
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (2 กันยายน 2568 )-----YLG ชี้ทองคำมีทิศทางขาขึ้นชัดเจน ราคาขึ้นทำ All New High แม้ยังต้องจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐตลอดสัปดาห์

นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน เเอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) เปิดเผยว่าวันนี้ (2 ก.ย.) ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจนสามารถขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติกาลครั้งใหม่ที่ 3,508.33 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์ข้อความใน Truth Social ที่ระบุถึงสาเหตุการตั้งภาษีกับอินเดียสูงถึง 50% เนื่องจากถูกอินเดียเอาเปรียบมาตลอด พร้อมกล่าวว่าการค้าระหว่างอินเดียและสหรัฐคือ “หายนะด้านเดียวอย่างสิ้นเชิง” ซึ่งการโพสต์ข้อความดังกล่าวได้สร้างสถานการณ์ตึงเครียดทางการค้าระหว่างอินเดียและสหรัฐ ทำให้เกิดแรงซื้อทองเข้ามาในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
โดยก่อนหน้านี้วายแอลจี มองว่าภายในช่วงที่เหลือของปีนี้ราคาทองคำจะสามารถทำระดับสูงสุดใหม่ได้อีกครั้งและล่าสุดราคาทองคำได้ปรับขึ้นมาตามคาดการณ์ โดยเชื่อว่าในไตรมาส 4 ราคาทองคำจะยังเคลื่อนไหวในแดนบวก แม้ว่าจะมีการเทขายทำกำไรสลับออกมาบ้าง อย่างไรก็ดีหากมองถึงปัจจัยในหลากหลายด้าน ก็ยังมีน้ำหนักต่อการเคลื่อนไหวของทองคำในเชิงบวก โดยเฉพาะแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ล่าสุดตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจของสหรัฐ เช่น ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐนั้นอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ
อีกทั้ง เจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม Jackson Hole ว่า “ความเสี่ยงด้านการจ้างงานกำลังเพิ่มขึ้น และภาษีศุลกากรทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับราคาเพียงครั้งเดียว ความสมดุลของความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไป อาจจำเป็นต้องปรับนโยบาย" ทำให้นักลงทุนมั่นใจมากขึ้นว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้ ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง จนเป็นปัจจัยหนุนหลักต่อราคาทองคำ
นอกจากนี้ นโยบายทางการเงินของเฟดยังมีความเป็นไปได้ที่สูงขึ้น ว่าจะมีจุดยืนที่ผ่อนคลาย (Dovish stance) มากขึ้น นับตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ มีความพยายามที่จะมีอิทธิพลต่อนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการกดดัน เจอโรม พาวเวล ให้รีบทำการปรับลดดอกเบี้ยลงและลาออกจากประธานเฟด รวมไปถึงการสั่งปลด ลิซ่า คุก หนึ่งในผู้ว่าการเฟด ซึ่งนับเป็นการเข้าแทรกแซงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นตลอด 111 ปีที่ผ่านมา แต่ทางด้าน สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ยังออกมาปกป้องการกระทำดังกล่าวของโดนัลด์ ทรัมป์ อีกทั้ง ยังมีความพยายามที่จะส่งคนสนิทอย่าง สตีเฟน มิแรน เข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่าการเฟด แทนที่ อาเดรียนา คูเกลอร์ ที่ลาออกไปในช่วงก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ในปีนี้ วายแอลจี ได้ให้เป้าหมายราคาทองคำไว้ที่โซน 3,500 - 3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ราคาจะทดสอบเป้าหมายแรกที่ระดับ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไปแล้วถึงสองครั้ง อย่างไรก็ดี หากสามารถยืนแล้วไปต่อได้พร้อมปัจจัยพื้นฐานเข้ามาสนับสนุน จะมีเป้าหมายถัดไปที่ระดับ 3,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และระดับ 3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามลำดับ
สำหรับคำแนะนำการลงทุนทองคำ ในระยะสั้นมองว่าทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 3,437-3,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และกรอบแนวต้าน 3,508-3,540 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ส่วนทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ มองว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 52,500-54,100 บาทต่อบาททองคำ (คำนวณจากค่าเงินบาทระดับ 33.24 บาทต่อดอลลาร์)
ส่วนนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดฟิวเจอร์สแนะนำเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นในระดับสูง เพราะใช้เงินลงทุนเพียง 10% ของราคาทองคำ และสามารถทำกำไรได้ทุกสภาวะตลาด โดยล่าสุดวายแอลจีได้ออกโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าที่เปิดบัญชีกับ YLG Futures รับสิทธิ์ใช้งาน Trading View Essential Plan ที่จะมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้า 5 ด้าน 1.กราฟและอินดิเคเตอร์ครบครัน รวมถึง Volume Profile 2.เครื่องมือวาดรูปและฟีเจอร์ทางเทคนิค 3.การแจ้งเตือนราคา 4.ไอเดียเทรดจากคอมมูนิตี้ 5.ไม่มีโฆษณาและอีกจำนวนมาก

GCAP GOLD ชี้ 3 ปัจจัยในสหรัฐฯ ป่วน หนุนราคาทองเด้ง
บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD ชี้ราคาทองคำมีแนวโน้มพุ่งสูง จากความไม่แน่นอนรอบด้านในสหรัฐฯ จาก 3 ปัจจัยหลัก อาทิ ทรัมป์ ใช้อำนาจเกินขอบเขตด้านนโยบายการค้า – เฟดถูกแทรกแซงทางการเมือง – ตัวเลขแรงงานในสหรัฐฯ ชะลอตัว ส่งสัญญาณบวก ดันราคาทองทะยานต่อ พร้อมแนะกลยุทธ์รอจังหวะย่อตัวเข้าซื้อที่ $3,445 / $3,415
นางสาว อารีรัตน์ มุราชัย หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD เปิดเผยว่า ราคาทองคำในสัปดาห์นี้ คาดว่าจะพุ่งขึ้นต่อและผันผวนสูง จากความไม่แน่นอนรอบด้าน ล่าสุดชี้ 3 ปัจจัยหลักให้นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจสร้างความผันผวนต่อตลาดการเงินและแนวโน้มของทองคำ ได้แก่
1. ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า : โดยศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ มีคำตัดสินว่า มาตรการเก็บภาษีศุลกากรทั่วโลกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ส่วนใหญ่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากใช้อำนาจเกินขอบเขต แต่ยังอนุญาตให้บังคับใช้ต่อไปชั่วคราว พร้อมส่งเรื่องกลับไปศาลชั้นต้นเพื่อพิจารณาเพิ่มเติม ดังนั้นจึงคาดว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดภายใน 14 ต.ค. 2568 ทำให้อนาคตนโยบายการค้ายังคงไม่แน่นอน โดยความเสี่ยงดังกล่าวจะกดดันตลาดหุ้นและค่าเงินดอลลาร์ ขณะที่ทองคำจะได้แรงซื้อในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยหากสถานการณ์ยืดเยื้อ
2. ความปั่นป่วนภายในเฟด : จากกรณี นางลิซา คุก กรรมการเฟด ที่ถูก ทรัมป์ สั่งปลดจากตำแหน่งและกำลังต่อสู้คดีในศาล สร้างความกังวลว่าการทำงานของเฟดอาจถูกแทรกแซงทางการเมือง ล่าสุดศาลยังไม่ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ทำให้ตำแหน่งของ ลิซา คุก ยังแขวนอยู่บนเส้นด้าย และด้วยความไม่แน่นอนนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของนโยบายการเงินสหรัฐฯ และอาจเป็นแรงหนุนเชิงจิตวิทยาที่ทำให้ทองคำได้รับความสนใจมากขึ้น
3. ตัวเลขแรงงานสหรัฐฯ ชะลอตัว : โดยตลาด จับตาการประกาศตัวเลขการจ้างงานเดือนสิงหาคมในช่วงท้ายสัปดาห์ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มเพียง 75,000 ตำแหน่ง และอัตราว่างงานอาจขยับขึ้นแตะ 4.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี
สะท้อนถึงเศรษฐกิจที่อ่อนแรง ถึงแม้ว่าเฟดยังคงกังวลเรื่องเงินเฟ้อ แต่ตลาดมองว่า ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มถดถอย ส่งผลให้เฟดอาจต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินในระยะต่อไป ซึ่งถือเป็นบวกต่อราคาทองคำ
จากประเด็นดังกล่าว ฝ่ายวิจัย GCAP GOLD แนะนำกลยุทธ์ “รอย่อตัวเข้าซื้อ” ที่แนวรับ $3,445 และ $3,415 เนื่องจากภาพรวมราคาทองคำปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก หลังจากสามารถเบรกกรอบสามเหลี่ยมด้านบน โดยมีแนวรับระยะสั้นอยู่ที่ $3,445 / $3,415 ซึ่งราคาทองคำไทยอาจอยู่ประมาณ 52,800 / 52,500 บาท โดยการเข้าซื้อในรอบนี้มีจุดเฝ้าระวังคือราคาไม่ควรหลุด $3,400 (ราคาทองคำไทยประมาณ 52,300 บาท) เพราะหากย่อแล้วหลุดถือเป็นการเบรกหลอก ขณะที่แนวต้านสำหรับทำกำไรอยู่ที่ $3,500 / $3,535 หรือราคาทองคำไทยจะอยู่ประมาณ 53,500–53,800 บาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับทิศทางค่าเงินบาท หากปัจจัยการเมืองในประเทศที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าในระยะสั้น อาจเห็นราคาทองคำไทยขยับขึ้นไปใกล้ระดับ 54,000 บาท ได้เช่นกัน
///จบ///