สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (9 กันยายน 2568 )-----บลจ.กสิกรไทย มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเติบโตชะลอลง คาด GDP ไทยในอีก 10-15 ปีข้างหน้าเฉลี่ยที่ 2%
ขณะที่ Valuation หุ้นไทยอยู่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ประกอบกับการผ่อนคลายทางการคลังผ่านการเร่งเบิกจ่ายของภาครัฐ และการผ่อนคลายทางการเงินผ่านการลดดอกเบี้ย จังหวะนี้จึงเหมาะเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยจากปัจจัยเชิงบวกในระยะสั้นผ่านกองทุนหุ้นปันผลสูงอย่าง “K-VALUE”
นางสาวภารดี มุณีสิทธิ์ CFA, Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในระยะถัดไปมีแนวโน้มเติบโตชะลอลง โดยบทวิจัย KAsset Capital Market Assumptions (KCMA) ที่บลจ.กสิกรไทย จัดทำร่วมกับ J.P. Morgan Asset Management คาดการณ์ว่า GDP ไทยในช่วง 10–15 ปีข้างหน้าจะเติบโตเฉลี่ยเพียง 2% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนช่วง COVID-19 ที่อยู่ที่ประมาณ 3.6% การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอลงเช่นนี้ ส่งผลให้บริษัทขนาดกลางและเล็กเผชิญกับปัญหาด้านการเติบโตและสภาพคล่องที่หดตัว ในขณะที่บริษัทขนาดใหญ่ที่มีฐานรายได้มั่นคง กระแสเงินสดแข็งแรง และมีกำไรสม่ำเสมอ กลับสามารถรับมือกับความผันผวนได้ดีกว่า ซึ่งบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มหุ้นปันผลสูง ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย จึงแนะนำ กองทุนเปิดเค หุ้นปันผล หรือ K-VALUE เน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ผลการดำเนินงานมั่นคง และเป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงอย่างต่อเนื่อง โดยมีให้เลือกลงทุน 2 รูปแบบ ได้แก่ K-VALUE-A(D) ชนิดจ่ายเงินปันผล และ K-VALUE-A(A) ชนิดสะสมมูลค่า
นางสาวภารดีกล่าวต่อไปว่า กองทุน K-VALUE ได้มีการปรับเปลี่ยนดัชนีชี้วัด (Benchmark) จากดัชนี SET มาเป็นดัชนี SET High Dividend 30 (SETHD) ตั้งแต่ปี 2023 เพื่อสะท้อนกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผลสูงอย่างแท้จริง โดยความน่าสนใจของหุ้นปันผลสูงอยู่ที่ 1) หุ้นปันผลสูงมักเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีฐานธุรกิจและรายได้มั่นคงส่งผลให้ราคาหุ้นมีความผันผวนต่ำกว่า โดยอ้างอิงจากดัชนี SET ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีค่าความผันผวน 15.5% ขณะที่ SET High Dividend (SET HD) มีค่าความผันผวน 14.3% 2) หุ้นปันผลสูงมักเป็นบริษัทมีกำไรที่ดีต่อเนื่อง สามารถจ่ายปันผลได้สูงกว่าตลาดหุ้นไทยในภาพรวมอย่างสม่ำเสมอ โดยคาดการณ์ปันผลของหุ้นกลุ่มปันผลสูงในปี 2026 ที่ 7.1% เทียบกับ SET ที่ 4.6% 3) หุ้นปันผลสูงให้ผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผลที่แน่นอนกว่าการหวังกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) จากราคาหุ้นที่อาจไม่เติบโตมากในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว 4) หุ้นปันผลสูงช่วยลดความเสี่ยงจากวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่ม Growth หรือ Mid-Small Cap ที่มักมีราคาผันผวนตามวัฏจักรเศรษฐกิจ และ 5) หุ้นปันผลสูงมักเป็นบริษัทที่มีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน
“สภาพัฒน์ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้ขึ้นเป็น 2% จากเดิมที่ 1.8% ภายหลังการบรรลุข้อตกลงภาษีการค้ากับสหรัฐฯ และ GDP ไตรมาส 2 ที่ออกมาดีกว่าคาด เติบโต 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังคาดว่าจะชะลอตัวกว่าครึ่งปีแรก จากการส่งออกที่หดตัวลง การบริโภคและการลงทุนที่ยังอ่อนแรง รวมถึงนักท่องเที่ยวที่ต่ำกว่าคาด อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกที่ช่วยประคองการเติบโตทางเศรษฐกิจนับจากนี้ได้แก่ การผ่อนคลายทางการคลังผ่านการเร่งเบิกจ่ายของภาครัฐภายหลังงบประมาณผ่านสภาฯ และการผ่อนคลายทางการเงินผ่านการลดดอกเบี้ย โดยปัจจุบันคาดการณ์การเติบโตของ EPS ในปีนี้ที่ 17.6% ประกอบกับระดับมูลค่าหุ้น (Valuation) ตลาดยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต โดย SET Index ที่ 1248 จุด คิดเป็น Forward P/E ที่ 13.7 เท่า ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนปัจจัยเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น” นางสาวภารดีกล่าว
นางสาวภารดีกล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุน K-VALUE เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการแสวงหาโอกาสจากการลงทุนในหุ้นไทยจากกลุ่มหุ้นปันผลสูง โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตชะลอลง ผู้ลงทุนสามารถเริ่มต้นลงทุนได้เพียง 500 บาท ซื้อง่ายอย่างปลอดภัยด้วย App K PLUS และ K-My Funds หรือ ธนาคารกสิกรไทย และ ผู้แทนสนับสนุนการขาย ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ทุกช่องทางของกสิกรไทย หรือ ผู้แทนสนับสนุนการขาย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888 และศึกษาข้อมูลด้วยตัวเองได้ที่ www.kasikornasset.com
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน