Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

ไทยถูกปรับ Credit rating outlook ลงมาเป็นลบ กดดันเงินบาทอ่อนค่า SCB FM มองเงินบาทในกรอบ 31.00-32.00 บาทต่อดอลลาร์ ปลายปี

91

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(25 กันยายน 2568)----------นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส สายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB Financial Markets: SCB FM) เปิดเผยว่า หลัง Fitch Ratings ปรับลด Credit rating outlook ของประเทศไทยจาก “Stable” เป็น “Negative” เงินบาทปรับอ่อนค่าลง โดยอ่อนค่าเกือบ 20 สตางค์เมื่อเทียบกับระดับราคาเปิดของวัน อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทนี้ไม่ได้เป็นผลจาก Fitch Ratings อย่างเดียว แต่เป็นเพราะเลขส่งออกไทยเดือน ส.ค. ที่ออกมาในเวลาใกล้เคียงกันอ่อนแอกว่าคาดเช่นกัน จึงยิ่งซ้ำเติมมุมมองที่เศรษฐกิจไทยจะชะลอลงชัดเจนขึ้นในไตรมาสข้างหน้า สำหรับปัจจัยต่างประเทศก็กดดันให้บาทอ่อนค่าเช่นกัน เพราะดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐมี Correction กลับไปแข็งค่าขึ้นหลังเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ (ยอดขายบ้านใหม่) ออกมาดีกว่าคาด และ Jerome Powell ยังไม่ให้สัญญาเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในระยะต่อไป จึงทำให้ US Treasury yields กลับมาสูงขึ้น สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ปรับสูงขึ้นเล็กน้อยราว 3-4 bps หลัง Fitch Ratings ปรับ Outlook ลง


Fitch Ratings กังวลเกี่ยวกับกันชนทางการคลัง (Fiscal buffer) และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอลง โดยหนี้สาธารณะรวมอยู่ที่ 59.4% ต่อ GDP ในเดือนสิงหาคม 2025 ใกล้เคียงกับค่า Median ของกลุ่มประเทศที่มีอันดับ “BBB” ที่ 59.6% และเพิ่มขึ้นมากถึง 25 percentage points จากระดับ pre-Covid-19 อย่างไรก็ดี ไทยยังมีเสถียรภาพต่างประเทศที่แข็งแกร่ง และยังมีความสามารถในการจัดหาเงินทุนเพื่อชำระหนี้ภาครัฐได้ค่อนข้างดี จึงทำให้ไม่ถูกปรับลด Credit rating ลงจาก BBB+ โดยภาระดอกเบี้ยจากหนี้ต่างประเทศของไทยยังต่ำ คิดเป็น 0.7% ของรายได้จากต่างประเทศ ซึ่งต่ำกว่าค่า Median ของกลุ่มอันดับ “BBB” ที่อยู่ที่ 5.7% อีกทั้ง สถานะสินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิของรัฐบาลไทยยังค่อนข้างสูง โดยคิดเป็น 47% ต่อ GDP ซึ่งสูงกว่าค่า Median ของกลุ่มอันดับ “BBB” ที่อยู่ที่ -2% อีกด้วย

ปัจจัยที่อาจนำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง คือ


1) เศรษฐกิจมหภาคที่มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงในระยะปานกลาง โดยนายวชิรวัฒน์มองว่า เศรษฐกิจไทยไม่เพียงแค่โตต่ำในปีนี้ (คาด 1.8%) แต่ศักยภาพของเศรษฐกิจไทยก็มีแนวโน้มลดลงด้วย ปัจจัยที่จะทำให้เศรษฐกิจในปีนี้และปีหน้าโตต่ำคือ ภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มชะลอลงมากจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การบริโภคเอกชนที่จะแย่ลงจากรายได้ครัวเรือนที่ต่ำและหนี้สูง รวมถึงการลงทุนเอกชนที่จะขยายตัวต่ำจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นและอุปสงค์ในประเทศอ่อนแอ ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าอาจโตแค่ราว 1.5% และ Potential growth ของไทยปรับลดลงด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือกังวล


2) ฐานะการคลังของภาครัฐอ่อนแอ ความสามารถในการรักษาสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ในระยะปานกลาง ปรับลดลง และการขาดดุลงบประมาณที่ต่อเนื่อง โดยนายวชิรวัฒน์มองว่า เศรษฐกิจไทยที่ยังมีแนวโน้มชะลอลงจำเป็นต้องใช้มาตรการทางการคลังเข้ามาช่วยสนับสนุน ซึ่งจะยิ่งทำให้ Fiscal space แย่ลง โดยภาครัฐเตรียมออกมาตรการการคลังเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของครัวเรือน อย่างไรก็ดี มาตรการจะทำให้ Fiscal space ปรับลดลง ซึ่ง Fitch Ratings ประเมินว่ารัฐจะขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นไปที่ 4.6% ต่อ GDP ในปีงบประมาณนี้ และ 4.3% ต่อ GDP ในปีงบประมาณหน้า นอกจากนี้ ภาครัฐยังไม่มีแนวนโยบายในการปรับลดการขาดดุลทางการคลังอย่างชัดเจน เพราะจำเป็นต้องใช้จ่ายมากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่การจัดเก็บรายได้ภาครัฐเพิ่มขึ้นยังทำได้ยาก


หากไทยยังไม่สามารถแก้ปัญหาโครงสร้างและผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวสูงขึ้นได้อย่างยั่งยืน ก็มีโอกาสถูกปรับลด Credit rating ลงได้ในท้ายที่สุด โดยหากดูสถิติในต่างประเทศพบว่า ประเทศที่ถูกปรับ Outlook มักจะถูกปรับ Rating ตามมาในระยะ 12-18 เดือนหลังจากนั้น ซึ่งไทยถูก Moody’s ปรับ Outlook เป็น Negative เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ทำให้มีโอกาสที่จะถูกปรับ Rating ลงในปีหน้า เพราะประเด็นที่บริษัท Credit rating (ทั้ง Fitch และ Moody’s) ปรับลด Outlook ของไทยลงมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างและระยะยาว ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการปรับแก้และทำได้ไม่ง่ายนัก อีกทั้ง การเมืองไทยยังมีความไม่แน่นอนสูง และคาดว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงต้นปีหน้า ทำให้การดำเนินนโยบายอาจไม่ต่อเนื่อง นโยบายการคลังอาจถูกมุ่งเน้นไปที่นโยบายระยะสั้นเป็นหลัก ซึ่งยังไม่สามารถแก้ปัญหาระยะยาวที่บริษัทจัดอันดับกังวลได้


อย่างไรก็ดี หากทางการไทยมีแผนงานในการปรับวินัยทางการคลัง (ทำ Fiscal consolidation) เพื่อให้ฐานะทางการคลังปรับดีขึ้น และมีการสื่อสารต่อสาธารณะได้อย่างชัดเจน ก็อาจทำให้ไทยยังไม่ถูกปรับ Credit rating ลงได้ โดยให้จับตาการทบทวน Credit rating ไทยของทาง Moody’s ในเดือน ตุลาคมนี้


สำหรับมุมมองเงินบาท อาจเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าได้หากไทยถูกปรับ Credit rating ลงจริง แต่คาดว่าผลกระทบต่อเงินบาทและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Government bond yields) จะไม่มากนัก เนื่องจาก 1) มองว่าปัจจัยที่อาจทำให้ถูกลด Rating ลงไม่ใช่ประเด็นใหม่ และตลาดรับรู้อยู่แล้ว และ 2) Rating ของไทยยังคงอยู่สูงกว่าระดับ Non-investment grade อยู่อีก 3 notches ดังนั้น หากถูกปรับ Rating ลงจริง ก็อาจไม่ส่งผลกระทบต่อหนี้และการระดมทุนมากนัก และเมื่อดูที่ปัจจัยอื่นประกอบ ทั้งเงินดอลลาร์ที่ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อได้อีกเล็กน้อย และราคาทองคำที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ประเมินว่าเงินบาทอาจอยู่ในกรอบ 31.00-32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปลายปีนี้ แต่ในระยะสั้น บาทอาจยังอยู่ในกรอบ 31.85-32.35

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้