Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

98

 

 

ภาพตลาดและแนวโน้ม Market wrap & Outlook

แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ อัปเดต Sentiment การลงทุนในภูมิภาคจาก Fund Flow


กระแสเงินลงทุนยังไหลเข้าภูมิภาค แต่แรงซื้อชะลอลง

Key Findings: นักลงทุนต่างชาติยังซื้อหุ้นในภูมิภาค แต่แรงซื้อชะลอลง
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติยังไหลเข้าภูมิภาคต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง แต่แรงซื้อชะลอลงเหลือ 809 ล้านดอลลาร์ จาก 5,018 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ก่อนหน้า โดยแรงซื้อขายรายประเทศค่อนข้างมิกซ์ ตลาดที่มีแรงซื้อเข้ามาได้แก่ เกาหลีใต้ (913 ล้านดอลลาร์) และ อินโดนีเซีย (194 ล้านดอลลาร์) ส่วนตลาดที่เผชิญแรงขายได้แก่ ไต้หวัน (-205 ล้านดอลลาร์) ไทย (-77 ล้านดอลลาร์) และฟิลิปปินส์ (-16 ล้านดอลลาร์) ทั้งนี้ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการ 4 วัน ตั้งแต่วันจันทร์-พฤหัสบดี ในสัปดาห์ที่ผ่านมา

Sector เด่นของภูมิภาคในสัปดาห์ที่ผ่านมา: กลุ่มพลังงาน
ในเชิงหมวดอุตสาหกรรม สัญญาณจากดัชนี Volume Index ของแต่ละตลาดสะท้อนแรงซื้อที่โดดเด่นกลุ่มพลังงาน ซึ่งเกิดสัญญาณในตลาดหุ้นอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์

Implications:
การที่เม็ดเงินลงทุนในภูมิภาคชะลอลงหลังจากที่มีแรงซื้อสะสมมามากในช่วงก่อนหน้านี้ สะท้อนถึงโมเมนตัมของตลาดที่อาจอ่อนแอลงชั่วคราว ในขณะที่มีความเสี่ยงใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในตลาดได้แก่ความขัดแย้งระลอกใหม่ระหว่างสหรัฐฯกับจีน อาจส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนมีความผันผวนและพลิกกลับเป็นไหลออกจากภูมิภาคได้ โดย Volume Index หุ้นกลุ่ม Semiconductor ของตลาดเกาหลีใต้และไต้หวันมีโอกาสปรับตัวลง หลังจากที่ยืนในโซน Overbought ต่อเนื่องมากว่า 15 สัปดาห์ เนื่องจากเป็นเซคเตอร์ที่ได้อาจได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งของสองประเทศมหาอำนาจดังกล่าว
สำหรับตลาดหุ้นไทย ดัชนี Volume Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ดัชนีดังกล่าวได้ขยับเข้าใกล้เขต Overbought ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดอาจเผชิญแรงขายทำกำไรและเข้าสู่ช่วงพักฐานในระยะสั้น ขณะเดียวกัน กลุ่มสื่อสารมีแนวโน้มเคลื่อนไหวได้โดดเด่นกว่ากลุ่มอื่น โดยได้รับแรงหนุนจากระดับการแข่งขันที่ผ่อนคลายกว่าที่คาด และลักษณะของกลุ่มที่มีความเป็น defensive ทำให้อาจได้รับความสนใจจากตลาดในภาวะที่มีความผันผวนสูงขึ้น

อัปเดต Market-Timing Indicator ของตลาดหุ้นไทย:

Key Findings:
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง 0.9% ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา และคาดว่าจะยังคงอยู่ในช่วงการพักฐานต่อไปในระยะสั้น โดยแม้ว่าดัชนี Composite Short-term จะแข็งแกร่งขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่มีแนวโน้มจะกลับมาอ่อนตัวลงในไม่ช้า เนื่องจากถูกกดดันจากดัชนีชี้นำอย่าง Short-term Market Breadth ที่ส่งสัญญาณอ่อนแรงลงอย่างชัดเจน

ในภาพระยะกลาง แม้ดัชนี Composite Medium-term จะขยับขึ้นเล็กน้อย โดยได้รับแรงหนุนจากดัชนีโมเมนตัมและวอลุ่ม อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนี Medium-term Bull-to-Bear และ Volume Flow เริ่มเข้าใกล้ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) ประกอบกับดัชนี Medium-term Market Breath ที่อ่อนแอลง ล้วนเป็นสัญญาณยืนยันว่าดัชนี SET ยังอยู่ในช่วงพักฐาน


Implication
การพักฐานของตลาดในรอบนี้ยังมีแนวโน้มดำเนินต่อไปจนกว่าจะเห็นสัญญาณฟื้นตัวจาก Breadth และ Momentum ที่สอดคล้องกันในหลายมิติ เรามองว่าการดีดตัวระยะสั้นยังเป็นเพียง technical rebound มากกว่าการเปลี่ยนแนวโน้มหลัก นักลงทุนจึงควรรักษาสภาพคล่องไว้บางส่วน ขณะที่การเข้าซื้อเชิงรุกควรรอจังหวะที่ดัชนี Breadth เริ่มกลับตัวขึ้นอย่างชัดเจนก่อน

สรุปภาพตลาดวานนี้
SET ล่วงแรงตามคาด กดดันจาก THAI GULF AOT PTTEP PTT CPALL CPAXT SCC KTB KTC (เรียงกระจายหลายกลุ่มใหญ่) จะมีแต่ DELTA ที่ช่วยดันไว้เป็นหลัก ขณะที่หุ้นใหญ่อื่นๆ บางตัวบวกบ้างอย่าง ADVANC BBL TU

แนวโน้มตลาดวันนี้
ยังต้องระมัดระวัง
นักลงทุนหลายคนคงคิดว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับฐานสะท้อนข่าว วิตกสงครามการค้า จีน สหรัฐฯ รอบใหม่ไปเมื่อวาน ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นภูมิภาคในวันที่ตลาดหุ้นไทยหยุดไป 1 วัน...

แต่ที่น่าสังเกต คือ หุ้นที่ลงแรงกว่าตลาดกลับไม่ใช่หุ้นที่มีแนวโน้มกระทบโดยตรงจาก สงครามการค้า เช่น DELTA HANA TOP SCC IVL ฯลฯ แต่กลายเป็นหุ้นภาคบริการ เช่น โรงแรมท่องเที่ยว การบิน AOT MINT CENTEL THAI โรงไฟฟ้าอย่าง GULF หุ้นบริโภค CPALL KTC ขนส่งฯ BTS BEM

เราอนุมานว่าหุ้นไทยที่ลงรอบนี้ เป็นเรื่องการของปรับฐานตามรอบที่ควรจะเห็นแรงขายทำกำไรเพิ่มขึ้นเมื่อแนวโน้มเปลี่ยนแปลง และ อาจไม่ได้เชื่อมโยงโดยตรงกับประเด็น สงครามการค้าอย่างที่ตลาดหุ้นภูมิภาคลงเพราะเรื่องนี้

ดังนั้นกรอบระยะสัปดาห์ เราคงคาดดัชนีฯจะปรับฐานลงมาโซน 1,250 จุด และเพิ่มความระมัดระวัง กำเงินสดไว้รอรับล่าง

โดยคาดว่าเมื่อตลาดปรับฐานลงมาตามที่เราประเมิน กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะปรับขึ้นได้ดีกว่าตลาดรอบนี้ คาด ธนาคาร เป็นกลุ่มแรก (จับตารายงานงบการเงินแบงก์ที่เหลือ ล่าสุด TISCO กำไรดีตามคาด) และรอดูแนวโน้มราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เป็นกลุ่มถัดไป โดยกลยุทธ์หลักตอนนี้ คือรอช้อนซื้อ และเลือกถือหุ้นบางตัวที่เรา เน้นน้ำหนักไปที่ หุ้นรายตัวที่ส่งมอบกำไรได้ดี ในจังหวะที่มูลค่ายังไม่ค่อยแพง และมีปัจจัยหนุนแนวโน้มกำไรในระยะสั้น ตามที่เราระบุไว้ในรายงานกลยุทธ์ประจำสัปดาห์

กลยุทธ์การลงทุน กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้-รอสะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลงมาตามแนวรับ เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร

วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET ทิ้งดิ่ง! ฉุดโดยหุ้น THAI (-7.3%) GULF (-3.3%) AOT (-3%) PTTEP (-3.5%) PTT (-1.5%) และอื่นๆ ทำให้ดัชนีปรับฐานลงทดสอบเส้น EMA 50 วัน เข้าใกล้เส้น EMA 200 วัน 1,250 จุด ตรงกับตัวเลข Fibonacci retracement 23.6% โซนรับนี้ ห้ามหลุดเป็นอันขาด! ส่วนแนวโน้มตลาดระยะสั้นคาดเป็นสัญญาณปรับฐานย่อย พักตัวชั่วคราว ถ้าจะรักษาโมเมนตัมขาขึ้นเอาไว้ ต้องรีบฟื้นตัวกลับไปให้ได้โดยเร็ว แผนปิดความเสี่ยง “หากผิดทางหลุดแนวรับ หลุดจุดคัทแนะขาย ลดพอร์ต“

ไฮไลท์หุ้นเด่น: PTTEP “Head & Shoulder Top”/ SCC แนะแผน “Short against port”/ BDMS สู้ที่ low “Double bottom”/ GULF ลุ้นเด้งโซนรับ/ TRUE หมุนมากลุ่มปลอดภัยสื่อสาร…..

 


What to watch
ต่างชาติเที่ยวไทยแผ่ว!!
ทุกตลาดชะลอหลังหมดช่วงหยุดยาวในหลายประเทศน.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (6-12 ต.ค.) นักท่องเที่ยวชะลอตัวด้านการเดินทางในทุกกลุ่มตลาด ทั้งนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) และนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) จากการสิ้นสุดการเดินทางในช่วงวันหยุดต่อเนื่องในหลายประเทศ อาทิ จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย ซึ่งถือเป็นแนวโน้มปกติของการเดินทาง ส่งผลให้ภาพรวมในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 522,169 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 82,429 คน หรือ 13.63%


รายงานงบการเงินไตรมาส 3/25 กลุ่มธนาคารส่วนใหญ่แจ้งงบวันอังคารหน้า

จีนเตือนว่าจะใช้มาตรการตอบโต้ หากสหรัฐอเมริกาเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมในอัตรา 100% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 พ.ย.
ก่อนหน้านั้น (เมื่อวันพฤหัสบดี 9 ตค.) จีนได้เพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการส่งออกแร่หายาก โดยให้รวมไปถึงการส่งออกเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งยังได้เพิ่มโฮลเมียม และแร่หายากอีกสี่ชนิด เข้าในรายการที่ต้องมีใบอนุญาตส่งออก ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. นอกเหนือจากเจ็ดชนิดที่ประกาศไปแล้วเมื่อเดือนเม.ย.

กระทรวงพาณิชย์จีนยืนยันว่า จีนไม่ได้ใช้มาตรการ "ห้ามการส่งออก" แต่เน้นย้ำว่าข้อจำกัดใหม่นี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการนำแร่หายากไปใช้ทางทหาร พร้อมเสริมว่า จีนจะอนุมัติใบอนุญาตที่ผ่านเกณฑ์ และจะเร่งรัดการเจรจากับประเทศอื่น ๆ เกี่ยวกับการควบคุมการส่งออก เพื่อ "รักษาความมั่นคงและเสถียรภาพของห่วงโซ่อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกให้ดียิ่งขึ้น"

ทั้งนี้ สองประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ยุติสงครามการค้าลงชั่วคราวในเดือนพ.ค. โดยระงับการเก็บภาษีตอบโต้กันในอัตราเลขสามหลัก ก่อนจะมีการขยายการสงบศึกภาษีออกไปจนถึงวันที่ 10 พย.

คลังอยู่ระหว่างศึกษาเกณฑ์ลดหย่อนภาษียกชุด ให้มีกรอบชัดเจน และมีเพดานต่อคนต่อปี โดยหลักๆ ติดตามในเดือน พ.ย. ซึ่งคาดว่าจะมีแนวทางเรื่องการออกมาตรการลดหย่อนใหม่ๆ ด้วย เช่น TISA เป็นต้น

นักลงทุนเทน้ำหนักเกือบ 100% ต่อคาดการณ์ที่ว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ของเฟดในปีนี้ หลังสหรัฐเผชิญภาวะปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์ รวมทั้งการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอในภาคเอกชนสหรัฐ

FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 99.9% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนต.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 89.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือนธ.ค.

หุ้นแนะนำวันนี้
GULF
GULF ได้อานิสงค์จากประเด็นการใช้ไฟ DC ในสหรัฐฯ และโอกาส re-rate valuation กลับจากการประมูลในไทยรอบใหม่
แนวรับ 43 ต้าน 45 Stop loss 42

 


รายงานพื้นฐานวันนี้

Quantitative Strategy
ดัชนี Composite Short-term มีแนวโน้มปรับตัวลง...SET ยังคงอยู่ในช่วงพักฐาน
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง 0.9% ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากเข้าใกล้ฤดูประกาศผลประกอบการบริษัท เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะยังคงอยู่ในช่วงการพักฐานในระยะอันใกล้ ทั้งนี้ ดัชนี Composite Short-term มีแนวโน้มอ่อนแอลงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เนื่องจากทั้งดัชนี Short-term Bull-to-Bear และ Momentum Strength มีแนวโน้มปรับตัวลง จาก Short-term Market Breadth ที่อ่อนแอลง ซึ่งเป็นดัชนีชี้นำสำคัญที่กำลังอยู่ในแนวโน้มขาลง และส่งสัญญาณว่าโมเมนตัมของตลาดในระยะสั้นอาจเริ่มชะลอตัวลง ขณะที่ดัชนี Composite Medium-term ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หนุนจากทุกองค์ประกอบโดยทุกองค์ประกอบย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งดัชนี Medium-term Bull-to-Bear และ Volume Flow อย่างไรก็ตามทั้งสองดัชนีดังกล่าวได้เข้าใกล้กรอบบนแล้ว ซึ่งยืนยันมุมมองของเราว่า SET Index มีแนวโน้มอยู่ในช่วงการพักฐานโดยมีอัพไซด์จำกัด เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มแกว่งตัวในช่วง 1250-1320 จุด ในช่วงวันที่ 14-26 ต.ค.

Wealth Insight
Vietnam’s Next Stage — โมเมนตัมเศรษฐกิจมหภาคและการยกระดับตลาดทุน
เศรษฐกิจเวียดนาม 3Q25 โตเร่งขึ้นที่ 8.23% YoY (จาก 8.19% YoY ใน 2Q25) และยังโตแข็งแกร่งในทุกมิติ โดยเฉพาะเครื่องยนต์หลักอย่างภาคส่งออกที่ยังสามารถเติบโตและส่งผ่านไปยังภาคการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเติบโตสอดคล้องกัน แม้จะเผชิญกับแรงกดดันจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ก็ตาม เราจึงคาดว่า GDP เวียดนามปี 2025 โตได้มากกว่า 7.3% YoY ซึ่งเป็นอัตราที่เร่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2024 ที่ขยายตัวได้ 7.09% YoY สูงสุดในภูมิภาคอีกครั้ง

ภาคส่งออกของเวียดนามได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ น้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ในเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายน 2025 ที่ยังคงขยายตัวได้ 14.5% YoY และ 24.7% YoY ตามลำดับ ส่วนการบริโภคในประเทศฟื้นตัวได้ดี สะท้อนจากยอดค้าปลีกที่เติบโตดีต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวขยายตัวได้สูงถึง 21.5% YoY (YTD) และมีสัดส่วนกว่า 119.9% เมื่อเทียบกับก่อนวิกฤตโควิด-19

ด้วยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ยังอยู่ 3.3% ใน 3Q25 ต่ำกว่ากรอบบนของอัตราเงินเฟ้อเป้าหมาย ประกอบกับเศรษฐกิจเวียดนามที่ยังเติบโต น่าจะเอื้อต่อการคงทิศทางนโยบายการเงิน โดยคาดว่า SBV น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 3.0% ต่อไปอีกระยะแม้สภาพคล่องในระบบธนาคารยังตึงตัวอยู่บ้าง
การลงทุนโดยรวมก็ได้แรงเสริมทั้งจากการลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐ และเม็ดเงินลงทุน FDI ขณะเดียวกันปัจจัยเชิงโครงสร้างอย่างการประกาศอัปเกรดตลาดหุ้นสู่กลุ่มตลาดเกิดใหม่ระดับรอง (Secondary Emerging Markets) ของ FTSE Russell

Implications: ภาคส่งออกของเวียดนามได้รับผลกระทบน้อยกว่าคาด สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเวียดนามในห่วงโซ่อุปทานการผลิตสินค้าสำคัญ และการบริหารต้นทุนสินค้าที่มียืดหยุ่น ในระยะสั้น แม้ภาพรวมยังหนุนมุมมองเชิงบวก แต่ในระยะกลางถึงยาวต้องระวังแรงกดดันจากภาษีสหรัฐฯ ที่อาจลดทอนความสามารถในการทำกำไรของสินค้าส่งออก

นักลงทุนจึงควรต้องติดตามปัจจัยชี้นำทางเศรษฐกิจ เช่น คำสั่งซื้อสินค้าใหม่ ภาวะการผลิต การลงทุน แรงส่งการบริโภคจริงภายในประเทศ เพื่อประเมินความยืนระยะของ “Growth engine” ของเวียดนามต่อ


Commodities Tracker
ส่วนต่างปิโตรเคมีกลับมาฟื้นแรงสุด
ภาพรวม: สัปดาห์ที่ผ่านมา สเปรดเคมีภัณฑ์ ปรับตัวขึ้นแรงที่สุดเมื่อเทียบกับหมวดอื่น ตามด้วย ค่าการกลั่น (crack spreads)
น้ำมันดิบ: ราคาดูไบเฉลี่ยลดลงอีก 1.33 ดอลลาร์ WoW เหลือ 65.69 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังตลาดคลายกังวลความเสี่ยงด้านอุปทานจากข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล–ฮามาส
ค่าการกลั่น: Crack spreads ปรับขึ้นต่อเนื่องจากดีมานด์ในภูมิภาคที่แข็งแกร่งและอุปทานที่ตึงตัวจากการปิดซ่อมโรงกลั่นในเอเชีย โดยสเปรดน้ำมันเบนซินขยาย +1.42 ดอลลาร์ WoW เป็น 13.55 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันเครื่องบินและดีเซลเพิ่มขึ้น +0.21 และ +0.41 ดอลลาร์/บาร์เรล สู่ระดับ 20.89 และ 22.17 ดอลลาร์/บาร์เรล ตามลำดับ ส่วนน้ำมันเตาขยับขึ้นเล็กน้อยเป็น -3.80 ดอลลาร์/บาร์เรล
เคมีภัณฑ์: ราคาสินค้าเคมีทรงตัว แต่สเปรดส่วนใหญ่ขยายตัวตามต้นทุนนาฟทาที่ลดลง โดย Propylene เพิ่ม +4 ดอลลาร์ สู่ 168 ดอลลาร์/ตัน, HDPE เพิ่ม +4 ดอลลาร์ สู่ 333 ดอลลาร์/ตัน และ PP เพิ่ม +4 ดอลลาร์ สู่ 323 ดอลลาร์/ตัน ส่วน Ethylene ลดลง -16 ดอลลาร์ เหลือ 168 ดอลลาร์/ตัน
ถ่านหิน: ดัชนี Newcastle (NEX) ลดลงเล็กน้อย -0.28 ดอลลาร์ WoW เหลือ 104.91 ดอลลาร์/ตัน จากความต้องการซื้อในภูมิภาคที่ชะลอลง
ค่าระวางเรือ: Baltic Dry Index (BDI) ลดลง 89 จุด (-4% WoW) สู่ระดับ 1,940 จุด จากการอ่อนตัวของทุกประเภทเรือ โดย Capesize -6%, Panamax -2%, และ Supramax -3% ส่วน World Container Index ลดลง 1% WoW เหลือ 1,651 จุด
Fundamental view: เรามองว่าแนวโน้มสเปรดเคมีภัณฑ์ที่ฟื้นตัวต่อเนื่องยังหนุน sentiment ของกลุ่มปิโตรเคมี โดยเฉพาะ IVL (คาดกำไร 2H25 แข็งแรง HoH), PTTGC (สเปรดเริ่มฟื้นในปลาย 4Q25) และ TOP (ค่าการกลั่นยังทรงตัวสูงและ Valuation ยังถูก) เป็นหุ้นเด่นประจำสัปดาห์
ขณะที่กลุ่มเดินเรือ อาจมีโอกาสเก็งกำไรระยะสั้นจากฤดูกาลขนส่งธัญพืชในอเมริกาใต้และกิจกรรมการค้าเพิ่มขึ้นจากความตึงเครียดทางการค้า

 

 

BDMS
กรุงเทพดุสิตเวชการ
ผู้ป่วยต่างชาติยังคงกดดัน
เราคาดว่ากำไรสุทธิของ BDMS ใน 3Q25 จะไม่เป็น High season เหมือนปีอื่นๆ โดยเราคาดที่ 4.0 พันล้านบาท ลดลง 5% YoY แต่เพิ่มขึ้น 16% QoQ รายได้รวมที่ 2.7 หมื่นล้านบาท ลดลง 1% YoY และเพิ่มขึ้น 4% QoQ และ EBITDA margin ที่ลดลงเล็กน้อยเหลือ 24.8% จาก 25.2% ในปีก่อน จากสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติที่ยังต่ำ
แนวโน้ม 4Q25 เราคาดว่ากำไรจะทรงตัว YoY แต่ดีขึ้น QoQ จาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1) ฤดูไข้หวัดลากเข้าสู่เดือนตุลาคม ช่วยเพิ่มปริมาณผู้ป่วยจากฐานต่ำของ 4Q24, 2) การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะจีน ที่เริ่มกลับเข้ามาอย่างค่อยเป็นค่อยไป, 3) สัดส่วนผู้ป่วยโรคซับซ้อนเพิ่มขึ้น ช่วยพยุงอัตรากำไรขั้นต้น
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงใหม่จากนโยบายควบคุมราคายาของภาครัฐ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้เสนอ 2 มาตรการใหม่ ได้แก่
1) Drug Price Regulation โดยกำหนดเพดานและบังคับเปิดเผยข้อมูลราคา เพื่อเพิ่มความโปร่งใส
2) External Drug Purchases โดยอนุญาตให้ผู้ป่วยซื้อยาที่แพทย์สั่งจากภายนอกโรงพยาบาลได้
เรามองว่า นโยบายนี้เป็นปัจจัยลบต่อ BDMS โดยตรง โดยการจำกัดราคาจะลดความยืดหยุ่นในการตั้งราคาและโอกาสขายสินค้าเสริม นอกจากนี้ การเปิดเผยราคายาอาจทำให้เกิดแรงกดดันต่อ ภาพลักษณ์ราคาพรีเมียม และอำนาจการตั้งราคาบริการในอนาคต และเป็นสัญญาณที่สะท้อนถึง แนวโน้มการเข้มงวดด้านกฎระเบียบของภาครัฐในภาคเอกชน กดดัน GM ระยะยาว

Fundamental view: เรายัง wait and see (คงคำแนะนำถือ) ค่อยหันกลับมามองหลังรายงานงบ 3Q25



รายงานผลประกอบการวันนี้

TISCO
ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (0) TISCO รายงานกำไรสุทธิ 3Q25 ที่ 1.7 พันล้านบาท (เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด) เพิ่มขึ้น 1% YoY และ 5% QoQ จากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น หลักๆ คือกำไรจากเครื่องมือทางการเงิน, รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจนายหน้าประกันภัยและธุรกิจกองทุนรวม ขณะที่สินเชื่อ ณ สิ้น 3Q25 ทรงตัว YoY แต่ปรับลดลง 2% QoQ จากการชำระคืนหนี้ของลูกค้าองค์กร

พบว่ารายได้ non-NII อยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท (สูงกว่าคาด 17% จากกำไรจากเครื่องมือทางการเงิน) เพิ่มขึ้น 32% YoY และ 26% QoQ จากกำไรจากเครื่องมือทางการเงินและรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจนายหน้าประกันภัยและกองทุนรวมเพิ่มขึ้น ขณะที่credit cost 3Q25 อยู่ที่ 1.43% สูงกว่าที่เราคาดไว้ที่ 1.0% กลบผลกระทบด้านบวก
ส่วนแนวโน้ม 4Q25 คาดกำไรจะปรับลดลง YoY และ QoQ กดดันจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง และค่าใช้จ่าย OPEX ปรับเพิ่มขึ้น QoQ อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่ากำไรสุทธิปี 2025-26 ของ TISCO จะปรับลดลง 7% YoY และ 1% YoY กดดันจากแนวโน้ม credit cost สูงขึ้น ขณะที่ valuation metrics แพงกว่ากลุ่มธนาคาร เราจึงยังไม่แนะนำตอนนี้

 

 

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

รีบาวน์ หุ้นไทย By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ หุ้นไทยเช้านี้ เทคนิคอลรีบาวน์ แนวรับที่ 1,255 จุด ยังเอาอยู่ SET เด้งกลับไปยืนเหนือ....

ลุ้นรีบาวน์ By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง วันนี้ต้องลุ้น SET จะรีบาวน์ได้หรือไม่ หลังวานนี้ ทรุด แบบเสียทรง เสียเหลี่ยม สถาบัน, ....

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอล์ค : รู้จักพื้นฐาน ATLAS เคาะราคาไอพีโอที่ 3 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อ 7-10 ตุลาคมนี้

หุ้นอินไซด์ทอล์ค : รู้จักพื้นฐาน ATLAS เคาะราคาไอพีโอที่ 3 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อ 7-10 ตุลาคมนี้

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้