน และ โรงไฟฟ้า ยังมีแนวโน้มโดดเด่นกว่าหุ้นเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก ในระหว่างตลาดพักฐานและ SET ยังไม่หลุดกรอบล่าง 1,250 จุด
โดยกลุ่มที่หมุนขึ้นเมื่อวาน และยังแข็งกว่าตลาดส่วนใหญ่ กระจุกในกลุ่ม ธนาคาร โรงไฟฟ้า และเสริมด้วย รพ. เช่น BH BDMS PR9
วันนี้คาดตลาดหุ้นไทยยังคงแกว่งออกข้าง กรอบ 1280-1299 จุด ท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมในระยะสั้นที่ยังไม่มีประเด็น บวกลบใหม่ คาดราคาหุ้นรายตัว จะวิ่ง ขึ้นลงสลับตัว ตามคาดการณ์แนวโน้มกำไรที่จะเริ่ม Preview ในช่วงนี้ เช่น เมื่อวาน BLS Research ปรับลดคำแนะนำ และมุมมอง หุ้นปศุสัตว์ เช่น BTG ลง และคงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้น โรงพยาบาล เช่น PR9
หุ้นแนะนำสำหรับซื้อดักประเด็นหุ้นรายตัวช่วงนี้ เช่น GULF ITC PR9 KTB อิงตามรายงานมุมมองเชิงบวกจากรายงานพื้นฐาน BLS Research และการเก็งกำไรหุ้นตามสัญญาณเด่นทางเทคนิค
ส่วนหุ้นที่ควรระวัง เช่น การค้าชายแดนไทยกัมพูชา และภาวะเศรษฐกิจในกัมพูชา กระทบ CBG และหุ้นกลุ่มปศุสัตว์ แนวโน้มกำไรแย่ลงกว่าที่เคยคาด CPF BTG
ประเด็นมหภาคที่ยังต้องติดตาม อาจพลิกได้ทั้ง บวกและลบ คือ การเจรจาขยายเวลา หยุดสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ซึ่งกำลังจะถึงเส้นตายใหม่ 10 พ.ย.นี้ ดังนั้นต้องตาม การพบกันระหว่าง ปธน.สหรัฐฯ-จีน ในการประชุม APEC สิ้นเดือนนี้, ส่วนประเด็นบวกเรื่องใหม่ คือ เฟด ส่งสัญญาณครั้งแรก กำลังหาช่วงเวลาเหมาะสม ยุติมาตรการ QT ที่ดำเนินมาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา
กลยุทธ์การลงทุน กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้-รอสะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลงมาตามแนวรับ เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร
วิเคราะห์ทางเทคนิค ศุกร์สุดท้ายของสัปดาห์ เรามาประเมินทิศทาง SET week ปิดยังไงให้สวย…ลุ้นขึ้นต่อสัปดาห์หน้า! ภาพรวมดัชนีพยายามสู้บริเวณเส้น EMA โดยลงไปทำ low 1,266 จุด ท้ายที่สุดดีดกลับขึ้นมาปิด 1,291 จุด หากวันนี้ดัชนีสามารถเดินหน้าบวกต่อจะทำให้ภาพรายสัปดาห์ “เปิดต่ำ ปิดสูง” จับตาโซนต้านสำคัญ 1,300 (แนวต้านจิตวิทยา) -1,317 (previous high) มีโอกาสทดสอบได้ไม่ยาก! ส่วนเป้าหมายใหญ่รออยู่ที่ 1,330 จุด…เงื่อนไขสำคัญดัชนีห้ามลงต่ำกว่าโซนแนวรับ 1,250-1,260 จุด (EMA 50 weeks) เป็นอันขาด!
แผนเทรด: หุ้นสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกลุ่ม “Sector rotation” รอบนี้เน้นกลุ่มธนาคารโรงไฟฟ้า และสื่อสาร เป็นหลัก เพิ่มเติมหุ้นโรงพยาบาล ที่กำลังเริ่มฟื้น เริ่มมา ขณะที่ปิโตรเคมี เข้าเขตลงมากเกินไป ลุ้นดีดเด้งได้!
ไฮไลท์หุ้นเด่น: รวมพลคนรัก “Bank”/ แผนแก้มือ เมื่อหุ้นปิโตร “PTTGC & IVL” / AOT กลับมาลุยใหม่ / GULF ทรงสามเหลี่ยม….ขาขึ้น/ CENTEL: Throw back ภายหลังทะลุ EMA 200 วัน สำเร็จ!….
What to watch
ครม.เศรษฐกิจ เคาะแพคเกจกระตุ้นท่องเที่ยว ลดหย่อนภาษี-เร่งภาครัฐใช้งบอบรมสัมมนา 1) นำค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเดินทางท่องเที่ยวไปหักค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่เกินคนละ 20,000 บาท (ค่าใช้จ่ายใน การท่องเที่ยวเมืองหลัก จะสามารถหักเป็นค่าลดหย่อนได้ไม่เกิน 1 เท่า ขณะที่เมืองรอง จะสามารถหักเป็นค่าลดหย่อนได้ไม่เกิน 1.5 เท่า ซึ่งจะเริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.-15 ธ.ค.นี้)
หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีนโยบายให้เบิกจ่ายงบเพื่อการอบรมสัมนา ภายในเดือนม.ค.69 อย่างน้อย 60% เพื่อช่วงกระตุ้นดีมานด์ระยะสั้นในช่วงนี้
มาตรการให้ผู้ประกอบการโรงแรม-ที่พัก สามารถนำค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงพัฒนาโรงแรม-ที่พัก มาหักเป็นค่าลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 2 เท่า-โครงการ Soft Loan ดอกเบี้ยต่ำ ในการกระตุ้นให้โรงแรมรีโนเวท โดยคาดว่าจะใช้งบ ประมาณ 100,000 ล้านบาท โดยให้ธนาคารออมสินเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งจะไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน
รายงานงบการเงินไตรมาส 3/25 กลุ่มธนาคารส่วนใหญ่แจ้งงบวันอังคารหน้า
สงครามการค้า จีน สหรัฐฯ ที่ได้ข้อยุติลงชั่วคราวเมื่อเดือน พ.ค. (โดยระงับการเก็บภาษีตอบโต้กันในอัตราเลขสามหลัก) กำลังจะถึงเส้นตายใหม่ วันที่ 10 พ.ย. ซึ่งต้องเร่งหา ข้อยุติชั่วคราวครั้งใหม่ให้ทัน...
คลังอยู่ระหว่างศึกษาเกณฑ์ลดหย่อนภาษียกชุด ให้มีกรอบชัดเจน และมีเพดานต่อคนต่อปี โดยหลักๆ ติดตามในเดือน พ.ย. ซึ่งคาดว่าจะมีแนวทางเรื่องการออกมาตรการลดหย่อนใหม่ๆ ด้วย เช่น TISA เป็นต้น
นักลงทุนเทน้ำหนักเกือบ 100% ต่อคาดการณ์ที่ว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ของเฟดในปีนี้ หลังสหรัฐเผชิญภาวะปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์ รวมทั้งการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอในภาคเอกชนสหรัฐ
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 99.9% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนต.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 89.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือนธ.ค.
หุ้นแนะนำวันนี้ GULF
GULF ได้อานิสงค์จากประเด็นการใช้ไฟ DC ในสหรัฐฯ และโอกาส re-rate valuation กลับจากการประมูลในไทยรอบใหม่
แนวรับ 43 ต้าน 47 Stop loss 42
รายงานพื้นฐานวันนี้
Utilities
ปัญหาในทางปฏิบัติของ TPA
คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพิ่งเปิดรับฟังความคิดเห็นร่าง Third-Party Access (TPA) ซึ่งจะเปิดทางให้ศูนย์ Data Center สามารถทำ Direct PPA กับผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ผ่านโครงข่ายของ กฟผ. ได้
แต่ประเด็นที่อาจทำให้ท้าทายในทางปฏิบัติ คือ “Imbalance Charge” หรือค่าปรับกรณีที่ไฟฟ้าที่ผลิตไม่ตรงกับไฟที่ใช้จริง โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
• ผลิตเท่าที่ใช้ → ไม่มีค่าปรับ
• ผลิตเกินการใช้ → ไม่มีค่าปรับ แต่ไฟส่วนเกินต้องส่งเข้าระบบโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน
• ผลิตน้อยกว่าที่ใช้ → ต้องซื้อไฟส่วนขาดจากระบบในอัตราค่าไฟปลีกปกติ
• หากผลิตขาดเกิน 2% → อาจถูกเรียกเก็บสูงสุดถึง 2 เท่าของอัตราค่าไฟปลีก
• การคิดค่าปรับทุก 15 นาทีนี้สร้างภาระต่อผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนอย่างโซลาร์ และลม ที่ไม่สามารถคาดการณ์ปริมาณการผลิตล่วงหน้าได้
ในมุมมองของเรา หากรัฐบาลต้องการให้ TPA สามารถใช้งานได้จริง อาจต้องผลักดันให้เกิด “Balancing Market” ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้มีตลาดซื้อขายไฟฟ้าส่วนเกิน ช่วยเฉลี่ยความเสี่ยงระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟ
นอกเหนือจากการทำ Direct PPA แล้ว การแก้คอขวดด้านระบบสายส่งในพื้นที่ EEC ยังสามารถทำได้ผ่านสองแนวทางหลัก ได้แก่
• การเพิ่มโรงไฟฟ้า IPP ใหม่ในพื้นที่ EEC
• การเร่งอัปเกรดระบบสายส่งทั่วประเทศ
โดยกลุ่มโรงไฟฟ้าหลักใน EEC อย่าง GULF และ GPSC มีความพร้อมสูงหากมีการเพิ่ม IPP ในรอบ PDP ถัดไป ขณะที่ GUNKUL จะได้อานิสงส์จากการเร่งอัปเกรดสายส่งทั่วประเทศ ส่วน BGRIM และ WHAUP ซึ่งมี SPP อยู่ในนิคมอุตสาหกรรม จะได้ประโยชน์จากความสามารถในการทำ Direct PPA กับ Data Center โดยไม่ต้องผ่าน TPA
Construction Materials
เติบโตต่อเนื่องถึงปี 2026 พร้อมอัพไซด์จากโครงการขนาดใหญ่
ตลาดวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะปูนซีเมนต์ในไทยและประเทศหลักของอาเซียน มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา และเราคาดว่าความต้องการจะขยายตัวต่อไปจนถึงปี 2026 โดยมีอัพไซด์จากการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ
แนวโน้มเศรษฐกิจของไทยและประเทศหลักที่ผู้ประกอบการอย่าง SCC และ SCCC ดำเนินธุรกิจอยู่ยังคงแข็งแกร่งตลอดช่วงปี 2025–2026 ซึ่งจะเป็นแรงหนุนต่อความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างในภูมิภาค โดยคาดว่าปริมาณความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในปีหน้าจะเติบโตต่อเนื่อง YoY ขณะที่ราคาขายในประเทศมีแนวโน้มปรับขึ้นอีกในปี 2026 จากทั้งดีมานด์ใน
ประเทศและภาวะต้นทุนที่สูงขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ดี เรามองว่าต้นทุนพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจะไม่กระทบต่ออัตรากำไรอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากรายได้ที่ขยายตัวจะชดเชยได้
Fundamental view: เราจึงคงมุมมอง “เท่ากับตลาด” ต่อกลุ่มวัสดุก่อสร้าง โดยให้ SCC เป็นหุ้นเด่นจากโครงสร้างธุรกิจที่หลากหลายและโอกาสรับอานิสงส์จากโครงการโครงสร้างพื้นฐานใหม่ในประเทศ
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน