ความหวังใหม่สำหรับหุ้นค้าปลีกใน 4Q25
หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รายงานว่า กระทรวงการคลังได้ยืนยันความพร้อมที่จะนำโครงการอุดหนุนร่วมจ่ายของรัฐบาล “คนละครึ่ง” กลับมาอีกครั้ง โครงการนี้สามารถเริ่มดำเนินการได้ภายใน 30-45 วัน และอาจเริ่มต้นในเดือนตุลาคม 2025 และยังคงข้อกำหนดเดิมตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับเดิมตั้งแต่ปี 2020-2021 ได้แก่ 1) อายุ 18 ปีขึ้นไป 2) มีสัญชาติไทย และ 3) ไม่ได้ลงทะเบียนในโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท จากงบประมาณกลางสำหรับปี 2026 พร้อมรายละเอียดเกี่ยวกับเกณฑ์สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการที่กำลังพิจารณาอยู่ เราเชื่อว่าผู้ค้าปลีกทั้งสามรายภายใต้การวิเคราะห์ของเราควรได้รับประโยชน์อย่างน้อยทางอ้อมจากการปรับตัวดีขึ้นโดยรวมของเศรษฐกิจไทย

สรุปโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2020-2022 งบประมาณคิดเป็น 11% ของงบประมาณทั้งหมด
โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ดำเนินการใน 5 ระยะ ตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2022 โดยมีงบประมาณเบิกจ่ายของรัฐบาลรวม 2.2 แสนล้านบาท งบประมาณดังกล่าวถูกใช้ไป 94% จากผู้เข้าร่วมโครงการ 91.2 ล้านคน (ผู้เข้าร่วมโครงการซ้ำกันในแต่ละระยะ) ซึ่งก่อให้เกิดการใช้จ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนรวม 4.21 แสนล้านบาท ก่อนหน้านี้ ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมโครงการ เนื่องจากรัฐบาลมีเป้าหมายให้การใช้จ่ายลงไปถึงผู้ประกอบการรายย่อย

ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากมีข่าว
CPAXT และ BJC ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว 14% และ 10% ในวันจันทร์หลังจากการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เทียบกับการปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยของตลาดหลักทรัพย์ที่ +0.1% เราเชื่อว่าราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไปเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ภายใต้การคาดการณ์ว่าจะมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นรวมกัน 5 หมื่นล้านบาท (2.5 หมื่นล้านบาท จากภาครัฐ และ 2.5 หมื่นล้านบาท จากภาคเอกชน) การแบ่งสัดส่วนการใช้จ่ายระหว่างธุรกิจการค้าแบบดั้งเดิมและธุรกิจการค้าปลีกสมัยใหม่ในสัดส่วน 50/50 จากนั้นแบ่งส่วนแบ่งตลาดระหว่าง CPAXT และ BJC (80/20) บนการใช้จ่ายค้าปลีกสมัยใหม่ 25,000 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 3% และ P/E ที่ 13 เท่า เราคาดว่าจะมีอัพไซด์อยู่เพียง 3.8% และ 2.5% สำหรับ CPAXT และ BJC ตามลำดับ

ดังนั้น เราเชื่อว่าความแตกต่างระหว่างความอ่อนไหวต่อผลประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการบริโภค หลังจากการประกาศรัฐบาลใหม่ และการเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" สำหรับ CPALL โดยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 73.00 บาท เราชอบหุ้นตัวนี้เนื่องจาก SSSg ที่แข็งแกร่งและการขยาย GPM ซึ่งปัจจุบันซื้อขายที่ 14 เท่าของ P/E และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน -2.5 เท่า เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี