Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

SCB EIC บาทแข็งค่ามากสุดในรอบ 4 ปี นำค่าเงินภูมิภาค ลดทอนความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกไทยเพิ่มเติมจากปัจจัยภาษีทรัมป์

104


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 26 กันยายน 2568)--------เงินบาทแข็งค่ามากสุดในรอบ 4 ปี นำค่าเงินภูมิภาคจาก ทั้งปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะการอ่อนค่าของ USD และปัจจัยเฉพาะภายในของไทย


นับตั้งแต่ต้นปี 2025 เงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นมากราว 8% และแข็งค่ามากสุดในรอบ 4 ปีนำค่าเงินภูมิภาค หากพิจารณาดัชนีค่าเงินบาทเปรียบเทียบค่าเงินบาทกับสกุลเงินคู่ค้าและคู่แข่ง (NEER) พบว่าปรับแข็งค่าสูงสุดตั้งแต่วิกฤติการเงินเอเชียปี 1997 สาเหตุจากหลายปัจจัย คือ (1) ดอลลาร์อ่อนค่าเร็ว : หลังประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามารับตำแหน่งสมัยที่สอง (2) ราคาทองคำเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทำ New high : ตามความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ และในฐานะ Safe asset ที่ทองคำเริ่มมีบทบาทแทนดอลลาร์สหรัฐมากขึ้น โดยความสัมพันธ์ของเงินบาทกับราคาทองคำสูงกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาคมาก (3) ปัจจัยระยะสั้น : เงินทุนไหลกลับเข้าตลาดบอนด์ไทย ขณะที่ FX Hedging เงินลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศของไทยมีสัดส่วนสูงขึ้น


เงินบาทแข็งค่ามากขึ้น กดดันภาคส่งออกไทยเพิ่มเติมจากภาษีทรัมป์

 

เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากสวนทางปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่เติบโตต่ำ บทบาทของค่าเงินบาทเปลี่ยนจาก Shock absorber ที่ควรจะช่วยลดผลกระทบจาก Shock ต่อเศรษฐกิจ กลายเป็น Shock amplifier ที่กดดันเศรษฐกิจเพิ่มเติม สถานการณ์นี้ยิ่งซ้ำเติมการส่งออกไทยซึ่งเผชิญแรงกดดันจากภาษี Reciprocal tariff ของสหรัฐฯ อยู่แล้ว แม้ไทยสามารถเจรจาอัตราภาษีสหรัฐฯ ได้ที่ 19% ใกล้เคียงคู่แข่งในภูมิภาค แต่เงินบาทที่แข็งค่านำภูมิภาคกลับทำให้ไทยเสียความสามารถในการแข่งขัน หากเปรียบเทียบกับเวียดนามและมาเลเซียที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีในอัตราใกล้กัน แต่ค่าเงินไม่ได้แข็งค่ามาก กลายเป็นแรงกดดันต่อภาคส่งออกและเศรษฐกิจไทยโดยรวม ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำและมีความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันการค้า ยิ่งทำให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศบั่นทอนลง

SCB EIC มองธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากบาทแข็ง เป็นธุรกิจที่เน้นผลิตเพื่อส่งออกและใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศสูง รวมถึงธุรกิจบริการที่พึ่งพารายได้ต่างชาติมาก


การแข็งค่าของเงินบาทส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยแตกต่างกันไปตามโครงสร้างการพึ่งพารายได้จากต่างประเทศ โดย
1. กลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเชิงลบสูง–ปานกลาง
- ธุรกิจส่งออกที่ใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศสูง เช่น เกษตรและอาหารทะเล (ยางพารา, มันสำปะหลัง และกุ้ง) สูญเสียความสามารถแข่งขันเทียบกับคู่แข่งที่ค่าเงินอ่อน และรายได้ส่งออกที่แลกกลับมาเป็นเงินบาทลดลง
- ธุรกิจท่องเที่ยว (โรงแรม และบริษัทนำเที่ยว) เสี่ยงเสียเปรียบจากนักท่องเที่ยวต่างชาติมองค่าใช้จ่ายเที่ยวไทยสูงขึ้น โดยเฉพาหากเทียบกับประเทศค่าเงินอ่อน เช่น ญี่ปุ่น

2. กลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบต่ำ
- ธุรกิจที่พึ่งพารายได้และต้นทุนจากต่างประเทศใกล้เคียงกัน เช่น อาหารแปรรูป (ทูน่ากระป๋องและอาหารสำเร็จรูป) ยานยนต์, อิเล็กทรอนิกส์, ปิโตรเคมี และบริการอย่างสายการบิน–โรงพยาบาลเอกชน แม้รายได้ส่งออกหรือรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจลดลง แต่ธุรกิจยังมีส่วนชดเชยจากต้นทุนนำเข้าที่ถูกลง และบางอุตสาหกรรมยังได้ประโยชน์จากหนี้สกุลดอลลาร์สหรัฐที่ชำระเป็นเงินบาทถูกลง
- ธุรกิจกลุ่มนี้สามารถใช้ Natural hedging หรือการปรับโครงสร้างการผลิต เพื่อลดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนในระยะยาวได้


3. กลุ่มธุรกิจที่ได้อานิสงส์เชิงบวก
- ธุรกิจที่พึ่งพาตลาดในประเทศ แต่ใช้วัตถุดิบนำเข้ามาก เช่น เหล็ก (นำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อน) ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้ประโยชน์จากต้นทุนนำเข้าที่ลดลง
- ผลบวกที่เกิดขึ้นอาจถูกลดทอนจากการแข่งขันนำเข้าที่รุนแรงขึ้น และความต้องการในประเทศที่ยังฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์
แม้ในระยะข้างหน้าเงินบาทจะแข็งค่าเพิ่มได้อีกไม่มาก แต่ความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูง แนะนำผู้ประกอบการให้ความสำคัญป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน


SCB FM ประเมินในระยะข้างหน้าเงินบาทจะแข็งค่าเพิ่มอีกไม่มาก เนื่องจากตลาดได้ Price-in ปัจจัยส่วนต่างดอกเบี้ยสหรัฐฯ-ไทยไปมากแล้ว แรงกดดันที่จะทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเพิ่มเติมมีน้อยลง นอกจากนี้ปัจจัยหนุนให้ราคาทองคำสูงขึ้นต่อเริ่มมีน้อยลง จึงทำให้อุปสงค์ทองคำอาจไม่เร่งตัวมากเท่าช่วงที่ผ่านมา แรงกดดันเงินบาทแข็งจึงอาจมีไม่มาก มองกรอบเงินบาทปลายปีนี้ที่ราว 31.50-32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

SCB FM แนะนำให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ผ่านการทำ FX Forwards และอาจพิจารณา FX Options เป็นอีกทางเลือก โดยในช่วงที่ผ่านมาความผันผวนของค่าเงิน (FX Volatility) ปรับลดลง ทำให้ต้นทุนการทำ FX Options ถูกลงไปด้วย จึงอาจเป็นจังหวะให้ผู้ประกอบการเข้าทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงค่าเงินที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้า

เงินบาทแข็งค่ามากสุดในรอบ 4 ปี นำค่าเงินภูมิภาค ดัชนีค่าเงินบาทแข็งสุดตั้งแต่วิกฤติ 1997


ตั้งแต่ต้นปี 2025 ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ (DXY) อ่อนค่ากว่า 10% (รูปที่ 1) ซึ่งโดยปกติแล้วการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐมักเป็นภาพสะท้อนไปยังค่าเงินกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ให้แข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ดี ค่าเงินกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชียกลับมีทิศทางแตกต่างกันมาก โดยค่าเงินบาทแข็งค่าแล้วกว่า 8% นับจากช่วงต้นปี 2025 และแข็งค่านำสกุลภูมิภาค เป็นรองแค่เงินดอลลาร์ไต้หวันเท่านั้น ขณะที่ค่าเงินประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียและเวียดนามกลับอ่อนค่าลง ความแตกต่างของทิศทางค่าเงินภูมิภาคนี้ อาจสะท้อนปัจจัยของแต่ละประเทศและการตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์สหรัฐที่แตกต่างกัน


เงินบาทที่แข็งนำสกุลภูมิภาคนี้สะท้อนในดัชนีค่าเงินบาท (Nominal Effective Exchange Rate : NEER) ที่แข็งขึ้นด้วย โดยดัชนี NEER ของไทยปรับแข็งค่าขึ้นใกล้เคียงในช่วงก่อนวิกฤติการเงินเอเชียในปี 1997 ที่ไทยยังตรึงค่าเงินกับดอลลาร์สหรัฐไว้ที่ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แสดงให้เห็นว่าเงินบาทสะสมการแข็งค่าเหนือสกุลคู่ค้าคู่แข่งมานานแล้ว โดยเฉพาะนับตั้งแต่ปี 2005 ซึ่งดัชนี NEER โดยรวมมีทิศทางแข็งค่าอยู่เสมอ แม้จะมีช่วงสั้น ๆ หลังวิกฤต COVID-19 ที่ดัชนี NEER อ่อนค่าตามการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ก่อนที่ดัชนี NEER จะกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงปลายปี 2024

 

เจาะ 3 สาเหตุบาทแข็งจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยเฉพาะของไทย


1. บาทแข็งจากดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า : USD อ่อนสะท้อนผลของวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง รวมถึงความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและปัจจัยสถาบันของสหรัฐฯ ที่ลดลง
โดยส่วนใหญ่แล้วการแข็งค่าของเงินบาทมักจะมีที่มาจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะทิศทางของ DXY ในปัจจุบันนโยบายการเงินสหรัฐฯ อยู่ในวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง (Easing cycle) การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ทำให้อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์สหรัฐฯ โดยเฉพาะตราสารหนี้ปรับลดลง ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากสินทรัพย์สหรัฐฯ ไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ทำให้ DXY ปรับอ่อนค่าลง วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงและการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐนี้เป็นปรากฏการณ์ปกติในตลาดการเงินโลก


อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 รัฐบาลสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินนโยบายของประเทศค่อนข้างมาก ทั้งนโยบายกีดกันทางการค้าที่มีแนวโน้มจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวและอัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้น (Stagflation) นโยบายการคลังที่ลดทอนเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ จากการปรับลดอัตราภาษีเงินได้ในประเทศ ขณะที่ภาระรายจ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมทั้งภาระดอกเบี้ยยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งความพยายามจะเข้าแทรกแซง FED ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วและแรงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีรัฐบาลสหรัฐฯ ในอดีตเคยทำมาก่อน ส่งผลให้ความเป็นอิสระของ FED ซึ่งเป็นผู้ดูแลเงินดอลลาร์สหรัฐถูกตั้งคำถามมาก ทั้งหมดนี้ส่งผลให้การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐในรอบนี้ไม่ใช่แค่การอ่อนค่าจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง แต่เป็นการอ่อนค่าจากความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและปัจจัยสถาบันของสหรัฐฯ ที่ลดทอนลงด้วย


2) บาทแข็งตามราคาทองคำที่สูงขึ้นเร็วจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ : ทองคำมีบทบาทเป็น Safe asset ของโลกมากขึ้น ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐมีบทบาทลดลง
โดยปกติราคาทองคำและดอลลาร์สหรัฐจะมีทิศทางตรงข้ามกัน เมื่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า ทองคำจะแพงขึ้นสำหรับผู้ที่ถือสกุลเงินอื่น ทำให้ความต้องการซื้อทองคำลดลงและราคาทองคำตกลง ในทางกลับกัน เมื่อดอลลาร์อ่อนค่า ทองคำจะถูกลงสำหรับผู้ที่ถือสกุลเงินอื่น ทำให้ความต้องการซื้อทองคำเพิ่มขึ้นและผลักดันให้ราคาทองคำสูงขึ้น ความสัมพันธ์แบบผกผันนี้เป็นกฎเกณฑ์ทั่วไปที่นักลงทุนใช้คาดการณ์ทิศทางของตลาดทองคำโลก

 


อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วไม่สอดคล้องกับการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ (รูปที่ 3) ส่วนหนึ่งจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้นักลงทุนและธนาคารกลางต่าง ๆ แสวงหาทางเลือกสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นอย่างทองคำ เนื่องจากมองว่าการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสินทรัพย์หลักอาจมีความเสี่ยงสูงเกินไปท่ามกลางความขัดแย้งในโลก อีกทั้ง การเข้ามาของประธานาธิบดีทรัมป์ในสมัยที่สองยิ่งเร่งแนวโน้ม "ลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ" (Dedollarization) จากความเชื่อมั่นต่อดอลลาร์สหรัฐที่ลดลง ทองคำจึงเป็น Safe asset ทดแทนการถือครองดอลลาร์สหรัฐที่สำคัญสำหรับนักลงทุนและธนาคารกลาง ยิ่งทำให้ราคาทองคำเร่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐกลับอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความสัมพันธ์แบบผกผันของราคาทองคำกับดอลลาร์สหรัฐรุนแรงขึ้นกว่าในอดีตมาก

ปัจจัยดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเร็วและราคาทองคำสูงเป็นประวัติการณ์ ยิ่งทำให้บาทแข็งเร็วและแข็งนำภูมิภาค

เมื่อสองปัจจัยหลักที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของเงินบาทเกิดขึ้นพร้อมกัน ทั้งดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าอย่างรวดเร็ว และราคาทองคำที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เงินบาทจึงแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและแข็งนำสกุลเงินภูมิภาค
เห็นได้จากความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับค่าเงินบาทที่สูงกว่าค่าเงินภูมิภาค โดยค่า Correlation ระหว่างค่าเงิน Emerging Asia กับราคาทองคำโดยทั่วไปจะอยู่ในช่วง 0.1 – 0.3 เท่านั้น อาจมีดอลลาร์สิงคโปร์ที่มีค่า Correlation สูงกว่าอยู่ที่ 0.5 เนื่องจากเป็นประเทศศูนย์กลางทางการเงิน แต่ค่า Correlation ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำกลับสูงถึง 0.7 และสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหากเทียบข้อมูลในช่วง 1 ปี, 3 ปี และ 5 ปีที่ผ่านมา ตามลำดับ (รูปที่ 4)

 

สาเหตุที่เงินบาทมักจะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผู้ค้าทองคำขายทองคำในตลาดโลกเพื่อทำกำไร และนำเงินดอลลาร์สหรัฐแลกกลับเป็นเงินบาท จึงเป็นแรงกดดันให้เงินบาทแข็งค่าเพิ่มเติม ทำให้มีกระแสการค้าทองคำนำเข้าส่งออกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์และอุปทานเงินบาทโดยตรง เมื่อราคาทองคำโลกสูงขึ้น ผู้ค้าส่งทองคำไทยมักจะขายทองคำ (ส่งออกทองคำ) ได้รับชำระเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐแล้วแลกกลับเป็นบาท ส่งผลให้บาทแข็งค่า ขณะที่นักลงทุนรายย่อยไทยซื้อขายทองคำบ่อยครั้งตามการเคลื่อนไหวของราคา ก่อให้เกิดธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราจำนวนมากในตลาดภายในประเทศ ทำให้อุปสงค์ในประเทศอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เหล่านี้เป็นพฤติกรรมการลงทุนของคนไทยที่มีทองคำเป็นส่วนหนึ่งของการออม โดยคนไทยจำนวนมากมองทองคำเป็น Safe asset ในการสะสมความมั่งคั่ง


อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ของเงินบาทกับราคาทองคำอาจไม่สามารถวิเคราะห์ได้ด้วยดุลการค้าทองคำโดยตรง เพราะจากข้อมูลในอดีตส่วนใหญ่แล้ว กลับพบว่าไทยเป็นประเทศขาดดุลทองคำ (รูปที่ 5) เนื่องจากไทยไม่ได้เป็นประเทศที่มีแหล่งแร่ทองคำมากนัก โดยจะเห็นว่าไทยมีการขาดดุลทองคำสะสมมาโดยตลอด ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาไทยขาดดุลการค้าทองคำ (นำเข้าสูงกว่าส่งออกทองคำ) กว่า 3,970 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ไม่ได้หมายความว่าเงินบาทจะต้องอ่อนค่า เหมือนการขาดดุลการนำเข้าน้ำมันดิบที่มีลักษณะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) เนื่องจากการทำธุรกรรมทองคำมีลักษณะเป็นธุรกรรมสินทรัพย์ทางการเงิน (Financial asset) ซึ่งส่วนมากเป็นการลงทุนหรือเก็งกำไร แต่ไม่ใช่การค้าทองคำในรูปแบบสินค้าเพื่อการบริโภคหรือเป็นวัตถุดิบเพื่อการผลิต


การขายทองคำจึงสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาทผ่านมูลค่าธุรกรรมการค้าทองคำเป็นหลัก ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วถึง 66.1%YOY นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำมักจะเกิดขึ้นในช่วงกลางวันของตลาดการเงินสหรัฐฯ
(ช่วงกลางคืนของตลาดการเงินไทย) ทำให้การทำธุรกรรมซื้อเงินบาทเป็นมูลค่าสูงเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนมีการซื้อขายเบาบาง ยิ่งทำให้เงินบาทแข็งค่าเร็วขึ้น เนื่องจากจำนวนผู้เล่นในตลาดที่ต้องการขายเงินบาท
มีอยู่ไม่มาก


3. บาทแข็งจากปัจจัยชั่วคราว : เงินทุนไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทยหลังการเมืองนิ่งขึ้น และกองทุนรวมสินทรัพย์ต่างประเทศ Hedge ป้องกันบาทแข็งเพิ่มเติม


ปัจจัยชั่วคราวที่มีส่วนกดดันให้เงินบาทแข็งค่าเพิ่มเติมในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่


1. เงินทุนไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนกันยายน ส่วนหนึ่งจากสถานการณ์การเมืองไทยที่ชัดเจนขึ้น โดยพบว่าในวันที่เงินบาทแข็งค่าเร็ว มีเงินไหลเข้าตลาดพันธบัตรรัฐบาลไทยถึงเกือบหมื่นล้านบาทภายวันเดียว

2. การเพิ่ม Hedging ratio ของกองทุนรวมที่ไปลงทุนสินทรัพย์ต่างประเทศในภาวะเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง (Panic hedge) โดยที่ผ่านมาไทยออกไปลงทุนสินทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มูลค่ากองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (Foreign Investment Fund : FIF) เติบโตเฉลี่ยถึง 14% ต่อปีในช่วงเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา โดยการลงทุนส่วนใหญ่นั้นจะมีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Hedging) ผ่านตราสารอนุพันธ์ ดังนั้น ในช่วงที่เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ผู้บริหารกองทุนบางแห่งมีการเพิ่ม Hedging ratio ผ่านการขาย USDTHB forward เพื่อป้องกันการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งส่งผลให้เงินบาทยิ่งมีแรงกดดันด้านแข็งค่าเพิ่มเติม

บาทแข็งไม่สอดคล้องพื้นฐานเศรษฐกิจ ค่าเงินอาจกลายเป็น Shock amplifier แทน Shock absorber


โดยปกติแล้วค่าเงินมักจะสะท้อนปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ เช่น หากเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต่ำ อัตราแลกเปลี่ยนมักจะอ่อนค่าตามความเชื่อมั่นของนักลงทุน ช่วยให้ภาคการส่งออกสินค้าและภาคการท่องเที่ยวสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น เนื่องจากราคาถูกลงในสายตาผู้บริโภคต่างชาติ ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดีขึ้น นั่นคือในกรณีปกติ ค่าเงินจะทำหน้าที่เป็น Shock absorber โดยค่าเงินจะช่วยลดทอนผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่ดีได้ อย่างไรก็ดี ในครั้งนี้เงินบาทกลับแข็งค่าขึ้น ทั้งที่นักลงทุนมองแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

ในแง่ลบ มีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยในระดับต่ำ และยังเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน ซึ่งสะท้อนได้จากการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รูปที่ 6 แสดงให้เห็นว่าดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ในไตรมาสที่ 2 แข็งค่าถึง 8.4%YOY แม้ผลตอบแทนตลาดหลักทรัพย์ไทย 1 ปีย้อนหลังในไตรมาสที่ 2 จะอยู่ที่ -14.4% ซึ่งแย่กว่าตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ทั่วโลกในช่วงเวลาเดียวกัน

เมื่อเปรียบเทียบกับเศรษฐกิจสำคัญอื่น ๆ จะเห็นว่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากกว่าสกุลเงินอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศส่วนใหญ่มีผลตอบแทนที่ดีกว่าไทย สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่า แต่อัตราแลกเปลี่ยนของประเทศเหล่านั้นกลับไม่ได้แข็งค่าขึ้นมากนัก ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าเงินบาทในปัจจุบันอาจเป็น Shock amplifier กดดันเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติม แทนที่จะเป็น Shock absorber ท่ามกลางสถานการณ์ที่เศรษฐกิจเติบโตต่ำอยู่ก่อนแล้ว

 

การแข็งค่าของเงินบาทจะกระทบภาคการส่งออกไทยเพิ่มเติมจากภาษีทรัมป์

แม้ไทยจะสามารถเจรจาอัตราภาษี Reciprocal tariff ของสหรัฐฯ ที่ 19% ไม่เสียเปรียบคู่แข่งในภูมิภาคมากนัก แต่เงินบาทที่แข็งค่านำภูมิภาคกลับจะทำให้ไทยเสียเปรียบด้านการแข่งขันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (รูปที่ 7) หากเปรียบเทียบอัตราภาษี Reciprocal tariff ของสหรัฐฯ ที่เก็บจากสินค้านำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมกับการแข็งค่าของสกุลเงินเทียบดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่สิ้นปี 2024 พบว่า ไทยเสียเปรียบด้านการแข่งขันกับคู่แข่งสำคัญ เช่น เวียดนาม และมาเลเซีย ที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีนี้ในอัตราใกล้เคียงกัน แต่ค่าเงินของประเทศคู่แข่งกลับไม่ได้แข็งค่าเท่าไทย ขณะที่การส่งออกไทยยังได้เปรียบไต้หวัน, จีน และอินเดีย เนื่องจากประเทศเหล่านี้ถูกเก็บภาษี Reciprocal tariff ในอัตราสูงกว่าไทยมาก

อย่างไรก็ดี ผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทยยังขึ้นกับปัจจัยอื่นด้วย ทั้งประเภทสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯ อัตราภาษีนำเข้ารายหมวดสินค้า (Specific tariff) อัตราภาษี Transshipment และความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาสินค้านำเข้าที่แตกต่างกัน


เงินบาทแข็งกระทบภาคธุรกิจไทยอย่างไร?


เงินบาทแข็งค่าต่อส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจไทยแตกต่างกันไปในแต่ละประเภทธุรกิจ SCB EIC ประเมินผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจระดับสูง กลาง และต่ำ รวมถึงธุรกิจที่จะได้อานิสงส์เชิงบวก ดังนี้


1. ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเชิงลบในระดับปานกลาง-สูง ได้แก่ กลุ่มธุรกิจที่เน้นผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลักและมีสัดส่วนการใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศสูง รวมถึงธุรกิจบริการที่พึ่งพารายได้จากต่างชาติในสัดส่วนสูง


• กลุ่มธุรกิจภาคการผลิต ได้แก่ ธุรกิจเกษตรและอาหารทะเล เช่น อุตสาหกรรมยางพารา มันสำปะหลังและกุ้ง ซึ่งมีสัดส่วนส่งออกสูงราว 70%-90% ของการผลิตทั้งหมด ขณะที่พึ่งพาปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศต่ำ โดยเงินบาทที่แข็งขึ้นทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันเทียบกับคู่แข่งที่ค่าเงินเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่ากว่า อีกทั้ง ยังทำให้รายได้ในรูปเงินบาทลดลงอีกด้วย

• กลุ่มธุรกิจบริการ โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว เช่น โรงแรมและธุรกิจนำเที่ยว ที่พึ่งพิงรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติในสัดส่วนสูง โดยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอาจทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ขณะเดียวกัน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงในหลายประเทศจากผลกระทบของภาษีทรัมป์ ยังมีผลทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกระมัดระวังการใช้จ่ายท่องเที่ยวมากขึ้น และมีแนวโน้มท่องเที่ยวในประเทศที่คุ้มค่ากว่า เช่น ญี่ปุ่นที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเงินเยนอ่อนค่า


2. ธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบในระดับต่ำ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีรายได้และรายจ่ายปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศในสัดส่วนใกล้เคียงกัน โดยรายได้ที่ลดลงจะได้รับชดเชยจากต้นทุนนำเข้าที่ถูกลง


• กลุ่มธุรกิจที่ผลิตเพื่อส่งออกในสัดส่วนค่อนข้างสูง และนำเข้าปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศในสัดส่วนสูงใกล้เคียงกัน เช่น อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป (อาทิ ทูน่ากระป๋องและอาหารสำเร็จรูป)
ยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาสินค้ากลุ่มนี้ลดลง และอาจเสียส่วนแบ่งตลาดให้คู่แข่งที่ค่าเงินอ่อนกว่าโดยเปรียบเทียบ อย่างไรก็ดี ผลกระทบเชิงลบนี้จะได้รับชดเชยด้วยต้นทุนนำเข้าวัตถุดิบและปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศที่ถูกลงจากบาทแข็ง ช่วยชดเชยรายได้ที่หายไปได้บางส่วน อุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่จะได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบ (Feedstock) ที่ถูกลง นอกจากนี้ บริษัทส่วนใหญ่ในธุรกิจนี้กู้เงินเป็นดอลลาร์สหรัฐ การแข็งค่าของเงินบาทจึงมีส่วนช่วยลดมูลค่าหนี้และดอกเบี้ยจ่ายที่บันทึกในงบการเงินในรูปเงินบาท ส่งผลให้ฐานะการเงินและอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนปรับดีขึ้นได้ เช่นเดียวกับธุรกิจบริการ อาทิ สายการบินที่พึ่งพิงรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติค่อนข้างสูง แต่มีต้นทุนเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ เช่น ค่าเช่าเครื่องบินและค่าเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นต้นทุนหลัก รวมถึงธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน แม้จะได้รับผลกระทบในส่วนของการให้บริการชาวต่างชาติที่อาจชะลอตัว แต่ผลกระทบเชิงลบจะถูกชดเชยด้วยต้นทุนนำเข้ายาและเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศที่ถูกลง


• กลุ่มธุรกิจกลุ่มนี้อาจพิจารณาทำ Natural hedging เพื่อลดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดจากรายได้และรายจ่ายที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศเดียวกันได้ รวมทั้งอาจเพิ่มสัดส่วนการใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศเพื่อลดการพึ่งพิงการนำเข้าจากต่างประเทศในระยะยาว


3. ธุรกิจที่จะได้อานิสงส์จากบาทแข็ง ได้แก่ กลุ่มธุรกิจที่เน้นผลิตเพื่อบริโภคในประเทศหรือธุรกิจที่มีรายได้หลักจากในประเทศ แต่ใช้ปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศเป็นสัดส่วนสูง จะได้ประโยชน์จากต้นทุนนำเข้าที่ถูกลง


• ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมเหล็ก โดยผู้ประกอบการนำเข้าปัจจัยการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เหล็กปลายน้ำ จะมีต้นทุนต่ำลง ส่งผลให้ธุรกิจต่อเนื่องทั้งธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ ได้อานิสงส์จากต้นทุนเหล็กที่ถูกลง อย่างไรก็ตาม กิจกรรมในภาคการก่อสร้าง โดยเฉพาะในภาคเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัวจากการชะลอตัวของตลาดที่อยู่อาศัยยังคงกดดันปริมาณการใช้งานเหล็กในภาคก่อสร้าง ส่งผลให้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์อาจไม่ได้รับอานิสงส์จากราคาเหล็กที่ลดลงอย่างเต็มที่ สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตอื่น ๆ เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีรายได้เกือบทั้งหมดจากตลาดในประเทศจะได้รับประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าถูกลงเช่นกัน เช่น มอลต์ ฮอปส์ และยีสต์จากต่างประเทศที่ ดังนั้น เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจึงกระทบต่อรายได้น้อยมาก


• อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ต้องจับตาสำหรับธุรกิจเหล่านี้คือ แนวโน้มการแข่งขันในประเทศที่อาจรุนแรงขึ้นจากสินค้านำเข้าที่ถูกลง ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้บริโภคในประเทศหันไปซื้อสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น


ในระยะสั้น ผู้ส่งออกได้รับผลกระทบจากการแปลงรายได้ในรูปดอลลาร์สหรัฐ เป็นเงินบาทแล้ว (Revenue conversion)


การแข็งค่าของเงินบาทสร้างผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจที่พึ่งพารายได้ในสกุลดอลลาร์สหรัฐจากการแปลงค่าเงิน (Conversion) ตัวอย่างเช่น หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นจาก 35 เป็น 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ธุรกิจส่งออกที่มีรายได้ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐจะได้รับเงินบาทเพียง 32 ล้านบาท แทนที่จะเป็น 35 ล้านบาท สูญเสียรายได้ประมาณ 8.6% ทันที แม้ปริมาณการขายหรือราคาขายในสกุลดอลลาร์จะไม่เปลี่ยนแปลง เงินบาทแข็งค่าขึ้นเช่นนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำไรขั้นต้น กระแสเงินสด และความสามารถในการบริหารต้นทุนที่เป็นเงินบาท เช่น เงินเดือนพนักงาน ค่าเช่า และค่าใช้จ่ายการดำเนินงานภายในประเทศ

ผลกระทบนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ส่งออกไปสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ครอบคลุมธุรกิจส่งออกไปยังตลาดต่าง ๆ ทั่วโลกที่ใช้ดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินในการทำธุรกรรม โดยแม้ภาคการส่งออกสินค้าของไทยจะพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ประมาณไม่ถึง 1 ใน 5 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด แต่การค้าระหว่างประเทศของไทยยังใช้ดอลลาร์สหรัฐมากกว่า 3 ใน 4 ของมูลค่าการค้าทั้งหมด (รูปที่ 9) ดังนั้น เงินบาทแข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐจึงส่งผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจกลุ่มนี้เป็นวงกว้าง จากการแปลงรายได้ในรูปดอลลาร์สหรัฐกลับมาเป็นเงินบาทได้ลดลง จึงทำให้ผู้ส่งออกเผชิญความตึงตัวในงบการเงินอีกทางหนึ่ง

 

ธปท. เข้าดูแลค่าเงินบาทช่วงผันผวนสูง เสถียรภาพต่างประเทศของไทยแข็งแกร่ง


ในช่วงที่เงินบาทผันผวนสูงหรือแข็งค่ามาก พบว่า ธปท. เข้าดูแลค่าเงินบาทผ่านการเข้าซื้อสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการเพิ่มอุปสงค์ของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ และช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาท โดยสะท้อนจากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยที่เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.89 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (รูปที่ 10) อย่างไรก็ดี เงินทุนสำรองฯ ที่เพิ่มขึ้นนี้อาจไม่ได้สะท้อนภาพการแทรกแซงค่าเงินบาทของ ธปท. เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีประเด็นการปรับมูลค่าสินทรัพย์ (Valuation change) ในเงินทุนสำรองฯ อีกด้วย เนื่องจากในปีนี้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐปรับอ่อนค่าลงแรง (Dollar index อ่อนค่าลงราว 10% ตั้งแต่ต้นปี) ส่งผลให้การตีมูลค่าสินทรัพย์สกุลอื่นในทุนสำรองระหว่างประเทศมาอยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐปรับสูงขึ้นด้วย อีกทั้ง มูลค่าทองคำที่อยู่ในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศก็ปรับสูงขึ้นจากราคาทองคำที่สูงขึ้นมากในปีนี้ จึงประเมินได้ว่า ธปท. ได้เข้าดูแลค่าเงินบาทในจังหวะที่เงินบาทแข็งค่าแรง เช่น ในเดือนกันยายน แต่มูลค่าการเข้าแทรกแซงอาจไม่สูงได้มากนัก หากประเมินจากปัจจัย Valuation change ประกอบด้วย


การแทรกแซงค่าเงินของ ธปท. อาจทำได้จำกัด เนื่องจากทางการสหรัฐฯ ได้จับตาประเทศคู่ค้าหลักในประเด็นแทรกแซงค่าเงิน (FX manipulation) โดยในขณะนี้ไทยยังไม่ติดอยู่ใน Monitoring list แต่มีความเสี่ยง เนื่องจากไทยเข้าข่าย 2 ใน 3 เกณฑ์ คือ (1) การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่า 3% ของ GDP (2) การเกินดุลการค้าสินค้าและบริการกับสหรัฐฯ มากกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในรอบ 4 ไตรมาส เหลืออีกเกณฑ์ที่ไทยไม่เข้าข่ายคือ

(3) การแทรกแซงค่าเงินโดยซื้อดอลลาร์สหรัฐสุทธิมากกว่า 8 เดือนในรอบ 12 เดือน เป็นมูลค่าสูงกว่า 2% ของ GDP

นัยต่อภาคธุรกิจ


SCB ประเมินว่าเงินบาทจะยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าต่ออีกอย่างน้อย 1 ไตรมาส โดยมีปัจจัยสำคัญมาจาก
1. ทิศทางเศรษฐกิจและนโยบายการเงินสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยหลัก โดยตลาดเริ่มมองว่า Fed อาจลดดอกเบี้ยได้ถึง 3 ครั้งในปีนี้ และ Terminal rate อยู่ที่ราว 3% สะท้อนว่า ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และไทยจะแคบลงมากขึ้น ส่งผลให้แรงกดดันเงินบาทด้านแข็งค่าจะยังมีต่อ
2. ปัจจัยต่างประเทศที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่ามีจำกัด เช่น ประเด็นการเมืองในฝรั่งเศสและญี่ปุ่นไม่ส่งผลต่อค่าเงินบาทมากนัก
3. ราคาน้ำมันโลกมีแนวโน้มต่ำต่อเนื่อง จะช่วยสนับสนุนการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดไทยของไทยได้
4. ผู้ประกอบการที่เก็บรายรับในรูปดอลลาร์สหรัฐไว้ในบัญชี FCD อาจแลกกลับเป็น Local currency มากขึ้น เมื่อบาทเริ่มอ่อนค่าหรือไม่ได้แข็งค่าเพิ่ม เนื่องจากในช่วง 7 เดือนแรกของปี การส่งออกสินค้าไทยขยายตัวดี รายรับในรูปดอลลาร์สหรัฐจึงสูงขึ้น ผู้ส่งออกจึงเก็บรายรับในรูปดอลลาร์สหรัฐไว้ในบัญชี FCD มากขึ้น
หากผู้ส่งออกเริ่มทยอยแลกดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินบาท อาจเป็นอีกแรงกดดันหนึ่งที่ทำให้บาทแข็งค่าต่อได้

อย่างไรก็ดี เงินบาทจะไม่แข็งค่าเพิ่มอีกมากนัก เนื่องจากตลาดได้ Price-in ปัจจัยส่วนต่างดอกเบี้ยไปมากแล้ว จึงทำให้แรงกดดันที่จะทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าอาจมีไม่มากนัก นอกจากนี้ ปัจจัยหนุนให้ราคาทองคำสูงขึ้นต่ออาจเริ่มมีน้อยลง ทั้ง Global bond yields ที่ปรับลดลงมามากแล้ว และความเสี่ยง Geopolitical risk จากภาวะสงครามในหลายประเทศลดลง จึงทำให้อุปสงค์ต่อทองคำอาจไม่เร่งตัวมากเท่ากับในช่วงที่ผ่านมา แรงกดดันเงินบาทแข็งค่าจึงอาจมีไม่มาก โดยมองกรอบเงินบาทปลายปีอยู่ที่ราว 31.50-32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

SCB แนะนำผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ผ่านการทำ FX Forwards และอาจพิจารณาทำ FX Options ได้เช่นกัน โดยในช่วงที่ผ่านมาพบว่าความผันผวนของค่าเงิน (FX Volatility) ปรับลดลง ทำให้ต้นทุนการทำ FX Options ถูกลงตามไปด้วย จึงอาจเป็นจังหวะให้ผู้ประกอบการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินเพิ่มเติม ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้า

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ยืนได้ By : แม่มดน้อย

ง แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เห็นหุ้นไทย เห็นดัชนีฯยังยืนได้ เห็นวานนี้ ต่างชาติซื้อหุ้น เชื่อว่า บ่ายวันนี้ บรรยากาศ...

'เวฟ บีซีจี' ควง 'พีทีจี' รับรางวัล 'Premium T-VER Award' จาก อบก. ตอกย้ำความมุ่งมั่นผู้นำและพัฒนา สร้างคาร์บอนเครดิตระดับสากล

'เวฟ บีซีจี' ควง 'พีทีจี' รับรางวัล 'Premium T-VER Award' จาก อบก.ตอกย้ำความมุ่งมั่นผู้นำและพัฒนา สร้างคาร์บอนเครดิตร

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้