Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

98



ภาพตลาดและแนวโน้ม Market wrap & Outlook

สรุปภาพตลาดวานนี้
เมื่อวานนีหุ้นไทยพัก ไปอยู่ DELTA (เล่นตามกระแส Super Cycle โลก) และรีท FTREIT WHART AXTRART เป็นต้น ส่วนหุ้นใหญ่หลายๆ ตัวถูกขายลงมาพร้อมหน้า เช่น GULF CPALL ADVANC TRUE TOP CRC CPN THAI CPF

แนวโน้มตลาดวันนี้
แนวรับ 1270 เริ่มทำงาน

เราคงมุมมองแนวโน้มตลาดหุ้นไทย ถอยมารับโดยแนวโน้มหลักยังไม่สิ้นสุดทางขึ้น แม้บรรยากาศแรงขายทำกำไรเมื่อวาน อาจจะดูรุนแรงในหุ้นใหญ่รายตัว และกระจายไปในหลากหลายกลุ่ม เช่น TOP PTTGC IVL GULF CPF CPN CRC

โดยวันนี้คาดแนวรับ 1270 จุด ยังทำหน้าที่เป็นแนวรับสำคัญ ต่อจาก 1280 จุด และเราใช้แนวรับนี้เป็นตัวชี้วัดบรรยากาศลงทุนหุ้นไทย ว่ายังไม่ได้เสียแนวโน้ม ขาขึ้น และเปลี่ยนไปเป็นขาลง เราคงคำแนะนำสะสมซื้อหุ้นในโซน 1270 จุด บวกลบ

ประเด็นที่ต้องติดตาม และคาดจะมีผลต่อทิศทางราคาหุ้นรายตัว เรายังคงเน้นที่ หุ้นเล่นดัก 1) หากบาทกลับทิศ มาอ่อนค่า หุ้นเชื่อมโยงด้านบวก ได้แก่ ท่องเที่ยว โรงแรม ส่งออก และ สินค้าอุปโภคบริโภค 2) ความคาดหวังนโยบายระยะสั้นที่ อาจจะกลายเป็นนโยบายระยะยาว จาก ครม.นายก อนุทิน หุ้นบวกเช่น รับเหมาก่อสร้าง สายเรือ โลจิสติกส์ (Land-bridge), คนละครึ่งเวอร์ชั่นใหม่, เงินกู้ฉุกเฉิน, โซลาร์ติดบ้าน 3) ประเด็นอื่นๆ เช่น โอกาสกลับมารับงาน ส่งต่อคนไข้คูเวต ของรัฐบาลคูเวตที่กำลังประสานงานกับทาง รพ.ไทย, ทิศทางราคาพลังงาน และน้ำมันดิบ คาดจะเริ่มเข้าสู่ขาขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล เป็นต้น

ส่วนปัจจัยอื่นๆช่วงที่เหลือของสัปดาห์ เรามองว่าไม่น่าจะมีน้ำหนักต่อการปรับฐานรุนแรง เช่น การปิดตลาดหุ้นฮ่องกงหากพายุไต้ฝุ่นรากาซาทวีความรุนแรง อาจมีผลต่อแรงซื้อขายหุ้นไทยระยะสั้น, อุทกภัยในประเทศ เฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำในเขื่อน (ระวังนิคม) ฯลฯ

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้-สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลงมาตามแนวรับ เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร

วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET ปรับลงต่อเนื่อง “Three black crows pattern = Ending wave 5” เตือนแม่นยำ เป็นการบ่งชี้แนวโน้มขาลงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ขณะที่โมเมนตัม MACD alert! ช่วยเตือน bearish signal โดยล่าสุดดัชนีทดสอบเส้น EMA 25 วัน 1,270 จุด (corrective wave a) หากหลุดอาจปรับตัวลงถึงเส้น EMA 200 วัน 1,250 จุด ซึ่งถือว่าปรับตัวลงมาแล้วทั้งสิ้น 23.6% ตามตัวเลข Fibonacci retracement ที่ให้ไว้ ( ลงมาแถวนี้แนะกัดฟันช้อนซื้อ) อย่างไรก็ตามมุมมองระยะยาวหากดัชนีปรับฐานย่อยเสร็จสิ้น จะมีแนวโน้มขึ้นต่อ ขึ้นสู่เป้าหมายที่ 1,330 จุด (Fibonacci retracement 61.8%) นักลงทุนที่เล่นรอบ ขายหายหุ้นไปแล้ว หรือรอจังหวะย่อ แนะจับตาโซนรับบริเวณ 1,250-1,270 จุด เอาไว้ให้ดีครับ!
ไฮไลท์หุ้น: แผนแก้มือ “CBG” (ห้ามหลุดโซนรับ)/ DELTA พระเอกขี่ม้าขาว!/ AOT สู้ที่โซนรับ....ตามแผน/ PTT ปิดเสมอตัว แนะถือลุ้นเป้า/ WHA “Bearish Wedge” ดูไม่ดี!


What to watch
ตั้งทีมงานร่วมตรวจสอบต้นตอทำบาทแข็ง นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า วันนี้ได้มีการพูดคุยกับสมาคมธนาคารไทย ถึงแนวทางความร่วมมือกันช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทยให้เร็วและยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการแก้ปัญหาเก่า เช่น หนี้ครัวเรือน ซึ่งได้รับคำแนะนำที่ดีจากสมาคมธนาคารไทย
ส่วนประเด็นเรื่องการแข็งค่าของเงินบาท ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นเงินสีเทาไหลเข้ามานั้น นายเอกนิติ กล่าวว่า ตามนโยบายนายกฯ "สั่งวันนี้ ให้ทำเมื่อวาน" ซึ่งเมื่อวานนี้ ตนได้ประสานกับทีมที่กระทรวงการคลังให้ Connect the Dots ไว้แล้ว และวันนี้ทางสมาคมธนาคารไทยมาฉายภาพให้เห็น และชี้จุดเดียวกันที่เราเจอ คือ เรื่องค่าเงิน
(ติดตามฤดูพายุในภูมิภาคนี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการบริหารจัดการน้ำในประเทศ ส่วนในฝั่งอเมริกา คาดจะเริ่มมีพยากรณ์พายุ ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางราคาพลังงาน) สนามบินนานาชาติฮ่องกงกำลังพิจารณาระงับเที่ยวบินโดยสารทั้งหมดเป็นเวลา 36 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่เย็นวันอังคารนี้ ในขณะที่ฮ่องกงกำลังเตรียมตัวรับมือกับพายุรากาซา (Ragasa) หนึ่งในซูเปอร์ไต้ฝุ่นที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี
ด้านฟิลิปปินส์ได้สั่งปิดหน่วยงานราชการและโรงเรียนในกรุงมะนิลาและพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศในวันนี้ ขณะที่พายุรากาซาเคลื่อนตัวไปทางเหนือของลูซอนช่วงเช้าวันนี้ ส่งผลให้เกิดลมกระโชกแรงและฝนตกหนัก

หุ้นแนะนำวันนี้
IVL หลังกำไรไตรมาสที่ 2/25 ทำได้ดีกว่าคาด แนวโน้มกำไรไตรมาส 3/25 มีโอกาสพลิกกลับมามีกำไร (Turn around)
แนวรับ 22 ต้าน 24 Stop loss 21.5

 

 

 

รายงานพื้นฐานวันนี้

Consumption & Tourism Pulse
จัดชั้นหุ้นรับประโยชน์การกระตุ้นเศรษฐกิจ
ภาพรวม: มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (โอกาสเห็น เช่น คนละครึ่งแบบใหม่, Easy e-receipt, กระตุ้นท่องเที่ยว) แม้จะหนุน GDP ได้ไม่มาก แต่ถือว่ามาในจังหวะที่เหมาะสม ขณะที่การบริโภคเริ่มทรงตัวและการท่องเที่ยวกำลังเข้าสู่ high season ทำให้หุ้น domestic play บางกลุ่มได้อานิสงส์ชัดเจน
ในบรรดาหุ้นใน Consumer (Commerce, Tourism, Beverage, Finance, Property, etc.) เราได้จัดวางกลยุทธ์การลงทุนในเชิงพื้นฐานให้เป็นลักษณะ Tier ได้ดังนี้
Tier 1 – Strongest leverage: ได้แรงหนุนตรง คือ กลุ่มค้าส่งและค้าปลีก มีโอกาสเห็นยอดขายโตระดับ Mid-single Digit พร้อมอัตรากำไร (margin) ที่ขยายตัว, เครื่องดื่ม โดยเฉพาะชาพร้อมดื่ม ที่ผ่านช่องทาง traditional trade, และกลุ่มโรงแรมอย่าง CENTEL จะเห็น RevPAR ฟื้นตัว YoY ชัดเจนใน 4Q25 จาก high season ไทย และขาดทุนมัลดีฟส์ลด ขณะที่ธุรกิจอาหาร SSS เด่นกว่ากลุ่มฯ
Tier 2 – Value & recovery: กลุ่มที่ได้อานิสงส์รองลงมา เรามองเด่นที่ COM7 ซึ่งโตต่อเนื่องจาก product cycle ใหม่ และการเปิดตัวสินค้าทั้ง iPhone 17 และ PC แบบ AI เสริมด้วยหากมี E-receipt ช่วยกระตุ้นยอดขายสินค้าราคาเฉลี่ยสูงขึ้นได้ ตามมาด้วย CPN ที่เห็น traffic +4% YoY และยังมี pipeline ห้างใหม่ที่จะเป็นตัวหนุนการเติบโต เป็นปัจจัยหนุนในระยะยาว
Tier 3 – Limited leverage: ได้แรงหนุนจากมาตรการภาครัฐน้อย เช่น ร้านอาหารในห้าง (ยังเผชิญการแข่งขันสูง) สนามบินและสายการบิน เป็นต้น แต่เมื่อดูเป็นรายตัว AOT คาดมี upside ประมาณ 30% หากมีนโยบายการขึ้นค่า PSC อีก 100 บาท
โดยสรุป Best Risk-Reward การเล่นกับนโยบายกระตุ้นการบริโภค เริ่มจากการเลือกหุ้นใน Tier 1 และเลือก Tier 2 เป็นตัวเสริม
Top Picks: ได้แก่ CPAXT, ICHI (non-rated), CENTEL และ COM7 (CPALL เป็น valued play)

Retail Finance Sector
ปี 2026 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
เราประเมินว่าแนวโน้มการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม Retail Finance จะดีขึ้นในปี 2026 จาก
1) แนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นต่อในปีหน้า บนสมมติฐานหากเศรษฐกิจจะทยอยฟื้นตัวในปีหน้า นำมาประกอบกับกลยุทธ์มาให้ความสำคัญกับคุณภาพสินทรัพย์มากขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่ทำให้การบริหารลูกหนี้ดีขึ้นมาก
2) ความเสี่ยงการลดเพดานดอกเบี้ยของ ธปท. ไม่น่าเกิดเร็ว แม้ตาม Sentiment ตลาดจะมีความกังวล แต่เราคิดว่า หากดอกเบี้ยต่ำเกินไป ธนาคารและกลุ่มนอนแบงก์ จะปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงลดลง ซึ่งจะเป็นการผลักให้ผู้กู้ ออกไปนอกระบบมากขึ้น ซึ่งคิดดอกเบี้ยสูงกว่า 5-10 เท่า
อย่างไรก็ตาม ในกรณีเลวร้าย หากธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดเพดานดอกเบี้ยลดลงทุกๆ 1% ในผลิตภัณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคล เราประเมินว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรปี 2026 ของกลุ่ม Retail Finance ราว 5% นำโดย SAWAD ตามมาด้วย KTC, TIDLOR และ MTC
3) ตลาดเปลี่ยนมาให้น้ำหนักความสำคัญกับการเติบโตควบคู่ไปกับคุณภาพสินทรัพย์ ทำให้ TIDLOR จะเด่นสุดในกลุ่ม จากคาดกำไรเติบโต 11% ในปี 2026 และยังคงคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีต่อ นอกจากนี้ SAWAD จะเป็นอีกตัวเลือกในแง่ Valuation ถูก และเห็นแนวโน้มกำไรกลับมาโตได้ และโอกสดีกว่าคาด


Technology Sector
NVIDIA + Intel จะมีผลกับหุ้นเทคฯ ไทยอย่างไร?
สัปดาห์ที่แล้ว Nvidia และ Intel ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ดาต้าเซ็นเตอร์และพีซีรุ่นใหม่ ไฮไลท์คือการผสาน CPU x86 ของ Intel ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด กับ GPU และ accelerated computing ของ Nvidia ผ่าน NVLink ทำให้ CPU RAM และ GPU HBM สามารถสื่อสารกันได้ในหน่วยความจำเดียว ไม่ต้องแยกเหมือนปัจจุบันที่ใช้ PCIe เชื่อมต่อ ก่อนหน้านี้ Nvidia ใช้ Grace ARM CPU เป็นดีฟอลต์ใน NVL72 ซึ่งจำกัดการใช้งานในองค์กรที่ส่วนใหญ่ใช้ x86 การมี Intel เข้ามา ทำให้ Nvidia สามารถขยาย ecosystem ไปสู่ 85% ของตลาด CPU ซึ่งยังเป็น x86 ได้ทันที ผลิตภัณฑ์ชุดแรกคาดจะเริ่มออกในปี 2027
สำหรับหุ้นไทย Implication คาดจะอยู่ที่ ดาต้าเซ็นเตอร์และพีซี
Data Center: DELTA น่าจะได้อานิสงส์จากความต้องการเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ขยายวงกว้างขึ้น
PC: คาดเริ่มจาก Laptop และ PC แบบระดับพรีเมียมก่อน ซึ่งต้องการประสิทธิภาพสูงและรองรับ AI ก่อนที่จะค่อยๆ ขยายไปสู่ตลาดแมส โดย HANA มีสัดส่วนยอดขาย ~6% มาจาก PC อาจจะได้ประโยชน์บ้างหากตลาด PC ฟื้นตัวจากการเปลี่ยนผ่านนี้ สำหรับ Demand ในประเทศช่วงแรกไทยอาจยังไม่เห็นการซื้อจำนวนมาก เพราะผู้ประกอบการมักรอให้ราคาลดลงและเคสการใช้งานชัดเจน ขณะที่ IT retailers อย่าง SIS และ SYNEX น่าจะเป็นกลุ่มแรกที่รับแรงบวกจากการ refresh cycle
อย่างไรก็ตาม ต้องระวังว่า การเติบโตของ AI PCs ตอนนี้ขับเคลื่อนโดยฝั่งซัพพลาย ไม่ใช่ Demand จริง โดย Gartner คาดว่า AI PCs จะเพิ่มจาก 15.6% ของ shipment ในปี 2024 เป็น 31% ในปี 2025 รวม shipment โต 2.4% แต่ก็เตือนเรื่องความเสี่ยง inventory ส่วนสมาร์ทโฟนยังไม่ใช่จุดเปลี่ยน เพราะยังไม่มี Killer app เขามาปฏิวัติวงการ และกระตุ้นการใช้งานมากกว่านี้

 


สรุปประเด็นจาก Quick take

BTG
เบทาโกร
ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืน
ซื้อหุ้นคืนวงเงินสูงสุดไม่เกิน 2,000 ล้านบาท จำนวนไม่เกิน 85 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 4.39% ของหุ้นทั้งหมด จากวงเงินและจำนวนหุ้น ข้างต้น คิดเป็นราคาหุ้นเฉลี่ย 23.5 บาท ต่อหุ้น เทียบราคาตลาดปัจจุบัน 17.5 บาท
View from fundamental: เรามองว่า BTG สามารถใช้สภาพคล่องส่วนเกิน โดยไม่กระทบความสามารถในการชำระหนี้ อีกทั้ง สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริหารต่อผลประกอบการของบริษัท ขณะที่หุ้นเทรดบน PER 2025 เพียง 4.4 เท่า คงคำแนะนำ Trading Buy (TP Bt20) จากทั้ง Valuation ที่ถูกและ Sentiment เชิงบวกนี้

 

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

SKIN เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันแรก

SKIN เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันแรก

เด้ง By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ไปตามกระแสตลาดหุ้นไทย ภาคเช้าที่ผ่านมาเด้งกลับ แต่ยังไปถึง 1280 จุด รอ...

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้