Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.ทิสโก้ : ECONOMICS เศรษฐกิจไทยในเดือน ส.ค. ชะลอลงจากเดือนก่อนตามคาด

100

 

จากผลผลิตในภาคเกษตรและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอตัว ขณะที่อุปสงค์โดยรวมทั้งการบริโภค และการลงทุนค่อนข้างทรงตัวจากเดือนก่อน

ผลของมาตรการภาษีสหรัฐฯ เริ่มชัดเจนขึ้น ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดพลิกขาดดุลแล้ว มองว่าในระยะข้างหน้าผลกระทบจากภาษีทรัมป์จะเด่นชัดขึ้น ด้านธุรกิจและประชาชนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ

• การส่งออกสินค้าในเดือน ส.ค. ชะลอตัวลงเป็น 5.5% YoY จาก 9.7% เดือนก่อน ขณะที่หากไม่รวมทองคำ การส่งออกสินค้าจะชะลอตัวลงเหลือเพียง 3.0% จาก 10.9% เดือนก่อน ขณะเดียวกัน การนำเข้าสินค้าเร่งตัวขึ้นเป็น 14.7% จาก 4.5% เดือนก่อน ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าภายใต้ระบบดุลการชำระเงินที่ระดับ 0.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากที่เกินดุลกว่า 2.5 พันล้านในเดือนก่อน

• ด้านดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) หดตัวในอัตราที่มากขึ้นเป็น -4.2% YoY จาก -3.7% เดือนก่อน โดยเมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่า การผลิตในหมวดยานยนต์ (-8.0%) เครื่องใช้ไฟฟ้า (-7.0%) การก่อสร้างกับซีเมนต์ (-6.2%) อาหารและเครื่องดื่ม (-7.0%) ยางและพลาสติก (-3.1%) ล้วนปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม การผลิตในหมวดแผงวงจรและเซมิคอนดักเตอร์ (6.4%) และฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (19.2%) ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากผลของฐานที่ต่ำในปีก่อน

• รายได้เกษตรกรยังคงลดลงจากปีก่อนต่อเนื่องเป็นเดือนที่ห้า โดยปรับลดลง -11.7% YoY จาก -4.8% ในเดือนก่อน โดยหลักเป็นผลจากราคาสินค้าเกษตรที่ยังคงอ่อนแอ (-12.3% vs. -11.9% เดือนก่อน) พร้อมกับการชะลอลงของผลผลิตสินค้าเกษตร (0.6% vs. 8.1% เดือนก่อน)

• จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 2.6 ล้านรายในเดือน ส.ค. ใกล้เคียงเดือนก่อนหน้า โดยหากขจัดผลของฤดูกาล จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเร่งตัวขึ้น 2.8% MoM, sa (vs. 2.0% เดือนก่อน) ส่งผลให้รายรับนักท่องเที่ยวในรูปค่าเงินบาทปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 2.7% MoM, sa (vs. 1.1% เดือนก่อน)

• การลงทุนภาคเอกชน (PII) ขยายตัวได้ต่อเนื่อง 9.2% YoY (vs. 4.5% เดือนก่อน) ส่วนใหญ่เป็นผลจากการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ (14.0% YoY vs. 5.7% เดือนก่อน) และหมวดก่อสร้าง (4.0% vs. 2.5% เดือนก่อน) อย่างไรก็ตาม หมวดยานพาหนะ (1.2% vs. 2.7% เดือนก่อน) ยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่อง

• เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน (PCI) ยังทรงตัว โดยขยายตัวได้ 1.9% YoY จาก 2.0% เดือนก่อน จากการฟื้นตัวในการใช้จ่ายในภาคบริการที่ขยายตัวได้ 2.4% YoY (vs. 1.6% เดือนก่อน) ส่วนหนึ่งจากมาตรการเที่ยวไทยคนละครึ่งที่ช่วยสนับสนุนรายรับจากนักท่องเที่ยวไทย ขณะที่หมวดสินค้าไม่คงทนหดตัวเล็กน้อย (-0.1% vs. -0.6% เดือนก่อน) หมวดสินค้ากึ่งคงทนชะลอตัวลง (0.2% vs. 0.9% เดือนก่อน) และสินค้าคงทนปรับตัวลง (3.7% YoY vs. 5.2% เดือนก่อน)


Our view

• เศรษฐกิจไทยในเดือน ส.ค. ยังคงชะลอลงจากเดือนก่อนอย่างต่อเนื่อง โดยหลักเป็นผลจากการลดลงของผลผลิตในภาคเกษตรและการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการค้า และการขนส่งสินค้ารวมถึงภาคบริการที่เกี่ยวเนื่อง ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวในเดือนนี้ฟื้นตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยหลักจากมาตรการเที่ยวไทยคนละครึ่งของรัฐบาล ด้านการส่งออกสินค้าในระบบศุลกากร เริ่มแสดงให้เห็นถึงผลกระทบ
ของมาตรการภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ อย่างเด่นชัด โดยพบว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯ ลดลงจากเดือนก่อนหน้าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาตรการภาษีเริ่มประกาศในเดือนเมษายน ทำให้ในระยะข้างหน้ายังมีความเสี่ยงที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยการประกาศว่าจะนำมาตรการคนละครึ่งกลับมาใช้อีกครั้งส่งผลให้ความเชื่อมั่นของทั้งภาคธุรกิจและภาคประชาชนปรับดีขึ้นสำหรับมุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจในระยะ 3 เดือนข้างหน้า

• มองไปข้างหน้า เรายังคงประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ 1.9% ในปี 2025F และ 1.6% ในปี 2026F โดยประเมินว่าความเสี่ยงด้านต่ำจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงการท่องเที่ยวที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด และปัญหาข้อพิพาทชายแดนนั้นอาจใกล้เคียงกับผลบวกที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ซึ่งสะท้อนว่าความเสี่ยงต่อประมาณการเศรษฐกิจนั้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสมดุล

• โดยยังคงต้องติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงในภาคการส่งออกสินค้าอย่างใกล้ชิด เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากเป็นลำดับต้นๆ ของภูมิภาคในปีนี้ อาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ อีกทั้งยังส่งผลให้ความน่าดึงดูดของประเทศไทยในแง่ของการเดินทางมาท่องเที่ยวนั้นลดลงด้วยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่ค่าเงินนั้นอ่อนตัวลงนับตั้งแต่ต้นปีอย่างเวียดนาม และญี่ปุ่น เป็นต้น ดังนั้น การดูแลเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนให้มีความเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับปัจจับพื้นฐานด้านเศรษฐกิจ และทิศทางของประเทศในภูมิภาคจึงเป็นหนึ่งในโจทย์เร่งด่วนที่รัฐบาลใหม่ รวมถึงผู้ว่าการ ธปท. ท่านใหม่จะต้องเร่งดำเนินการ

• ดังนั้น เรายังคงมองว่านโยบายการเงินในระยะข้างหน้า ยังคงมีทิศทางที่จะผ่อนคลายได้เพิ่มเติม โดยประเมินว่า ธปท. มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงไตรมาสละ 0.25% จนถึงกลางปี 2026F จากระดับ 1.50% ในปัจจุบัน ลงไปอยู่ที่ 0.75% ซึ่งเราประเมินว่าเป็นระดับที่มีความเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันที่ศักยภาพลดลง และมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่ำกว่าศักยภาพทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางปัญหาเงินเฟ้อที่ต่ำต่อเนื่อง และสภาวะการเงินที่มีความตึงตัวเกินความจำเป็น

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

DELTA พาSETเด้ง By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เช้าวันนี้ ใครกัน ลาก กระชาก หุ้นDELTA พาSET เด้ง งานนี้ บริษัท DELTA ไม่รู้ แต่ ฝ่าย...

MMM ต้อนรับคณะนักลงทุน IAT อัปเดตแผนเสนอขายหุ้น PO 64.20 ล้านหุ้น ก่อนเทรดตลาด mai

MMM ต้อนรับคณะนักลงทุน IAT อัปเดตแผนเสนอขายหุ้น PO 64.20 ล้านหุ้น ก่อนเทรดตลาด mai

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้